ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 145 เบาะแสถูกทำลายอีกครั้ง

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 145 เบาะแสถูกทำลายอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 145 เบาะแสถูกทำลายอีกครั้ง

ตอนที่ 145 เบาะแสถูกทำลายอีกครั้ง

มู่ฉินเจินสั่งให้คนชันสูตรศพมาตรวจสอบ และพบว่าจ้าวซุ่นเฉียนถูกวางยาพิษ โดยเป็นการใส่ยาพิษลงในอาหาร ด้วยเหตุนี้ เกาจัวหยวนจึงพาคนไปจับตัวคนที่มาส่งอาหารในกองทัพเยวี่ยโจววันนี้ทันที แต่เขากลับพบว่าคนผู้นั้นได้กลายเป็นศพไปแล้วจากการกินยาพิษฆ่าตัวตาย

เมื่อเขามาถึงที่นี่ เบาะแสทั้งหมดก็ถูกทำลาย ทำให้ความสงสัยของมู่ฉินเจินยิ่งเพิ่มมากขึ้น ศัตรูอยู่ในที่มืด แต่พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ไม่รู้ว่ามีกี่คนในค่ายทหารใหญ่แห่งนี้ที่เป็นไส้ศึกของฝ่ายตรงข้าม

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ฉินเจินพบเรื่องยากลำบาก ไม่ใช่สิ มันควรจะเป็นครั้งที่สองมากกว่า ครั้งแรกที่มู่ฉินเจินพบว่าเป็นเรื่องยากลำบากก็คือการหาวิธีครอบครองหัวใจของเจ้าท่อนไม้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ องค์ชายก็คิดถึงเจ้าท่อนไม้และเด็ก ๆ ที่บ้าน เมื่อนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของพวกเขา เขาก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง เขาต้องรีบทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้กลับไปหาพวกเขาอีกครั้ง ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

……

วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงยามเหม่า ทหารรักษาพระองค์ก็เริ่มปลุกคนขึ้นมาฝึก ทหารเยวี่ยโจวที่ถูกทารุณกรรมราวกับสุนัขเมื่อวานนี้ วันนี้ต่างนอนติดเตียงกันหมด ร่างกายของพวกเขาเจ็บระบมไปทั่ว ทำให้พลิกตัวลุกจากเตียงได้ยากมาก

แต่ทหารรักษาพระองค์ยังคงพูดจาโผงผางเหมือนเตียวหุย พวกเขาตีฆ้องตีกลองและสาดน้ำใส่คนที่ไม่ลุกจากเตียง ทหารเยวี่ยโจวอยากจะต่อต้าน แต่เมื่อคิดว่าเจ้านายของตัวเองก็ยังถูกจับตัวเช่นกัน พวกเขาจึงจำต้องทนต่อความเจ็บปวด แล้วลุกขึ้น

เพื่อต้อนรับรุ่งอรุณอันแจ่มใส แน่นอนว่าต้องเริ่มต้นด้วยการวิ่งตอนเช้า วันนี้ก็ยังคงเป็นการวิ่งสิบลี้ แต่ไม่ใช่การวิ่งตัวเปล่าอีกต่อไป เพราะแต่ละคนต้องแบกกระสอบทรายไปด้วยขณะวิ่ง

เนื่องจากเมื่อวานนี้ ทหารเยวี่ยโจวบอกว่าพวกเขาเอาแต่ยืนสั่งโดยไม่ปวดหลัง วันนี้ทหารองครักษ์ทุกคนจึงแบกกระสอบไว้บนบ่า และร่วมฝึกกับพวกเขาด้วย เพื่อแสดงให้พวกไก่อ่อนเหล่านี้เห็นว่าทหารคืออะไร!

ทหารเยวี่ยโจวรู้สึกอ่อนแรงเมื่อได้ยินว่าต้องวิ่งสิบลี้ พวกเขาแบกกระสอบและเริ่มออกเดินทาง โดยที่เหนื่อยมากตั้งแต่ก่อนจะออกจากค่ายทหารแล้ว

ทหารรักษาพระองค์ถอดเสื้อออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนอันกำยำ พวกเขาทุกคนดูแข็งแรงและสง่าผ่าเผย ขณะเดินแบกกระสอบทรายไว้บนไหล่ราวกับลอยได้

พวกเขาไม่เพียงแต่วิ่งเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่คอยจับตาดูเหล่าทหารอีกด้วย เมื่อพวกเขาเห็นว่าทหารเยวี่ยโจวล้มลง ก็จะวิ่งไปเตะคนผู้นั้นอย่างแรงทันที เตะแรงจนทั้งคนทั้งกระสอบทรายกลิ้งไปไกล

ทหารเยวี่ยโจวที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเมื่อวาน วิ่งช้าลงในวันนี้ บางคนเปลี่ยนจากแบกกระสอบไว้บนบ่ามาเป็นอุ้ม ในที่สุดจากอุ้มก็กลายเป็นลาก

