ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 143 ปัสสาวะอย่างเดียวรักษาได้ทุกโรค
ตอนที่ 143 ปัสสาวะอย่างเดียวรักษาได้ทุกโรค
ตอนที่ 143 ปัสสาวะอย่างเดียวรักษาได้ทุกโรค
หลังจากต่อสู้กันเป็นเวลาเกือบสองในสี่ชั่วยาม ในที่สุดการต่อสู้ก็หยุดลง ทหารรักษาพระองค์ที่เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวจากการได้ทุบตีคนต่างตะโกนออกมาด้วยความสาแก่ใจ คนเหล่านี้เป็นเพียงกระสอบทรายมนุษย์เท่านั้น การทุบตีคนเหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้ปลดปล่อยและได้คลายเครียด
ส่วนทหารเยวี่ยโจวที่ด่าทอสาปแช่งเมื่อสักครู่นี้ บัดนี้มีสภาพเหมือนฝูงสุนัขที่ตายแล้ว พวกเขานอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น และทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งที่ขยับตัว
มู่ฉินเจินจ้องมองเหตุการณ์ในสนามฝึกด้วยสายตาว่างเปล่า รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ไม่ต่างจากสวะเลยสักนิด!
เขามองไปที่เกาจัวหยวน และเกาจัวหยวนก็เข้าใจทันที ยืนเท้าเอวตรงหน้าฝูงชน แล้วพูดเสียงดัง “ทุกคนในที่นี้ลุกขึ้น การวิ่งสิบลี้จะเริ่มขึ้นแล้ว!”
ทหารเยวี่ยโจวที่ถูกทุบตีปางตายรู้สึกสิ้นหวัง รู้สึกสงสัยว่าตนเพิ่งถูกซ้อมไปเช่นนี้ แล้วยังต้องวิ่งสิบลี้อีกหรือ? นี่ไม่ใช่การฆ่าพวกเขาหรืออย่างไร!
พวกเขาคิดจะบ่นอีกสองสามคำ แต่เมื่อเห็นทหารรักษาพระองค์ที่อยู่รอบ ๆ ชูกำปั้นขึ้นขณะจ้องมองมาที่พวกเขา ก็เห็นได้ชัดว่าจะต้องโดนอะไรอีก
จะโดนทุบตีอีกงั้นหรือ? การวิ่งไม่ได้ทำให้ตาย แต่ถ้าถูกทุบตีอีกครั้ง คราวนี้ก็เห็นทีว่าจะได้สิ้นชีพจริง ๆ!
ทหารเยวี่ยโจวที่มีจมูกฟกช้ำและใบหน้าบวมเป่งรีบลุกขึ้นทันทีด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าพวกเขาจะทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไป
ค่ายทหารถูกสร้างขึ้นที่ชานเมืองโอบล้อมไปด้วยเนินเขา มู่ฉินเจินจึงสั่งให้พวกเขาวิ่งไปตามถนนบนภูเขา ตัวเขาเองจะวิ่งนำหน้าขบวน ส่วนองครักษ์และบรรดาทหารรักษาพระองค์ก็ขี่ม้าตาม แต่ละคนถือแส้เดินไปรอบ ๆ ทหารเยวี่ยโจว ถ้ามีใครกล้าตุกติก อิดออด หรือใช้กลอุบาย เขาก็จะเฆี่ยนทันที
ทหารรักษาพระองค์ตื่นเต้นมาก ด้วยไม่เคยคิดมาก่อนว่าทหารที่ปกติมีแต่จะต้องได้รับการฝึกอย่างพวกเขาจะมีวันได้ฝึกฝนคนอื่นเช่นนี้ เรื่องนี้พวกเขาสามารถนำไปโอ้อวดได้ตลอดชีวิตทีเดียว!
พวกเขาจำสิ่งที่ขุนพลสอนพวกเขาในเมืองหลวงได้ เหล่าทหารรักษาพระองค์จึงนึกถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มา และนำทุกอย่างมาระบายกับทหารเยวี่ยโจว “ไม่ได้กินข้าวมาหรือ? วิ่งเหยาะแหยะเช่นนี้ เป็นบุรุษหรือไม่?”
ทหารเยวี่ยโจวนึกในใจ ก็พวกเขาไม่ได้กินข้าวจริง ๆ นี่นา!
โดนลากตัวไปกระทืบตั้งแต่ตื่นตอนเช้า แล้วจะให้ไปกินตอนไหน?
จ้าวซุ่นเฉียนและแม่ทัพหลายคนก็ต้องฝึกเช่นกัน และพวกเขาก็เป็นเป้าหมายหลักในการกำกับดูแลของทหารรักษาพระองค์
เกาจัวหยวนขี่ม้าตัวใหญ่เดินเคียงข้างพวกเขาอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อเห็นใครบางคนเดินช้าลง เขาก็เหวี่ยงแส้อย่างไร้ความปรานี หลังจากวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง จ้าวซุ่นเฉียนก็โดนฟาดด้วยแส้ไปหลายรอบ
ร่างกายอ้วนฉุของเขาทำให้การย่างก้าวแต่ละก้าวเป็นไปอย่างยากลำบาก หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็เริ่มหอบเหมือนวัว ขณะที่เกาจัวหยวนที่อยู่ด้านข้างพูดประชดประชัน
“สุขภาพของท่านแม่ทัพจ้าวดูไม่ค่อยดีเลยนะ เป็นบุรุษต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้ หากทำไม่ได้ก็น่าอนาถยิ่งนัก!”
