ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 164 การแข่งขันเต่า
ตอนที่ 164 การแข่งขันเต่า
ตอนที่ 164 การแข่งขันเต่า
กระเพาะหมูยัดไก่ใกล้จะตุ๋นเสร็จแล้ว และมู่ฉินเจินก็น่าจะกลับมาในไม่ช้า เฉียวเยี่ยนจึงวางแผนจะผัดผักต่อ
ทว่าหม้อยังไม่ทันร้อน ทหารผู้น้อยคนหนึ่งก็มารายงานว่าหยางซิ่งฟื้นแล้ว วันนี้เป็นวันที่สามนับตั้งแต่หยางซิ่งถูกช่วยออกมา ซึ่งทั้งสามวันนั้นเขาอยู่ในสภาพหมดสติมาตลอด เลยหาหมอมาหลายคนกว่าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้
เมื่อได้ยินข่าวนี้ เฉียวเยี่ยนก็ยิ้มขึ้นมา “ฟื้นก็ดีแล้ว มีโจ๊กต้มแล้วอยู่ในครัว เจ้ายกเอาไปให้เขาสักหนึ่งชาม พอถึงเวลาแล้วก็อย่าลืมต้มยาเล่า”
“ขอรับ!”
ทหารผู้น้อยรับคำสั่งแล้วออกไป ทว่าเฉียวเยี่ยนเรียกรั้งเขาไว้
“เจ้าช้าก่อน ข้าทำน้ำแกงไว้ เจ้ายกเอาไปให้เขาด้วย มันมีสรรพคุณบำรุงร่างกาย เหมาะให้เขาดื่ม”
ขณะกล่าว นางก็หยิบถ้วยหนึ่งไปตักน้ำแกง แต่ไม่ได้ตักกระเพาะหมูกับเนื้อไก่ให้ ตอนนี้ร่างกายหยางซิ่งกำลังอ่อนแอ ยังย่อยของเหล่านี้ไม่ได้
ทหารผู้น้อยยกน้ำแกงชามใหญ่กลับไป พร้อมกับกลืนน้ำลายไม่หยุด และแทบทนไม่ไหวอยากแอบจิบหลายครั้ง
หวางเฟยเหนียงเหนียงช่างดีจริงๆ เป็นมิตรไม่วางมาด แม้ทหารปลายแถวที่ไม่รู้จักอย่างพวกเขาก็ไม่เลือกปฏิบัติ
จากการสังเกตมาสองสามวัน พวกเขาก็พบว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงทำอาหารเก่งมาก และพาเจ้านายน้อยสองคนรอท่านอ๋องกลับมาอยู่ในโรงครัวทุกวัน
กลิ่นหอมของอาหารที่นางทำลอยโชยมาแต่ไกล ทำให้พวกเขาต่างน้ำลายไหลทุกครั้งที่ได้กลิ่น
วันนั้นเห็นหวางเฟยจัดการกับอันธพาลสองสามคน ก็คิดว่านางเป็นคนโหดเหี้ยมอารมณ์ร้าย ทว่าตอนนี้รู้แล้วว่านางไม่ได้โหดเหี้ยมอำมหิต แต่เป็นเทพนารีชัดๆ
หากถามว่าบุรุษที่พวกเขาอิจฉาที่สุดคือใคร นั่นต้องเป็นท่านอ๋องซู่อยู่แล้ว
ไม่เพียงแต่อิจฉาที่เขามีสถานะสูงส่ง หน้าตาดี วรยุทธ์โดดเด่น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือได้แต่งภรรยาที่มีความทั้งสามารถทั้งงดงามดุจดอกไม้ด้วย
พวกเขาได้ยินทหารรักษาพระองค์จากเมืองหลวงบอกว่า หวางเฟยเหนียงเหนียงได้ก่อตั้งกิจการอยู่ในเมืองหลวงมากมาย แม้บุรุษหลายคนก็เทียบนางไม่ได้!
พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเสียนี่กระไร อะไรที่ดีๆ ล้วนมอบให้ท่านอ๋องซู่หมด และไม่รู้จริงๆ ว่าพระเจ้าปิดหน้าต่างบานไหนให้เขา
ในหัวทหารผู้น้อยพรั่งพรูไปด้วยความคิดต่างๆ นาๆ ขณะยกถ้วยน้ำแกงกลับไปป้อนหยางซิ่งที่กระโจม
แม้หยางซิ่งจะอ่อนแอหลังจากฟื้นขึ้นมา แต่จิตใจดูไม่เลวเลย ทหารผู้น้อยคุยเป็นเพื่อนเขา เขาก็ตอบกลับมาสองสามประโยค
“ใต้เท้าหยาง ท่านรีบดื่มน้ำแกงนี้ให้หมดเร็วๆ เถิด นี่หวางเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนทำเองเชียวนะ”
หยางซิ่งพิงตัวอยู่บนหัวเตียง อ้าปากให้ทหารผู้น้อยป้อนน้ำแกงให้ นิ้วของเขาถูกหนีบจนหักหมดแล้ว จึงมิอาจออกแรงได้ มือทั้งคู่จึงถูกห่อไว้เหมือนก้อนบ๊ะจ่างสองก้อน
เมื่อได้ยินคำพูดของทหารผู้น้อย เขาก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่คิดเลยว่าหวางเฟยผู้สูงส่งจะเข้าครัวทำน้ำแกงด้วยตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือต้มให้เขาดื่มด้วย!
เมื่อทหารผู้น้อยเห็นเขานิ่งอึ้งอยู่ ก็เอ่ยกระตุ้นเขาอีกครั้ง “ท่านอย่านิ่งเหม่อสิ หากเย็นแล้ว ก็น่าเสียดายน้ำแกงที่หอมขนาดนี้แล้ว”
ความจริงแล้วเขาอยากบอกว่า หากท่านไม่ดื่มก็เอาให้ข้าสิ ข้าหิวกระหายจะแย่แล้ว!
หยางซิ่งฟื้นสติกลับมา และอ้าปากซดน้ำแกงเข้าไป พอกลืนลงไปก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมสดชื่นในปาก มีรสชาติพริกไทยกับสมุนไพรสองสามชนิด ไม่มีกลิ่นไม่น่ากินใดๆ และเข้ากับกระเพาะหมูและเนื้อไก่ดีมาก
ในขณะที่เขาดื่มน้ำแกง เสียงสตรีอันอ่อนโยนที่ดังข้างหูเขาเมื่อตอนได้รับการช่วยเหลือวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัว มันทั้งแผ่วเบา นุ่มนวล ตอนนั้นเขาคิดว่าตนคงเกิดอาการภาพหลอน แต่มาคิดดูตอนนี้แล้ว เสียงสตรีนั่นน่าจะมาจากซู่หวางเฟย
พอถึงช่วงบ่าย มู่ฉินเจินก็กลับมา วันนี้กลับมาเร็วกว่าสองสามวันก่อนมาก
เฉียวเยี่ยนได้ทำอาหารทั้งหมดเสร็จแล้ว จึงยกไปที่กระโจม และเล่นกับเด็กทั้งสอง
เด็กทั้งสองนับเต่าน้อยทั้งสี่เป็นของมีค่า แถมยังตั้งชื่อให้พวกมันว่า หวังต้า หวังเอ้อร์ หวังซาน และหวังซื่อ ตามลำดับ
เมื่อเฉียวเยี่ยนได้ยินชื่อพวกนี้ นางก็หัวเราะหนักมากจนปวดท้อง เมื่อถามว่าเหตุใดต้องแซ่หวัง ลูกทั้งสองก็ตอบอย่างจริงจังว่า “เพราะเต่าเรียกว่าหวังปา แต่คำว่าปามันฟังดูแก่เกินไป จึงเปลี่ยนให้พวกมันอายุน้อยหน่อย”
พวกเต่าน้อยเติบโตช้า ตั้งแต่ซื้อมายังไม่เห็นว่าโตเลย เด็กทั้งสองต่างไม่ชอบใจ จึงบ่นพึมพำข้างหูพวกมันทุกวัน
“กินก็ไม่น้อยนี่ ใยจึงไม่เห็นโตเสียทีล่ะ”
“พวกเจ้าไม่ใช่หมู ไม่ใช่ตะพาบเสียหน่อย โตมาไม่กินพวกเจ้าหรอก”