เมื่อกลับมาถึงค่ายทหารก็ยังเป็นเวลาบ่ายอยู่ หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็รีบไปฝึกต่อเหมือนนักโทษ แต่คราวนี้ไม่มีใครกล้าส่งเสียงบ่น ทหารรักษาพระองค์แบกกระสอบแบบเดียวกัน วิ่งไปตามถนนบนภูเขาเหมือนทหารเหล่านั้น แต่พวกเขายังคงมีชีวิตชีวาและสบายดีหลังการฝึก

ส่วนทางด้านทหารเยวี่ยโจวนั้น ความกล้าหาญของหลายคนได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว พวกเขาเริ่มคิดได้ว่าการเป็นทหารหมายความว่าอย่างไร

ก่อนที่จ้าวซุ่นเฉียนจะถูกจับตัวไป พวกเขาได้แต่กินดื่มทุกวันและคิดว่าจะให้ฝึกซ้อมต่อสู้ แต่วันแล้ววันเล่าพวกเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย และยังสามารถรับเงินเดือนจากกองทัพได้เมื่อถึงสิ้นเดือน พวกเขาจึงคิดว่าการเป็นทหารนั้นช่างสบายนัก จนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ พวกเขาได้เห็นแล้วว่าทหารรักษาพระองค์แข็งแกร่งมากเพียงใด พวกเขาเองก็เป็นทหารเช่นกัน แต่กลับแตกต่างกันลิบลับ

ทหารรักษาพระองค์นั้นทรงพลังอย่างไร้เทียมทาน มีทักษะที่ยอดเยี่ยม แม้แต่ท่าเดินที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังเชิดหน้าขึ้นและอกผายไหล่ผึ่ง พวกเขามีพละกำลังมาก นิสัยใจคอก็ซื่อตรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มี และไม่เคยเรียนรู้มาก่อน

ทหารเยวี่ยโจวที่ตระหนักได้จึงต้องการเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง และต้องการเป็นเหมือนทหารองครักษ์ให้ได้!

พวกเขาเริ่มฝึกซ้อมอย่างจริงจัง และแม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยมาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถกัดฟันอดทนได้ แทนที่จะตะโกนว่าเหนื่อยเหมือนตอนแรก

ในที่สุดพวกเขาก็นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง และไม่สามารถลุกขึ้นได้ แต่กลับรู้สึกอิ่มเอมใจ เพราะคิดว่าได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

ทหารเยวี่ยโจวยังคงฝึกกันต่อไป ส่วนมู่ฉินเจินก็กำลังตรวจสอบประวัติของจ้าวซุ่นเฉียน

เขาไปตรวจสอบเจ้าหน้าที่ทุกระดับทั่วภูมิภาคของเยวี่ยโจว ตั้งแต่ปลัดอำเภอตำแหน่งเล็ก ๆ นายอำเภอ จนถึงตำแหน่งใหญ่อย่างเจ้าเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พบอะไรเลย

มีเจ้าหน้าที่หลายสิบคนในเยวี่ยโจว แต่ไม่เคยมีบันทึกเกี่ยวกับความประมาทเลินเล่อ หรือกรณีที่ตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม เป็นเท็จ หรือตัดสินผิดพลาดเลย เมื่อไปเยี่ยมชาวบ้าน ผู้คนต่างยกย่องพวกผู้นำและข้าหลวงในท้องถิ่นอย่างมาก ทั้งหมดนี้ทำให้มู่ฉินเจินยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม

น้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา แม้แต่ข้าราชการที่ดีที่สุด ผู้อุทิศตนรับใช้ชาติและประชาชน ก็ย่อมตัดสินใจผิดพลาดได้ จะถึงขั้นใสสะอาดจากบนลงล่างเหมือนที่นี่ได้อย่างไร

เยวี่ยโจวแห่งนี้มีปัญหาใหญ่!

ในบรรดาข้าหลวงทั้งหมด เขาตั้งเป้าไปที่หูเหวินไหลผู้เป็นเจ้าเมืองเยวี่ยโจว ตำแหน่งทางการของเขาสูงที่สุดในบรรดาข้าหลวงฝ่ายพลเรือน ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งมีอิทธิพลมาก

ทว่าก่อนที่จะสอบสวนหูเหวินไหล คนแรกที่มู่ฉินเจินไปหาก็คือหยางซิ่ง นายอำเภอแห่งเมืองจางเฉิง ที่เป็นผู้ส่งจดหมายลับถึงราชสำนัก

ถึงตอนนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่า จดหมายลับที่ถูกส่งถึงราชสำนักนั้นไม่ได้ผ่านมือของหูเหวินไหล ไม่เช่นนั้นมันจะไม่มีทางถูกส่งถึงมือตาเฒ่าแน่

เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวซุ่นเฉียน เขาจึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และสั่งให้เกาจัวหยวนอยู่ในค่ายทหารเพื่อฝึกทหารเยวี่ยโจว และสั่งให้สืบหาไส้ศึกที่แฝงตัวอยู่ในค่ายด้วย ส่วนเขาก็ฉวยโอกาสตอนกลางคืน พาองครักษ์สองคนแอบเดินทางไปที่เมืองจางเฉิง