เขาพูดจายั่วยุ เมื่อจ้าวซุ่นเฉียนได้ยินคำพูดเยาะเย้ยเช่นนั้น ใบหน้าแดงก่ำของเขาก็ยิ่งบูดบึ้งกว่าเดิม เขากัดฟันพูดว่า “องครักษ์เกา อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงขุนพลประจำหัวเมือง หากเจ้าปฏิบัติต่อข้าหลวงของราชสำนักด้วยความก้าวร้าว เจ้าไม่กลัวว่าฮ่องเต้จะลงโทษเจ้าหรือ?”
เกาจัวหยวนกลอกตามองเขา หึ! ช่างน่าละอายยิ่งนักที่คนผู้นี้กล้าบอกว่าตัวเองเป็นข้าหลวงของราชสำนัก เขาแน่ใจว่าเบื้องหลังของตำแหน่งขุนพลประจำหัวเมืองของคนผู้นี้ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน
ในตอนที่เขาทำการต่อสู้นั้น เขาก็พบว่าชายคนนี้มีเพียงวรยุทธ์แบบแมวสามขาเท่านั้น และด้วยร่างกายอ้วนฉุเงอะงะราวกับหมูนี้ เขาจะสั่งการกองทหารนับพัน จนสามารถชนะศึกทางตอนเหนือของดินแดนเหมิงได้อย่างไร!
“ข้าทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง หากท่านแม่ทัพไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านก็สามารถไปหาท่านอ๋องเพื่อขอเหตุผลได้ขอรับ”
ตราบใดที่มีคนปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง เกาจัวหยวนจะโยนวาทศิลป์เช่นนี้ออกไป เจ้าไม่เชื่อฟังอย่างนั้นหรือ? ตราบใดที่เจ้ากล้าก็สามารถไปขอเหตุผลกับท่านอ๋องได้ เขาแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น
จ้าวซุ่นเฉียนสบถออกมา ก่อนจะวิ่งต่อไปอย่างหนักหน่วง ถ้าเขากล้า เขาจะยังต้องมาบ่นพึมพำอยู่ตรงนี้หรือไม่?
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นถึงขุนพลประจำหัวเมือง ดังนั้นจึงไม่น่าจะต้องฝึกด้วย แต่เขาคาดไม่ถึงว่ามู่ฉินเจินจะแสดงออกชัดเจนว่าต้องการลงโทษเขา!
ระยะทางสิบลี้ สำหรับพวกเขานั้นไม่ต่างจากการเดินวนรอบภูเขาหลายรอบ ทหารรักษาพระองค์ห้าหกคนขี่ม้าและตะโกนขณะโบกแส้ไปมา ราวกับคนต้อนแกะ ส่วนพวกเขาก็ต้องวิ่งไป ช่างสำราญอุราอะไรถึงเพียงนี้!
เมื่อทหารเยวี่ยโจวที่ไม่ได้ฝึกฝนมานาน จู่ ๆ ก็ได้รับการฝึกที่มีความเข้มงวดสูงเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะทนได้อย่างไร พวกเขากำลังวิ่ง แต่กลับรู้สึกว่าเท้าหนักราวกับหิน ทำให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียว บางคนวิงเวียนศีรษะ แล้วก็โงนเงนเป็นลมหมดสติไป
ทหารรักษาพระองค์มองคนที่พากันสลบไสลด้วยสีหน้าขยะแขยง ก่อนจะลากพวกเขาไปโยนไว้ข้างถนน ป่าโปร่งเช่นนี้ไม่มีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ จึงปล่อยให้พวกเขานอนข้างถนนได้ แล้วค่อยย้อนกลับมาลากพวกเขากลับ
เมื่อทหารเยวี่ยโจวเห็นว่าสหายที่หมดสติไปสามารถหยุดวิ่งได้ พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาและคิดวิธีใหม่ขึ้นมาได้ หลังจากนั้นไม่นาน บางคนก็เริ่มแสร้งทำเป็นหมดสติบ้าง
บางทีพวกเขาคงมีความเข้าใจที่ดี จึงเลือกที่จะสลบไปพร้อม ๆ กัน เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ล้มลง เหล่าทหารรักษาพระองค์ก็หัวเราะ กลอุบายแสร้งเป็นลมเช่นนี้ช่างไม่มีความแนบเนียนสักนิด ไร้ยางอายยิ่งนัก!
ทหารเยวี่ยโจวที่ล้มตัวลงก็รู้สึกอับอายเช่นกัน แต่พวกเขาไม่อยากลุกขึ้น พวกเขาจึงแค่หลับตารอให้ใครสักคนมาลากพวกเขาไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินบทสนทนาต่อไปนี้
ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งพูดเสียงดังมาก “ข้าพอรู้สูตรยาท้องถิ่นขนานหนึ่ง คนที่วิงเวียนจนเป็นลมไปสามารถฟื้นขึ้นมาได้หลังจากโดนปัสสาวะรด ข้าจะสาธิตให้พวกเจ้าดู!”
