ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 150 ระบบจอมดราม่า
ตอนที่ 150 ระบบจอมดราม่า
ตอนที่ 150 ระบบจอมดราม่า
เฉียวเยี่ยนพูดพล่ามจนมู่ฉินเจินลืมความลำบากใจไปเสียสนิท ในขณะที่เขาเดินตามนางอย่างเชื่อฟัง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จูงม้าเดินตามนางไปเงียบ ๆ พร้อมกับมุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เมื่อกลับไปถึงค่าย เหล่าทหารรักษาพระองค์ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นทั้งคู่จับมือกัน เด็กน้อยทั้งสองกลับมาจากเดินเล่นแล้ว และกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของพ่อแม่อย่างมีความสุข
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กอดต้นขาของพ่อและขอให้อุ้ม มู่ฉินเจินโยนบังเหียนในมือให้หวังสยงอันที่อยู่ข้าง ๆ แล้วโน้มตัวไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
เจ้าปลาอ้วนจูบหน้าพ่อหลายครั้งจนน้ำลายเต็มหน้าเขาไปหมด จากนั้นก็เอนตัวซบหน้าอกบิดาอย่างพึงพอใจ แล้วพูดด้วยความใสซื่อว่า “ท่านพ่อ เหตุใดท่านกับท่านแม่จูบกันนานจัง? ข้ากับท่านพี่รอตั้งนาน ท่านลุงหวังถึงกับพาเราไปขี่ม้าด้วยซ้ำ”
คำถามของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก็เป็นความสงสัยในใจของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์เช่นกัน แต่เขาไม่ได้ถามต่อ และเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองพ่อแม่ของเขาเพื่อรอคำตอบ
เฉียวเยี่ยนหน้าแดง ก่อนโยนคำถามเผ็ดร้อนนี้ไปให้ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ “ข้าจะไปหาอะไรให้ท่านกินก่อน พวกท่านค่อย ๆ คุยกันไปนะ”
สีหน้าของมู่ฉินเจินก็แข็งทื่อเช่นกัน เขาอยากจะเพิกเฉยต่อสายตาแผดเผาของเด็กทั้งสอง แต่น่าเสียดายที่เขาทำไม่ได้
หลังจากเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง “พวกเจ้าอยากขี่ม้ากันหรือไม่? พ่อจะพาพวกเจ้าไป”
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลกับเด็กน้อยทั้งสอง พวกเขารีบแย้งข้อแก้ตัวของเขาทันที “มันมืดแล้ว ขี่ม้าไม่ได้แล้ว”
เด็กน้อยทั้งสองยิ่งจ้องมองเขามากกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเด็ก ๆ ฉลาดมาก อย่าได้พยายามเปลี่ยนเรื่องเชียว!
มู่ฉินเจินตอบด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ต่อให้มืดแล้วพวกเจ้าก็ขี่ได้”
สุดท้ายเขาก็ต้องรีบพาเด็กทั้งสองไปเลือกม้า แล้วพาไปเดินเล่นใกล้ ๆ ทันที แล้วความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทั้งสองก็ค่อย ๆ หมดไปเพราะการขี่ม้า
เฉียวเยี่ยนมองไปยังสามพ่อลูก แล้วหัวเราะเบา ๆ ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ยังคงหลอกล่อเด็กน้อยได้อยู่หมัดจริงๆ!
หลังจากหัวเราะ นางก็หันกลับมายุ่งอยู่กับการวางแผนปรุงบะหมี่หูแมวให้มู่ฉินเจิน
นางเตรียมแป้ง ขณะทหารรักษาพระองค์อาสาช่วยนางจุดไฟ ระหว่างทำไปได้สักพักนางก็นึกได้ว่าระบบตัวน้อยยังคงถูกนางคุมขังไว้ จึงรีบกลับมาติดต่ออย่างรวดเร็ว
ระบบมีฟังก์ชันที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้มาก นั่นคือสามารถตัดการติดต่อกับอีกฝ่ายเพียงฝ่ายเดียวได้ เพื่อให้สามารถรักษาความเป็นส่วนตัวบางส่วนไว้ได้
ขณะที่นางกับมู่ฉินเจินกำลังคุยกัน นางก็ปิดกั้นระบบตัวน้อย เพื่อไม่ให้ได้ยินเรื่องที่ไม่เหมาะกับเด็ก
คล้ายกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ทันทีที่มีการเชื่อมต่อ นางก็เห็นแผ่นหลังเล็ก ๆ ของระบบตัวน้อยที่กำลังงอน
นางยังคงพึมพำตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
[ข้าคิดไว้แล้วว่าหากท่านอยู่กับผู้ชาย ท่านต้องทิ้งข้าไปแน่นอน และครั้งหน้าท่านก็จะทำร้ายจิตใจข้าอีก ข้าไม่ยอมแล้ว!]