เมืองจางเฉิงค่อนข้างอยู่ไกลจากค่ายทหาร พวกเขาจึงต้องรีบขี่ม้ากันไปตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นประมาณยามเฉิน ในที่สุดก็มาถึงจวนกลางเมือง

แต่พวกเขาก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว ข้าหลวงในจวนบอกว่าหยางซิ่งพาผู้ติดตามของเขาไปที่ชนบท เพื่อสอบสวนคดีเมื่อวานนี้ และคงไม่ได้กลับมาในชั่วข้ามคืน

เมื่อมู่ฉินเจินได้ยินข่าว เขาก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ มันน่าจะเป็นลางร้ายมากกว่าลางดีสำหรับหยางซิ่ง

เนื่องจากอ๋องซู่เสด็จมาด้วยตนเอง ผู้คนที่อยู่ในจวนกลางเมืองจึงต้องออกไปตามหานายอำเภอทันที จากนั้นก็กลับมา แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามที่มู่ฉินเจินคาดไว้ หยางซิ่งหายตัวไป ส่วนผู้ติดตามทั้งหมดที่เขาพาไปด้วยนั้น ถูกวางยาสลบและนอนหมดสติกันอยู่ข้างถนน

เมื่อไม่พบหยางซิ่ง มู่ฉินเจินจึงเรียกสมาชิกในครอบครัวของหยางซิ่งมา โดยหวังว่าจะได้เบาะแสจากพวกเขา

ปีนี้หยางซิ่งอายุยี่สิบหกปี เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว เขาหมั้นหมายแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน มีเพียงแม่ที่แก่ชราและคนรับใช้สองสามคนที่บ้าน

เมื่อรู้ว่าลูกชายหายตัวไป แม่เฒ่าหยางก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคำถามของมู่ฉินเจิน

“ท่านผู้เฒ่า ไม่ต้องกังวล ท่านอ๋องของพวกเราได้ส่งคนไปตามหาใต้เท้าหยางแล้ว โปรดลองคิดให้ดี ปกติใต้เท้าหยางมีศัตรูหรือไม่?”

หลิงเซียวผู้เป็นองครักษ์คนสนิทของมู่ฉินเจินลูบหลังแม่เฒ่าหยางเบา ๆ ปลอบโยนนางอย่างอดทน และถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร

แม่เฒ่าหยางคิดอย่างรอบคอบด้วยดวงตาแดงก่ำ แต่นางไม่สามารถนึกถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ ได้ “ซิ่งเอ๋อร์ของข้าเป็นคนดีมาก เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ข้าไม่เคยเห็นว่าเขามีศัตรูเลย!”

……

หลังจากออกจากจวนกลางเมือง ทั้งมู่ฉินเจินและผู้ใต้บังคับบัญชาต่างรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย เหตุการณ์นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ แม้จะสามารถเดาตัวฆาตกรได้ แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานใด ๆ มาได้เลย

มู่ฉินเจินรีบกลับไปที่ค่ายทหารพร้อมกับหลิงเซียว โดยทิ้งองครักษ์อีกคนไว้ที่จวนกลางเมืองจางเฉิง เพื่อสืบหาเบาะแสของหยางซิ่งและปกป้องแม่เฒ่าหยาง เพราะเขากังวลว่าคนร้ายจะฆ่าทุกคน

เมื่อกลับมาถึงค่ายทหาร เกาจัวหยวนก็มารายงานว่ามีจดหมายจากเมืองหลวง ตลอดเวลาที่ผ่านมา นี่เป็นเรื่องเดียวที่มู่ฉินเจินได้ยินแล้วมีความสุข เขาสั่งให้ทำการฝึกต่อ แล้วกลับเข้าไปในห้องโดยไม่หันกลับไปมอง

เกาจัวหยวนเห็นท่าทางรีบเร่งของท่านอ๋อง เขาก็เม้มปากอย่างเสียไม่ได้

นายท่าน ช่วยสงวนท่าทางให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ขอรับ?

ทว่าท่านอ๋องก็ทิ้งพระชายาและลูก ๆ มาหลายวันแล้ว จึงน่าจะทรมานใจมาก ช่างเถิด เขาไม่ได้รังเกียจบุรุษรักครอบครัวสักนิด

ครั้งหนึ่งองครักษ์เกาไม่ชอบที่ท่านอ๋องขาดความยับยั้งชั่งใจ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกสงสารท่านอ๋องและหวางเฟยที่ถูกแยกจากกัน คิดแล้วก็รู้สึกใจสั่น ไม่คิดเลยว่าเขาจะยังต้องเป็นคนโสดอยู่เช่นนี้

………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หยางซิ่งจะรอดไหม กลัวโดนเก็บจริงๆ เลย ฐานไปขัดขาคนใหญ่คนโตเข้า

คนติดเมียแล้วต้องห่างเมียนานๆ ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ได้รับจดหมายทีหน้าบานไปทั้งวัน

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *