ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 158 จอมโจรยวนยาง
ตอนที่ 158 จอมโจรยวนยาง
ตอนที่ 158 จอมโจรยวนยาง
เฉียวเยี่ยนฉวยโอกาสรีบเข้าไปในห้องตำรา เมื่อชายร่างใหญ่เห็นร่างนาง รูม่านตาของเขาก็หดลงด้วยความตกใจ และรีบปรี่เข้าไปหา หมายจะหยุดนางไว้
แต่มู่ฉินเจินใช้กระบี่ขวางทางเขาไว้ แล้วต่อสู้กับเขาอีกครั้ง
การปรากฏตัวของเฉียวเยี่ยนได้เบี่ยงเบนความสนใจของเขา ทำให้ชายร่างใหญ่ที่มีพละกำลังไม่ต่างจากมู่ฉินเจินมากนักเกิดความสับสนอย่างเห็นได้ชัด จนมู่ฉินเจินฟันแขนเขาไปหลายแผล
หลังจากที่เฉียวเยี่ยนเข้าห้องตำรามาแล้ว นางก็ติดตั้งเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กเครื่องไว้ในมุมลับตาทันที จากนั้นก็ค้นห้องตำราอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อพยายามดูว่ามีเบาะแสสำคัญหรือไม่
แต่หลังจากค้นลิ้นชักและชั้นหนังสือทั้งหมดแล้ว ก็ไม่พบอะไรที่มีประโยชน์เลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีห้องลับอยู่ในห้องนี้?
เมื่อเกิดความคิดนี้ นางจึงเริ่มเคลื่อนย้ายของประดับต่าง ๆ ในห้อง ไม่รู้ว่าหากนางบิดของประดับบางอย่างเหมือนที่เห็นในละคร ประตูห้องลับจะเปิดออกหรือไม่นะ?
แต่ก่อนที่นางจะทำสำเร็จ คนรับใช้ในจวนเจ้าเมืองที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ก็รีบวิ่งเข้ามา และเริ่มส่งเสียงโวยวาย
“ห้องตำราถูกบุกรุก! มาเร็ว มีหัวขโมย!”
เสียงอื้ออึงดังไปทั่วจวนเจ้าเมือง จากนั้นจวนหลังใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงเอ็ดอึงอลหม่านของผู้คนภายในชั่วพริบตา เฉียวเยี่ยนใช้เวลานี้ทำให้ทุกอย่างในห้องตำราเลอะเทอะ ทั้งพลิกชั้นหนังสือให้คว่ำ เตะโต๊ะและเก้าอี้ ทุบหินฝนหมึกให้แตก จนน้ำหมึกกระเซ็นเปรอะไปทั่วห้อง
เพื่อสร้างสถานการณ์ว่ามีหัวขโมยมาบุก นางจึงเอาของมีค่าในห้องตำราไปด้วย
หูเหวินไหลที่กำลังยุ่งกับ “ธุระ” ได้ยินเสียงเตือนจากคนรับใช้ก็แทบจะลมจับทันทีด้วยความตกใจ รีบสวมเสื้อผ้าและรองเท้าแล้ววิ่งไปที่ห้องตำรา
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะถูกล้อม เฉียวเยี่ยนก็ดึงม่านในห้องตำราลงมา จากนั้นโยนของมีค่าทั้งหมดที่นางขโมยมาลงในผ้าม่าน แล้วแบกสัมภาระใบใหญ่ไว้บนหลัง
ความแข็งแกร่งของนางเกิดมาเพื่อคืนนี้ หากโจรที่มีความแข็งแกร่งน้อยกว่าเข้ามา การเอาไปเพียงแค่อย่างสองอย่างก็คงเพียงพอแล้ว แต่นางไม่ใช่อย่างนั้น นางต้องการทั้งหมด!
ยิ่งใจห้าวหาญเพียงใด การกระทำก็จะห้าวหาญตาม ตราบใดที่กวาดทรัพย์สินทั้งหมดใส่ในผ้าม่านได้ นางก็จะเอาออกไปทั้งหมด
เฉียวเยี่ยนแบกสัมภาระใหญ่โตราวกับมดแบกดักแด้ จากนั้นรีบออกจากห้องตำรา แล้วส่งสัญญาณโอเคให้มู่ฉินเจิน บ่งบอกว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว
มู่ฉินเจินเกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นสิ่งที่นางแบกออกมา นางบอกว่าจะแกล้งทำเป็นขโมย แต่นางกลับกลายเป็นขโมยจริง ๆ ไปได้อย่างไร?