ราวกับถูกหลินไต้อวี้*เข้าสิง!
(* 林黛玉 ชื่อของนางเอกในเรื่อง ความฝันในหอแดง หนึ่งในสี่วรรณกรรมคลาสสิกของจีน)
เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขันสีหน้าของเด็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น แต่เมื่อระบบตัวน้อยได้ยินเสียงหัวเราะ นางก็พูดด้วยสีหน้าเศร้ากว่าเดิม
[เฮ้อ สุดท้ายความรู้สึกก็จางหาย คนเราก็แค่นั้น พบกันเพื่อลาจาก]
เฉียวเยี่ยนไม่สามารถทำอะไรกับเด็กน้อยคนนี้ได้ เห็นได้ชัดว่านางเป็นเด็กน้อยน่ารักอายุราวสี่หรือห้าขวบ แต่สิ่งที่นางพูดนั้นฟังดูเกินอายุ ถึงอย่างนั้นก็ยังน่ารักมาก
เมื่อทหารรักษาพระองค์ที่กำลังผิงไฟอยู่ด้านข้าง ได้ยินเสียงหวางเฟยหัวเราะขึ้นมากะทันหันก็รู้สึกขนลุก และหันไปมองข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีอะไรน่าขนลุกใช่หรือไม่? สมัยเด็กพวกเขาล้วนเคยได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านว่าถิ่นทุรกันดารเต็มไปด้วยพลังหยิน และมีสัมภเวสีไร้ญาติอยู่เสมอ ซึ่งพลังหยางในร่างสตรีไม่แข็งแกร่งเท่าบุรุษ จึงทำให้ง่ายต่อการถูกเข้าสิง และวิญญาณก็มักจะเลือกเข้าสิงสตรีเสมอ
เฉียวเยี่ยนไม่รู้ความคิดของผู้คนรอบกายนาง และยังคงพยายามปลอบโยนระบบจอมดราม่า
“อย่าโกรธไปเลย ที่ข้าไม่ให้เจ้าเห็นก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง เด็กอายุสี่หรือห้าขวบไม่ควรรู้เรื่องของผู้ใหญ่มากเกินไป”
เสี่ยวถ่งจือไม่ยอม และโต้กลับนาง
[ระบบไม่ใช่เด็ก อายุในโลกที่ระบบอยู่นับว่าเป็นร้อยแล้ว อายุร้อยปีเทียบเท่าหนึ่งปีของชีวิตมนุษย์ ถ้าอายุของข้าถูกแปลงเป็นอายุขัยของมนุษย์ ข้าก็นับว่าเป็นรุ่นบรรพบุรุษแล้ว!]
หลังจากเฉียวเยี่ยนได้ฟัง ความสงสัยก่อนหน้านี้ทั้งหมดของนางก็ได้รับการอธิบาย ปรากฏว่าเด็กน้อยเติบโตขึ้นเพียงหนึ่งปี หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี
“เอาล่ะ บรรพบุรุษตัวน้อยของข้า เจ้าคือระบบ ดังนั้นเจ้าต้องปฏิบัติตามกฎของโลกที่เจ้าอยู่ตอนนี้ ดังนั้นเจ้ายังถือว่าเป็นเด็กอยู่ การโต้เถียงจึงไม่ถูกต้อง จบนะ!”
หลังจากโต้เถียงกับเด็กน้อยเสร็จแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เริ่มปั้นแป้ง ส่วนสามพ่อลูกก็ขี่ม้ากลับมา
เมื่อขี่ม้ากับลุงหวัง ความเร็วจะช้ามากทำให้ไม่น่าตื่นเต้น แต่เมื่อขี่ม้ากับพ่อ ก็จะสามารถควบม้าอย่างดุเดือดได้ เด็กน้อยทั้งสองชอบความรู้สึกของลมที่พัดตีใบหน้าเป็นพิเศษ
บะหมี่หูแมวชามใหญ่เต็มไปด้วยเครื่องเคียงและเนื้อหั่นบาง ๆ จนท้องของมู่ฉินเจินที่ร้องมาทั้งวันทั้งคืนส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นว่าไม่ร้อนเกินไป เขาก็ถือชามไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือถือตะเกียบ สักพักเขาก็กินบะหมี่หูแมวจนหมดเกลี้ยง
เฉียวเยี่ยนนั่งดูเขาอยู่ข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย ปกติเขาจะให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มาก นี่แสดงว่าเขาต้องหิวมากแน่ ๆ ถึงได้กินด้วยท่าทางค่อนข้างตะกละตะกลามเช่นนี้
นางอดไม่ได้ที่จะดุอีกครั้ง “ท้องฟ้าและผืนดินว่าใหญ่แล้ว แต่เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด หากท่านยังอดอาหารเช่นนี้อีก ในอนาคตข้าจะลงโทษท่าน!”
