ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 144 จ้าวซุ่นเฉียนเสียชีวิต
ตอนที่ 144 จ้าวซุ่นเฉียนเสียชีวิต
ตอนที่ 144 จ้าวซุ่นเฉียนเสียชีวิต
องครักษ์ไปยกเก้าอี้ใหญ่มาให้เจ้านาย มู่ฉินเจินนั่งบนเก้าอี้รับชมการฝึกอย่างสง่าผ่าเผย เป็นเรื่องยากที่เกาจัวหยวนจะได้ใช้อำนาจสั่งการได้มากถึงเพียงนี้ หลังจากออกคำสั่ง การต่อสู้อย่างอิสระก็เริ่มขึ้น!
ทหารเยวี่ยโจวต่างตัวสั่นสะท้าน เมื่อเห็นทหารองครักษ์ผู้เกรียงไกรกำลังเผชิญหน้าพวกเขา ก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว สัญชาตญาณบอกให้พวกเขาวิ่งหนี แต่ทหารรักษาพระองค์ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเลย และเริ่มกระชากคอเสื้อขึ้นมาทุบตีทีละคน
แม้จะบอกว่าเป็นการต่อสู้อย่างอิสระ แต่ความจริงแล้วมีเพียงทหารเยวี่ยโจวที่พ่ายแพ้อยู่ฝ่ายเดียว เสียงร่ำไห้และเสียงหัวเราะดังประสานกัน แน่นอนว่าฝ่ายที่ร่ำไห้มีเพียงทหารเยวี่ยโจวเท่านั้น
จ้าวซุ่นเฉียนและเหล่าแม่ทัพก็ไม่ถูกละเว้นเช่นกัน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานะของพวกเขา ทหารองครักษ์หลายคนที่แข็งแกร่งที่สุดจึงอาสารับคำท้า ตอนแรกพวกเขากล่าวอย่างสละสลวยว่า “ท่านขุนพลโปรดช่วยชี้แนะด้วยขอรับ!”
ใบหน้าของจ้าวซุ่นเฉียนและคนอื่น ๆ มืดมนราวกับก้นหม้อ จะให้ชี้แนะอะไร ให้ชี้แนะว่าต้องถูกทุบตีอย่างไรงั้นหรือ?
บรรยากาศในสนามฝึกเต็มไปด้วยความครึกครื้น ทั้งจ้าวซุ่นเฉียนผู้เป็นขุนพลประจำหัวเมือง และทหารเยวี่ยโจวต่างได้รับการลงโทษอย่างถ้วนหน้าตั้งแต่บนลงล่าง หลังจากต่อสู้กันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดมันก็จบลง ไม่มีทหารเยวี่ยโจวแม้แต่คนเดียวที่ยังคงยืนอยู่
ตอนแรกแม้จะถูกทุบตีก็ยังยืนอยู่ได้ แต่จากนั้นพวกเขาก็ได้แต่นั่งยอง ๆ เอามือกุมศีรษะไว้ ต่อมาก็สูญเสียแม้กระทั่งความสามารถในการป้องกันตัวเอง และได้แต่นอนกองกับพื้นนิ่ง ๆ เหมือนสุนัขตาย ไม่ว่าจะโดนเตะอย่างไรก็ไม่ขยับ
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง เกาจัวหยวนก็ทำในสิ่งที่เขาพูดตามคำสั่งขององค์ชาย ผู้ชนะจะได้รับรางวัล และผู้แพ้จะถูกลงโทษ ทหารรักษาพระองค์ได้รับรางวัล เป็นการได้กินเนื้อจนพุงกาง และได้รับประทานอาหารค่ำร่วมกับท่านอ๋อง ส่วนทหารเยวี่ยโจวที่ถูกทุบตีจนสะบักสะบอม จะต้องลากสังขารอันน่าเวทนามารับโทษ
ต้องใส่ทรายให้เต็มกระสอบ แต่ละกระสอบมีน้ำหนักราวสี่สิบถึงห้าสิบชั่ง และแต่ละคนต้องแบกกระสอบวิ่งไปรอบ ๆ สนามฝึกจนกว่าพระอาทิตย์จะตก
ทหารเยวี่ยโจวเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ยังคงแขวนอยู่สูงบนท้องฟ้า กว่าพระอาทิตย์จะตกก็เป็นเวลาอีกราวหนึ่งชั่วยาม การวิ่งนี้เป็นวิธีฆ่าพวกเขาชัดๆ!
เกาจัวหยวนออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์ ขับไล่ทหารเยวี่ยโจวที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นให้ไปตักทรายใส่กระสอบ ทหารเยวี่ยโจวกำลังเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวด อารมณ์ของพวกเขาจึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
คนหนึ่งในกลุ่มบ่นว่า “พวกเจ้าไม่ได้กำลังฝึกทหาร พวกเจ้ากำลังจะฆ่าคน! ทั้งให้วิ่งและทุบตี แม้แต่การฝึกลาก็ยังไม่โหดเช่นนี้ พวกเจ้าเอาแต่ยืนสั่งโดยไม่ปวดหลัง อีกทั้งยังขี่ม้าไล่ตามพวกเราอีก ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าพวกเราต้องลำบากกันมากเพียงใด!”
เมื่อมีคนเป็นผู้นำ เหล่าทหารเยวี่ยโจวก็ลุกฮือขึ้นทันที พวกเขาตะโกนด้วยความเจ็บใจทีละคน “ใช่แล้ว การเอาแต่ยืนสั่งไม่ทำให้หลังของพวกเจ้าต้องปวด หากพวกเจ้ามีความสามารถก็มาฝึกกับพวกเราด้วยสิ!”
จ้าวซุ่นเฉียนปล่อยให้ฝูงชนส่งเสียงดังต่อไป และไม่ได้ส่งเสียงเพื่อหยุดพวกเขา พวกเขาถูกซ้อมจนปางตายจึงลุกขึ้นประท้วง ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่เกินไป อ๋องซู่ก็อาจจะไม่สั่งเช่นนี้ต่ออีก!
ทหารรักษาพระองค์หัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด กล้าเรียกมันว่าการฝึกอย่างยากลำบากอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งยังบอกว่าพวกเขาเอาแต่ยืนสั่งโดยไม่ปวดหลังงั้นหรือ?
อยากจะหัวเราะให้ตาย!
พวกเขาต้องตื่นไปซ้อมก่อนรุ่งสาง มีเช้าวันไหนบ้างที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการวิ่งสิบลี้? การได้เห็นพวกเขาวิ่งเหยาะ ๆ ในวันนี้ อย่าว่าแต่ท่านอ๋องเลยที่โกรธ แม้แต่พวกเขาก็ยังอยากจะเข้าไปทุบตีทหารเหล่านั้นให้ตายด้วยซ้ำ ทหารอย่างพวกเขารู้สึกขายหน้าจริง ๆ!
ทหารรักษาพระองค์ผู้โหดเหี้ยมก้าวเข้าไปคว้าตัวทหารเยวี่ยโจว ก่อนจะตะโกนสุดเสียงแล้วต่อยเขา “เจ้าพวกบ้า พวกเจ้าละอายใจบ้างหรือไม่เมื่อต้องบอกว่าตัวเองเป็นทหาร! แค่นี้ยังบอกว่าเหนื่อยยากเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกวันพวกข้าฝึกกันอย่างไร?”
พวกเขาต้องลุกขึ้นวิ่งตั้งแต่เช้ามืด ไม่ได้วิ่งตัวเปล่า แต่ต้องวิ่งแบกกระสอบหรือแบกของหนัก ต่อให้ลมจะแรงหรือฝนจะตก การเดินทางสิบลี้ก็กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา
นอกจากการวิ่งตอนเช้าแล้ว พวกเขายังต้องเรียนรู้การยิงธนู การชกมวย การวางแผน และการฝึกวรยุทธ์ทุกรูปแบบ เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะโดนผู้บังคับบัญชาดุด่าจนเลือดขึ้นหน้า และเป็นเรื่องปกติที่จะถูกเฆี่ยนตีต่อหน้าสหายร่วมรบ
ตอนนี้เจ้าพวกนี้กล้าบ่นหลังจากถูกฝึกแค่ช่วงเช้าครั้งเดียว เช่นนี้ก็กลับบ้านไปเป็นพวกสวะที่เอาแต่เกาะพ่อแม่กินดีกว่า จะได้ไม่ทำให้สถานะทหารต้องมัวหมอง!