เขาต้านรับการโจมตีของชายร่างใหญ่อย่างเต็มกำลัง จากนั้นหมุนข้อมือ ทำให้กระบี่หันไปทางเดียวกัน แล้วโจมตีขึ้นลง เมื่อชายร่างใหญ่คิดว่าตนกำลังจะถูกแทงหัวใจ มู่ฉินเจินก็โจมตีต้นขาของเขาทันที
เมื่อต้นขาถูกแทงกระบี่หนึ่ง ชายร่างใหญ่ก็ร้องลั่น มู่ฉินเจินดึงกระบี่ออกอย่างประณีต แล้วหันหลังวิ่งไปหาเฉียวเยี่ยน โอบแขนรอบเอวนาง จากนั้นเขย่งเท้ากระโดดออกจากกำแพงจวน
แต่เรื่องน่าอายก็เกิดขึ้น เขาลืมไปว่าสัมภาระถุงใหญ่บนหลังของเจ้าท่อนไม้หนักมาก ตอนแรกเขาจึงไม่ได้ออกแรงมากพอ และเกือบจะตกจากกำแพงพร้อมกับเฉียวเยี่ยน
ท่านอ๋องรู้สึกอับอายแทบตายอยู่ตรงนั้น ขณะเฉียวเยี่ยนกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่โชคดีที่ท่านอ๋องยังพลิกสถานการณ์ได้ทันท่วงทีด้วยการใช้เท้ายันกำแพงอีกครั้ง จากนั้นก็กระโจนข้ามกำแพงพร้อมกับเฉียวเยี่ยนและสัมภาระถุงใหญ่
ทั้งคู่อับอายแทบตาย หากทักษะของท่านอ๋องไม่ดีพอ พวกเขาคงจะกลายเป็นโจรคู่แรกในประวัติศาสตร์ที่กระโดดข้ามกำแพงไม่พ้น และเสียชีวิตเพราะขโมยของมามากเกินไป
แต่ในสายตาของทุกคนในจวนเจ้าเมือง สิ่งที่พวกเขาทำคือการสร้างความอัปยศอดสู โจรเข้ามาขโมยของเป็นจำนวนมากจนเกือบข้ามกำแพงไปไม่รอด ทว่าพวกเขากลับไม่อาจทำอะไรโจรได้เลย หากไม่เรียกว่าเป็นความอัปยศอดสู แล้วจะเรียกว่าอะไร?
หูเหวินไหลรีบไปที่ห้องตำรา และทันเห็นภาพโจรแบกสัมภาระกระโดดออกจากกำแพง ส่วนพวกคนที่เขาชุบเลี้ยงไว้กลับยืนเฝ้าดูโจรหลบหนีไปเฉย ๆ!
เขาโกรธจนแทบจะกระอักเลือด ยิ่งเมื่อก้าวเข้าไปในห้องตำรา เขาก็กระอักเลือดออกมาจริง ๆ!
ไม่เพียงแต่กระอักเลือดเท่านั้น แต่แทบจะหัวใจวายตาย!
ทุกอย่างบนชั้นวางของโบราณของเขาหายไปทั้งหมด ในห้องตำรามีแต่ความเละเทะยุ่งเหยิง เขาใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเชียวนะ เพื่อให้ได้สมบัติเหล่านั้นมาครอบครอง!
เขากำลังจะล้มลง แต่ก็ยังจับกรอบประตูค้ำยันตัวเองไว้ได้ แล้วตะโกนใส่คนรับใช้ด้วยเสียงแหบแห้ง “ไปไล่ตามมันสิ! มายืนทำอะไรกันตรงนี้? รอให้ข้าไปไล่ตามเองหรือ!”
คนรับใช้เพิ่งกลับมารู้สึกตัว จึงรีบรับคำ ก่อนถือไม้วิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ แม้แต่จอมยุทธ์ที่นายท่านจ้างมาด้วยเงินจำนวนมากก็ยังสู้โจรสองคนนี้ไม่ได้ แล้วพวกเขาจะไม่ไปตายหรอกหรือ?
เมื่อถึงเวลาที่คนรับใช้วิ่งออกมาจากจวนเพื่อจะไล่ตาม เฉียวเยี่ยนและมู่ฉินเจินก็หายตัวไปนานแล้ว
ทั้งสองวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับค่ายทหาร จากนั้นจึงอ้อมกลับไปที่ค่ายทหารเพื่อล่อคนเหล่านั้นออกไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้ว พวกเขาจึงลดความเร็วในการวิ่งลง เฉียวเยี่ยนกำลังแบกสัมภาระขนาดใหญ่ไว้บนหลัง จากนั้นก็ยืนพักขาหอบหายใจ ทำให้เงาของนางดูเหมือนเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง
วันนี้มู่ฉินเจินก็เหนื่อยเช่นกัน เขาหอบอย่างหนัก ขณะนึกถึงช่วงเวลาแห่งความลำบากใจเมื่อครู่ สองสามีภรรยาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ด้วยไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
มู่ฉินเจินยื่นมือออกไปรับสัมภาระบนหลังของเฉียวเยี่ยน ไปแบกไว้บนหลังของเขา แล้วพูดอย่างเคอะเขิน “เจ้าคนโลภตัวน้อย เห็นทีครั้งนี้หูเหวินไหลคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่”
เฉียวเยี่ยนพูดประชดประชัน “เขาโกรธก็ดีแล้ว ข้าไปที่นั่นเพื่อช่วยท่านระบายความแค้น ใครบอกให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นยักยอกทรัพย์สินของหลวงมามากมายกันเล่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าเอามาเท่านี้ยังถือว่าเล็กน้อยมาก!”