แม้ว่ามันจะเป็นการดุ แต่มู่ฉินเจินก็รู้สึกอบอุ่นมาก และฟังนางบ่นต่อไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากกินบะหม่หูแมวแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ควานหายาบำรุงกระเพาะอาหารสองเม็ดในกระเป๋าที่นางนำมาด้วย และยื่นไปให้เขา เพราะหลังจากกินมากในตอนกลางคืน อาหารอาจไม่ย่อยหลังจากเข้านอน
……
มู่ฉินเจินไม่ได้รีบร้อนกับการเดินทางอีกสองวันข้างหน้า แต่พาสามแม่ลูกกลับไปที่เยวี่ยโจวช้า ๆ
ในวันที่สามของเดือนห้า ในที่สุดเฉียวเยี่ยนและคณะเดินทางก็มาถึงค่ายทหารเยวี่ยโจว หลังจากผ่านไปแปดวัน
พวกเขามาถึงในตอนเช้า ทหารส่วนใหญ่ในค่ายทหารถูกนำตัวออกไปฝึก เหลือเพียงองครักษ์และพ่อครัวบางส่วน
หลังจากการฝึกฝนมาหลายวัน ในที่สุดทหารเยวี่ยโจวที่เฝ้าประตูก็ดูเหมือนทหาร เขายืนตัวตรงเชิดหน้าอกผายไหล่ผึ่ง แต่เมื่อเขาเห็นอ๋องซู่นำกองทหารกลับมา เขาก็ตกใจจนดาบในมือเกือบร่วงลงพื้น
อ๋องซู่ไม่ได้เป็นไข้และพักผ่อนอยู่ในกระโจมหรอกหรือ? แล้วเหตุใดจึงออกไปข้างนอก? และนำกองทหารรักษาพระองค์กลับมาด้วย
ทหารรักษาพระองค์หลายสิบคนในค่ายทหารก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา และตอนนี้มีมาเพิ่มอีกหลายร้อยคน ไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเขาใช่หรือไม่?
หรือว่าอ๋องซู่ต้องการยึดค่ายทหารเยวี่ยโจวของพวกเขา?
ภายใต้สายตาประหลาดใจของทหารเฝ้าประตูที่จ้องมองมา มู่ฉินเจินลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินไปที่รถม้า แล้วอุ้มเฉียวเยี่ยนลง จากนั้นอุ้มเด็กทั้งสองตามลงมา
ทันทีที่เฉียวเยี่ยนปรากฏตัว ดวงตาของทหารเยวี่ยโจวที่เฝ้าประตูก็เบิกกว้าง โลกนี้มีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้เลยหรือ! นางช่างงามอะไรเยี่ยงนี้
เมื่อมู่ฉินเจินเห็นว่าเจ้าท่อนไม้ของเขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ใบหน้าของเขาก็เหี้ยมเกรียมขึ้นทันที ก่อนจะพูดกับคนเฝ้าประตูด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กระทั่งประตูเจ้ายังเฝ้าไม่ได้ แล้วเจ้าจะมีประโยชน์อะไร? ไปวิ่งรอบสนามจนกว่าเปิ่นหวางจะพอใจ!”
ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ใช้เหตุผลที่น่าฟังในการขับไล่ทหารเยวี่ยโจวที่กำลังสนใจแม่เนื้อหอมของเขาไปฝึก จากนั้นเขาก็จูงมือเฉียวเยี่ยนไปที่ค่ายทหาร
เด็กทั้งสองไม่ได้ถูกพ่อแม่อุ้มแล้ว แต่ก็ไม่ได้เสียใจ พวกเขาเดินตามพ่อแม่ด้วยขาสั้น ขณะมองดูสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มู่ฉินเจินได้เข้ายึดค่ายทหารเยวี่ยโจวอย่างเต็มกำลัง ตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งล้วนถูกจัดโดยกำลังคนของเขาเอง หากไม่มีคำสั่ง ก็จะจัดให้ทหารรักษาพระองค์ร้อยคนที่ติดตามมา
เขาพาสามแม่ลูกกลับไปที่กระโจมของเขา และปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนสักพัก แต่เฉียวเยี่ยนถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งระหว่างทาง
มีพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่อยู่นอกสนามฝึก ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยวัชพืช เฉียวเยี่ยนรู้สึกเสียดายมากตั้งแต่แรกเห็น มันคงจะดีถ้าพื้นที่แห่งนั้นถูกเรียกคืนมาเพื่อปลูกผัก ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดค่าซื้อผักในค่ายทหารได้ครึ่งหนึ่ง!
……………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ระบบงอนแล้ว โฮสต์หวานกับผู้ชายกันแบบไม่เกรงใจเลย
โครงการปลูกผักในค่ายทหารต้องมาแล้วล่ะม้างงง
ไหหม่า(海馬)
Comments