มู่ฉินเจินมองภาพที่ไม่น่าดูเหล่านี้ ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ และมองจ้าวซุ่นเฉียนด้วยสายตาเย็นชา
“แม่ทัพจ้าว เปิ่นหวางจำได้ว่าเจ้าเป็นขุนพลผู้โหดเหี้ยมที่เคยอยู่ในสนามรบ ในตอนนั้นเจ้ามีชื่อเสียงไปทั่วแว้นแคว้น ด้วยชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในดินแดนเหมิง แต่เหตุใดทหารที่เจ้าปกครองอยู่ถึงได้โง่เขลา? ไม่มีสามัญสำนึกของการเป็นทหารด้วยซ้ำ?”
จ้าวซุ่นเฉียนถูกมู่ฉินเจินบีบบังคับให้จนมุม เขาลังเลและพูดตะกุกตะกัก “คือ… คือว่า…”
มู่ฉินเจินเย้ยหยัน “คือว่าอะไร? ในเมื่อไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ข้าก็จะบอกเจ้าให้ มันเป็นเพราะเจ้าเป็นคนฟุ่มเฟือย ละทิ้งหน้าที่ ไร้ระเบียบวินัย ตำแหน่งของเจ้าไม่สามารถใช้ทำประโยชน์อะไรได้ ค่ายทหารขนาดใหญ่เช่นนี้ช่างไร้ประโยชน์ ไม่เคยมีการฝึกฝนเลย แต่กลับใช้งบประมาณทหารหลายแสนตำลึงจากราชสำนัก เพื่อเลี้ยงดูพวกคนเกียจคร้าน!”
“จ้าวซุ่นเฉียน! เจ้าช่างบังอาจนัก!”
ทุกคำพูดของเขาเสียดแทงหัวใจของจ้าวซุ่นเฉียน เข่าของเขาอ่อนลงทันที ทรุดตัวลงกับพื้น แล้วร้องขอความเมตตา “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย กระหม่อมอธิบายได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมคิดว่าตอนนี้เป็นยุคที่สงบสุขและรุ่งเรือง ราษฎรต่างใช้ชีวิตและทำงานอย่างร่มเย็นเป็นสุข จึงไม่จำเป็นต้องฝึกทหารมากมาย ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองทั้งเงินและกำลังคน ต่อให้ฝึกไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้น… ดังนั้น…”
“ดังนั้นเจ้าจึงนำงบประมาณกองทัพทั้งหมดที่ได้รับจากราชสำนัก ไปใช้กิน ดื่ม และหาความสุขสำราญใส่ตัว!”
มู่ฉินเจินต่อประโยคให้เขา โทสะในคำพูดของเขากำลังจะระเบิดออกมา เขายกเท้าขึ้นถีบหน้าอกจ้าวซุ่นเฉียนอย่างแรงจนกระเด็นไปไกลลิบ แต่ต่อให้ทำเช่นนี้ ก็ยังไม่สามารถขจัดโทสะในใจของเขาได้
ถ้าไม่มีการฝึกทหารในยุคที่สงบสุขและรุ่งเรือง แล้วใครจะไปสนามรบเมื่อศัตรูบุกมา? รอให้สามัญชนที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่จับมีดทำครัวไปสู้หรือ?
เมื่อเห็นว่าจ้าวซุ่นเฉียนถูกเตะกระเด็นไป ทหารเยวี่ยโจวก็ไม่กล้าส่งเสียงดังอีกต่อไป พวกเขาก้มหน้าลงคุดคู้ราวกับนกกระทา เพราะกลัวว่าอ๋องซู่จะตัดหัวพวกเขา
ตอนนี้มู่ฉินเจินแน่ใจว่าจ้าวซุ่นเฉียนมีบางอย่างผิดปกติ ท่าทางต่าง ๆ ของเขาไม่เหมือนทหารผ่านศึกที่เคยอยู่ในสนามรบเลย!