เฉียวเยี่ยนได้ยินพวกเด็กน้อยพูดพึมพำบ่นกับตัวเองทุกวันก็รู้สึกขบขันอย่างมาก
หวังต้า หวังเอ้อร์ หวังซาน หวังซื่อได้ย้ายไปบ้านหลังใหม่แล้ว ตู้ปลาก่อนหน้านี้เล็กเกินไป เด็กน้อยทั้งสองกลัวพวกมันจะปีนป่ายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ลุงองครักษ์ที่หลงใหลเด็กๆ จึงไปซื้อตู้ปลาขนาดใหญ่ที่ตลาด
ด้านล่างของตู้ปลาใส่หินก้อนกลมขนาดเล็กไว้ เด็กทั้งสองยื่นมือน้อยลงไปในน้ำ แบ่งหินออกเป็นสี่ช่อง แต่ละช่องวางเต่าไว้หนึ่งตัว ให้พวกมันวิ่งแข่งกัน
ของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์คือหวังต้ากับหวังเอ้อร์ ส่วนหวังซาน หวังซื่อที่เหลือเป็นของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์
การแข่งขันอันดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้น นายน้อยทั้งสองต่างให้กำลังใจเต่าแสนรักของพวกเขา แต่พวกเต่าน้อยน่ารักกลับไม่เป็นใจให้พวกเขาเลย พวกมันมักจะไม่มีสมาธิกับการแข่งขัน และวิ่งไปทั่ว
“หวังซื่อน้อย เจ้าวิ่งไปผิดทางแล้ว! เจ้าทำเช่นนี้มันผิดกฎนะ!”
“หวังซานน้อย เจ้าหมูขี้เกียจ วิ่งเร็วเข้า หวังต้ากำลังจะถึงเส้นชัยแล้ว!”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ดุเต่าโง่สองตัวของนางอย่างโมโห ในขณะที่เฉียวเยี่ยนผู้เป็นแม่กำลังหัวเราะจนตัวงอ
โอ้ยตายแล้ว นางล่ะขำกับเรื่องนี้ยิ่งนัก เหตุใดสมบัติล้ำค่าสองชีวิตนี้ช่างน่ารักเสียจริง!
แต่นางก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กๆ แยกแยะเต่าน้อยสี่ตัวออกได้อย่างไร เท่าที่นางเห็น พวกมันดูเหมือนกันหมด มีหัวและหางสีเขียว และกระดองสีเขียวก็มีลวดลายแบบเดียวกัน
มู่ฉินเจินยังไม่ทันเข้าไปในกระโจมก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเฉียวเยี่ยน ท่าทางอิดโรยของเขาตลอดทั้งวันพลันผ่อนคลายลง ก่อนสั่งองครักษ์ที่ตามหลังมาไปพักผ่อน จากนั้นเขาก็แยกม่านเข้าไปข้างใน
เฉียวเยี่ยนกุมท้องที่ปวดเกร็งจากการหัวเราะ และเมื่อเห็นเขาก็ประหลาดใจอย่างมาก “เหตุใดท่านจึงกลับมาแล้วล่ะ? ทุกอย่างจัดการเสร็จแล้วรึ?”
มู่ฉินเจินพยักหน้าเล็กน้อย “อืม พวกหูเหวินไหลถูกกำจัดเกลี้ยงหมดแล้ว”
เขาพูดอย่างสบายๆ ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับรู้ดีว่าสองสามวันมานี้เขาทำงานหนักแค่ไหน ทุกวันนอนไม่ถึงสองชั่วยามก็ต้องออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ขอบตาของเขาเผยสีดำคล้ำออกมาให้เห็นแล้ว
เมื่อลูกทั้งสองได้ยินคำพูดนี้ ก็เงยหน้าขึ้น เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก็ถามอย่างอ่อนหวาน “ท่านพ่อ เช่นนั้นเราก็จะได้กลับบ้านเร็วๆ นี้แล้วใช่หรือไม่?”