คืนนี้นางไปห้องตำราของหูเหวินไหลเพื่อติดตั้งเครื่องบันทึกเสียง แต่เมื่อได้เห็นทรัพย์สินต่างๆ แล้ว นางก็ตาลุกวาวขึ้นมา พลางคิดว่าเมื่อใดจะได้ออกมาข้างนอกอีกครั้ง หากยกเค้าจวนเจ้าเมืองจนหมดเกลี้ยงได้ก็คงเป็นการดีที่สุด!
สิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผลดี มู่ฉินเจินจึงไม่มีอำนาจที่จะโต้แย้ง เขาจึงเดินจูงมือนางกลับ พร้อมกับแบกของหนักไว้บนหลัง
มู่ฉินเจินคาดคะเนน้ำหนักสัมภาระขณะแบกมันไว้บนหลัง โดยคาดไว้ว่าน่าจะหนักกว่าหนึ่งร้อยชั่งจนถึงเกือบสองร้อยชั่ง แต่เมื่อสักครู่นี้เฉียวเยี่ยนกลับเดินเหมือนบิน ทั้ง ๆ ที่แบกมันไว้บนหลังเช่นกัน ซึ่งทำให้มู่ฉินเจินนึกชื่นชมเล็กน้อย
ทั้งคู่สวมชุดดำเดินไปตามถนนราวกับภูตผีปีศาจ ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นขโมยเลย ถ้ามีคนวิ่งออกมาบนถนนในเวลานี้ ก็คงตกใจแทบตาย
หลังจากกลับมาที่ค่ายทหาร ทั้งสองก็หลีกเลี่ยงทหารลาดตระเวน แล้วแบกสัมภาระผ่านกระโจมของเกาจัวหยวนและองครักษ์หลายคน
มีเด็กน้อยอยู่ในกระโจมของพวกเขา ถ้าเด็ก ๆ ถามเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาก็คงยากจะอธิบาย แต่จะสอนเด็กในทางไม่ดีไม่ได้
กระโจมของทหารรักษาพระองค์อยู่ไม่ไกลจากกระโจมของเฉียวเยี่ยน เมื่อพวกเขากลับมา เกาจัวหยวนก็เห็นพวกเขา จึงฝากให้เพื่อนคอยคุ้มกันนายน้อยให้เขา แล้วกลับไปที่ค่ายเพื่อดูสถานการณ์
เมื่อเขาเห็นสมบัติโบราณบนพื้น เขาก็อดร้องออกมาไม่ได้ “ให้ตายเถอะ! ท่านอ๋อง หวางเฟย พวกท่านทั้งสองไม่ได้เป็นหัวขโมยจริง ๆ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาตกใจจนตาแทบถลนออกมา ยามเห็นว่าท่านอ๋องแบกสมบัติมากมายของตาเฒ่าสารพัดพิษกลับมา
เฉียวเยี่ยนทำสีหน้ามืดมน นางเอื้อมมือเขกศีรษะเขา “เป็นหัวขโมยอะไรกัน! ต้องบอกว่าข้ากับนายของเจ้าขโมยของจากคนรวยเพื่อมาช่วยคนจน! ลงโทษความชั่วส่งเสริมความดี!”
เกาจัวหยวนกุมศีรษะตัวเองแล้วสูดปาก ส่งเสียงร้องเบา ๆ “แต่ท่านไม่ใช่คนจน!”
ถ้าอย่างท่านเรียกว่าคนจน โลกนี้คงไม่มีคนรวยแล้ว!
มู่ฉินเจินมองเจ้าท่อนไม้อย่างพูดอะไรไม่ออกแล้วรู้สึกขบขันเล็กน้อย เขาแตะใบหน้าเล็ก ๆ ที่กำลังโกรธของนาง และจำต้องช่วยพูดแก้ต่างให้
“เปิ่นหวางว่าเจ้าน่าจะว่างเกินไป เจ้ากล้าเถียงคำพูดของหวางเฟยตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เกาจัวหยวนรีบปิดปากตัวเองทันที จริงด้วย บุรุษติดภรรยาคนนี้โมโหเสียแล้ว ห้ามยั่วยุเขา ห้ามยั่วยุเขาเด็ดขาด!
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โอ๊ย ๕๕๕๕ ขำกับคู่รักนักย่องเบาคู่นี้จังเลยค่ะ นึกสภาพไปยกเค้าห้องตำราของตาแก่นั่นแล้วแบกถุงตุงๆ กลับมาเหมือนเต่าแล้วก็ฮา
ไหหม่า(海馬)
Comments