เขาสั่งให้เกาจัวหยวนจับกุมจ้าวซุ่นเฉียน รวมไปถึงพวกแม่ทัพอีกหลายคน แล้วขังพวกเขาไว้ในคุกใต้ดิน อีกทั้งยังสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ปิดข่าวนี้ โดยจะไม่เปิดเผยข่าวการจับกุมขุนพลประจำหัวเมือง จนกว่าเขาจะได้รู้ความจริง
จ้าวซุ่นเฉียนดำรงตำแหน่งขุนพลประจำหัวเมืองเยวี่ยโจวเป็นเวลายี่สิบปี แต่ราชสำนักไม่เคยได้ยินข่าวเชิงลบใด ๆ เกี่ยวกับค่ายทหารเยวี่ยโจวเลย เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าเขายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่ช่วยปกปิดความผิดของเขาอยู่อีก
หลังจากที่จ้าวซุ่นเฉียนถูกนำตัวไป ทหารเยวี่ยโจวก็ถูกทหารรักษาพระองค์ไล่ไปฝึกต่อ แต่ละคนแบกกระสอบทรายวิ่งไปรอบสนามฝึก ซึ่งทหารเยวี่ยโจวอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อต้องแบกกระสอบอีก ฝีเท้าของพวกเขาก็อ่อนแรงลง บางคนหมดแรงจนไม่สามารถแม้แต่จะแบกกระสอบได้
ในตอนท้ายของวัน ทหารเยวี่ยโจวที่แสดงแสนยานุภาพในตอนเช้าก็กำลังจะตาย หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ พวกเขาก็ล้มลงบนเตียงและขยับตัวไม่ได้ มู่ฉินเจินไม่ได้สนใจพวกเขาอีกต่อไป และพาคนสองสามคนนั้นไปที่คุกใต้ดิน
ณ ห้องสอบสวน
มู่ฉินเจินนั่งอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีกลไกอยู่ในห้อง เขาสามารถมองเห็นการสอบปากคำนักโทษ ที่อยู่ห้องถัดไปผ่านทางช่องเล็ก ๆ
เขาสั่งให้เกาจัวหยวนและคนอื่น ๆ เป็นผู้สอบปากคำจ้าวซุ่นเฉียน หลังจากที่จ้าวซุ่นเฉียนถูกนำตัวออกมา ยังไม่ทันได้เริ่มการสอบสวนใด ๆ เลย เขาก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น แล้วอ้อนวอนขอความเมตตา รับบทเป็นคนขี้ขลาดอย่างเต็มที่
เกาจัวหยวนกำลังจะถามคำถามแรก แต่ทันใดนั้น จ้าวซุ่นเฉียนก็น้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกถลนล้มลงกับพื้น แล้วชักกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นอนแน่นิ่งไป
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง หลังจากที่เกาจัวหยวนตั้งสติได้ เขาก็ก้าวเข้าไปตรวจสอบลมหายใจทันที แล้วพบว่าจ้าวซุ่นเฉียนเสียชีวิตแล้ว
มู่ฉินเจินขมวดคิ้วเดินออกจากห้องเล็ก ๆ แล้วสั่งให้คนปิดผนึกคุกใต้ดิน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา อยู่ภายใต้การควบคุมของคนที่อยู่เบื้องหลังจ้าวซุ่นเฉียน
ในตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึง ค่ายทหารเยวี่ยโจวก็เต็มไปด้วยไส้ศึกของคนอื่นแล้ว จ้าวซุ่นเฉียนได้รับคำสั่งจากคนผู้นั้นให้ดูแลเขาเป็นการส่วนตัว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตกหลุมพราง!
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครกันนะที่เป็นตัวการเบื้องหลังทำให้กองกำลังหัวเมืองตรงนี้อ่อนแอ เป็นจุดอ่อนให้ข้าศึกโจมตี?
ไหหม่า(海馬)
Comments