มู่ฉินเจินลูบศีรษะน้อยของนางด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ใช่แล้ว อีกไม่นานพ่อจะพาพวกเจ้ากลับบ้านได้แล้ว”
“เย้! เยี่ยมไปเลย!”
เด็กน้อยปรบมืออย่างมีความสุข หลังจากออกมาหลายวัน นางคิดถึงเสด็จปู่เสด็จย่า ท่านยายท่านลุง ปู่ฉู พี่ฮุ่ยเซียง แล้วก็เจ้าดำ เจ้าส้มแล้ว…
สรุปคือ นางคิดถึงพวกเขามากๆ แม้แต่คนงานที่รับผิดชอบดูแลเรือนกระจกในตำหนักนางก็คิดถึง เรียกง่ายๆ ว่าคิดถึงบ้าน ซึ่งในบ้านมีทุกสิ่งที่นางชอบ
มู่ฉินเจินล้างมือ และนั่งลงรับประทานข้าว เฉียวเยี่ยนก็ตักน้ำแกงมาให้เขาถ้วยหนึ่ง
“ดื่มน้ำแกงสักชามหนึ่งก่อน นี่ทำมาเพื่อท่านโดยเฉพาะเลยนะ”
มู่ฉินเจินจิบไปหนึ่งอึก และชื่นชมว่ารสชาติดีอย่างจริงใจ ส่วนความสนใจของเด็กทั้งสองไม่ได้อยู่ที่น้ำแกง แต่เป็นเนื้อที่อยู่ในน้ำแกง กระเพาะหมูมีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างแข็งกรอบ ทว่าหลังจากตุ๋นเป็นเวลานาน มันก็ไม่ได้กรอบขนาดนั้นแล้ว แต่กลับมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย และดูดซับรสชาติสดใหม่ของเนื้อไก่กับกลิ่นหอมของสมุนไพร เกิดเป็นรสชาติที่มีเอกลักษณ์
ระหว่างรับประทานอาหาร มู่ฉินเจินก็เอ่ยกับสามแม่ลูก “อยากจะไปเที่ยวที่ไหนหรือไม่? สองสามวันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไป”
ในช่วงที่มาเยือนเยวี่ยโจวก็วุ่นอยู่กับการสืบสวนคดีต่างๆ มาตลอด ไม่มีเวลาอยู่กับทั้งสามแม่ลูกเลย เขารู้สึกผิดมาก จึงรีบเร่งจัดการเรื่องให้เสร็จ เพียงเพื่อจะปลีกเวลามาอยู่กับพวกเขา
เมื่อเฉียวเยี่ยนกับเด็กทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ กระพริบตาเป็นประกายอยู่ปริบๆ
เด็กทั้งสองรู้สึกเพียงดีใจมากเท่านั้น แต่จะให้บอกว่าไปเที่ยวที่ไหน พวกเขาคิดไม่ออกหรอก จึงหันหน้าไปมองมารดาพร้อมกัน เพื่อบ่งบอกว่าเชื่อฟังมารดาทั้งหมด
เฉียวเยี่ยนเชิดหน้าขึ้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างปิติยินดี “ไม่เช่นนั้นเราไปชายทะเลกันดีหรือไม่ ข้าได้ยินคนที่นี่บอกว่าทะเลน่าสนุกมาก!”
ความจริงแล้วนางเคยไปชายทะเลมาก่อน แต่มาในยุคโบราณก็ถือว่ายังเป็นครั้งแรก จึงนับว่าไม่เคยไปมาก่อนก็แล้วกัน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีของเล่นใหม่แล้วล่ะสิเด็กๆ
ทะเลยุคโบราณจะต่างจากทะเลยุคปัจจุบันยังไงบ้างน้า
ไหหม่า(海馬)
Comments