คนรอบข้างหัวเราะเสียงดัง เมื่อเขาพูดจบแล้วก็เดินไปหาทหารเยวี่ยโจวที่แสร้งทำเป็นสลบ ก่อนจะปลดเข็มขัดกางเกงออก แล้วควักของลับออกมาปัสสาวะราดคนเหล่านั้น อย่างไรเสียทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็ล้วนเป็นชายชาตรี ของที่ควรมีล้วนมีเหมือนกัน จึงไม่มีอะไรให้ต้องอับอาย
เมื่อเสียงปัสสาวะดังขึ้น คนที่ “เป็นลม”อยู่บนพื้นก็สะดุ้งโหยงขึ้นทันที และรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลางเช็ดปัสสาวะบนร่างกายออกด้วยความขยะแขยง
ทหารรักษาพระองค์ที่เป็นคนปัสสาวะแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดัง “ดูสิ ปัสสาวะข้าสามารถรักษาได้ทุกโรคจริงด้วย!”
เขาสะใจมากจนไม่ทันแม้แต่จะดึงกางเกงขึ้น ขณะบรรดาสหายที่อยู่รอบกายก็หัวเราะจนตัวงอ “หากเจ้าไม่ใส่กางเกง เผลอ ๆ อาจบินได้ก็เป็นได้!”
เมื่อทหารเยวี่ยโจวที่ยังคงแสร้งทำเป็นหมดสติอยู่บนพื้นได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าเสแสร้งอีกต่อไป ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างงุ่มง่ามแล้ววิ่งต่อไป
พวกเขาอยากจะร้องไห้จริง ๆ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกอันธพาลเหล่านี้จะแค่ล้อเล่น แต่ใครจะไปคิดว่าจะทำตามสิ่งที่พูดจริง ๆ ด้วยการปัสสาวะรดพวกตนจริง!
ด้วยบทเรียนที่ได้รับจากการเปียกโชกไปด้วยปัสสาวะ ทหารเยวี่ยโจวจึงไม่กล้าแสร้งทำเป็นเป็นลมอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยแทบหมดลมหายใจ และรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกไปหมด แต่พวกเขาก็ต้องอดทน
ระยะทางสิบลี้ ทหารปกติสามารถวิ่งเสร็จได้ภายในตอนเช้า แต่ทหารไร้ประโยชน์กลุ่มนี้ลากยาวไปจนถึงบ่าย เมื่อพวกเขากลับมาถึงค่ายทหาร พวกเขาก็นอนเป็นอัมพาตอยู่บนสนามฝึกเหมือนศพ ไม่สามารถขยับตัวได้ และยังรู้สึกราวกับว่าขาไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งเจ็บปวดและอ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะหิวมาก แต่ขาก็อ่อนแรงเกินไป เมื่อถึงเวลาอาหาร พวกเขาจึงแทบจะคลานไป
หลังจากได้รับประทานอาหารและพักผ่อนสักพัก พวกเขาก็คิดว่าการฝึกของวันนี้จบลงแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสิ่งที่แย่กว่านั้นรออยู่
มู่ฉินเจินสั่งให้ทหารเยวี่ยโจวมารวมตัวกันที่สนามฝึก เพื่อฝึกต่อจากบทเรียนในตอนเช้า พวกเขาไม่ได้ชักช้าอีกต่อไป และสามารถมารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบได้ในเวลาอันสั้น
เกาจัวหยวนทำหน้าที่เป็นครูฝึกชั่วคราว และอธิบายเนื้อหาการฝึกในช่วงบ่ายแก่ทหารเยวี่ยโจว เมื่อพวกเขาได้ยินว่ายังมีการฝึกที่จะต้องฝึกอีก ใบหน้าของทหารเยวี่ยโจวก็กลายเป็นซีดเซียว และรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้รออีกต่อไปแล้ว
เนื้อหาการฝึกช่วงบ่ายเป็นการต่อสู้แบบอิสระ ทหารเยวี่ยโจวต้องต่อสู้กับเหล่าทหารรักษาพระองค์ ผู้ชนะจะได้รับรางวัล ส่วนผู้แพ้จะถูกลงโทษ
ทหารเยวี่ยโจวรู้สึกขมขื่นจนน้ำตาไหลอาบแก้ม เอาเป็นว่าถ้าต้องการจะทุบตีพวกเขา ก็ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลที่ฟังดูสูงส่งเช่นนั้นหรอก พูดราวกับว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะทหารรักษาพระองค์ได้อย่างนั้นแหละ!
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รักษาโรคสำออยได้ชะงัดจริงๆ ยาขนานนี้ ใครเป็นต้นคิดคะ?
จะรอดกันไหมนี่ ไม่ได้ฝึกมานานจู่ๆ มาฝึกหนักแบบนี้ จะหัวใจวายตายกันก่อนไหมเนี่ย
ไหหม่า(海馬)
Comments