ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 169 ทิ้งให้อยู่ที่เยวี่ยโจว
ตอนที่ 169 ทิ้งให้อยู่ที่เยวี่ยโจว
ตอนที่ 169 ทิ้งให้อยู่ที่เยวี่ยโจว
เมื่อเฉียวเยี่ยนได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากลูกๆ และดูความสนุกจนพอแล้ว นางจึงเปิดปากพูด
“แม่ทัพหวัง ข้าเชื่อว่าที่เจ้าเลือกเข้าร่วมกองทัพเพราะอยากปกป้องบ้านเมือง และฝันใฝ่จะไปทั่วสารทิศ ทว่ายามนี้สถานการณ์ในเยวี่ยโจวนั้นซับซ้อน ขุนนางคนก่อนเพิ่งถูกยึดอำนาจไป จึงไม่พ้นมีขุนนางบางคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยากใช้โอกาสนี้ยกฐานะตัวเองขึ้นมา”
“ทางราชสำนักเองก็ต้องการกำลังคน ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เจ้าเป็นเจี๋ยตู้ซื่อแห่งเยวี่ยโจว นั่นก็แสดงว่าพระองค์ไว้ใจในตัวเจ้า”
“ข้ากับท่านอ๋องก็คิดว่าเจ้าจะดำรงตำแหน่งนี้ได้เป็นอย่างดี เยวี่ยโจวเป็นเมืองหน้าด่านของตงหนาน แม้จะไม่มีสงครามมาเป็นร้อยปี ทว่าก็จะละเลยมิได้…”
หวังสยงอันได้ฟังคำพูดของหวางเฟยแล้วก็สูดน้ำมูก เขาเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง ทว่าแค่อยากระบายอารมณ์ก็เท่านั้น
เฉียวเยี่ยนเดินไปอยู่ด้านข้างมู่ฉินเจินและจับมือเขาไว้ เพื่อบ่งบอกให้เขาสงบท่าทางลง ชายที่กำลังอารมณ์เสียคือลาดื้อรั้น เพียงทำทีเป็นคล้อยตามเขาไปก่อน อีกเดี๋ยวเขาก็จะหยุดโวยวายเอง
มู่ฉินเจินแสร้งทำเป็นไม่ได้รับสัญญาณจากเจ้าท่อนไม้ ทว่าเมื่อหลังมือถูกบีบอย่างไม่เบาไม่แรงนักอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ทำได้เพียงเอ่ยเสียงแข็งออกมา “ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี เปิ่นหวางเชื่อใจเจ้า”
เด็กทั้งสองไม่รู้เรื่องทางการมากเท่าใดนัก แต่รู้ว่าลุงหนวดจะอยู่ที่นี่ และจะไม่ได้เจอเขานานมากๆ จึงอดรู้สึกเศร้าไม่ได้
“ท่านลุงหวัง ลุงต้องเป็นเด็กดีนะ เราจะคิดถึงลุง รอข้าโตกว่านี้อีกหน่อยข้าจะมาเยี่ยมท่าน”
ดวงตากลมโตของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำ และรู้สึกอยากร้องไห้ กระนั้นก็ยังปลอบโยนลุงหนวดที่เพิ่งร้องไห้อย่างน่าสงสารเมื่อครู่
ขอบตาของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์แดงก่ำเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าเด็กน้อยยังรักในศักดิ์ศรี จึงเบือนหน้าไปในทิศทางที่ไม่มีใคร เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นสีหน้าของตน
น้ำตาที่หวังสยงอันเพิ่งกลั้นไว้เกือบจะไหลออกมาอีกครั้ง ต่อไปคงเจอเด็กน้อยที่เป็นที่รักเช่นนี้ได้ยากแล้ว คิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
“เด็กๆ เติบโตมาดีๆ นะ รอลุงมีเวลาเมื่อใดจะกลับไปเยี่ยมพวกเจ้า”
คำพูดนี้หมายความว่าเขายอมรับฐานะใหม่แล้ว
เฉียวเยี่ยนรีบเอ่ยทำลายบรรยากาศน่าเศร้านี้ทิ้งไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกิดบรรพบุรุษตัวน้อยทั้งสองร้องไห้ขึ้นมาก็คงยากที่จะกล่อมแน่
“อาหารจะเย็นแล้ว เรารีบไปกินกันเถิด วันนี้ข้าทำอาหารทะเลตั้งหลายอย่าง ท่านแม่ทัพหวังอยู่รับประทานอาหารด้วยกันนะ”
หวังสยงอันก็ไม่เกรงใจ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องถูกท่านอ๋องทิ้งให้อยู่ที่เยวี่ยโจวอยู่แล้ว กินข้าวกับเขาสักมื้อคงไม่เกินไปหรอกกระมัง
ก็แค่ถูก ‘ทิ้ง’ มิใช่รึ? ต่อแต่นี้ไปก็จะเจอกันน้อยลงห่างเหินกันมากขึ้นกับเมืองหลวง ยามได้กลับไปเป็นครั้งคราวก็เหมือนได้กลับไปบ้านแม่
อาหารทั้งหมดถูกคลุมด้วยฝาชี และมันก็ยังร้อนอยู่ เมื่อยกฝาขึ้น กลิ่นอาหารทะเลก็ลอยกรุ่น ลูกทั้งสองกับหวังสยงอันถึงกับกลืนน้ำลายพร้อมกัน แม้แต่ลำคอของมู่ฉินเจินเองก็ขยับ
หวังสยงอันจับตะเกียบ รอท่านอ๋องกับหวางเฟยขยับตะเกียบแล้ว เขาก็แทบรอกินอย่างทนไม่ไหว
เขาคีบหอยงวงช้างผัดมาชิ้นหนึ่งก่อน ทันทีที่เข้าปากก็ให้สัมผัสกรอบนุ่ม เข้ากับรสหอมเผ็ดของพริกแดงเขียว รู้สึกชอบมาก
มู่ฉินเจินก็คีบหอยงวงช้างกินอย่างหิวโหย และคิดว่ารสชาติก็ใช้ได้ เฉียวเยี่ยนเห็นเขาเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าเขาดูไม่ออกว่าสิ่งนี้คือของที่หน้าตาน่าเกลียดนั่น
นางมองเขาอย่างหยอกล้อ และกระซิบเสียงเบา “อร่อยไหม?”
มู่ฉินเจินรู้สึกว่าท่าทางของนางดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่านางกำลังจะทำอะไร จึงพยักหน้าเล็กน้อย”อร่อย”
เฉียวเยี่ยนยิ่งเผยสีหน้าหยอกล้อขึ้นไปอีก และยิ้มอย่างมีเลศนัย”รู้ไหมว่านี่คือสิ่งใด?”
มู่ฉินเจินชะงักการเคี้ยว ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแวบเข้ามาในหัว นี่คงไม่ใช่ไอ้ตัวน่าเกลียดนั่นหรอกใช่ไหม?
เมื่อเฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางเขาก็รู้ว่าเขาเดาถูกแล้ว เจตนาหยอกล้อก็ยิ่งชัดเจนขึ้น นางจึงคีบหอยงวงช้างชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากตน แล้วดูท่าทางถูกหักหลังของเขา
แต่เห็นได้ชัดว่า กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของนางไม่ได้ทำให้ท่านอ๋องลำบากใจเลย แม้ของเหล่านั้นจะดูน่าเกลียด ทว่าด้วยฝีมือของเจ้าท่อนไม้ก็ปรุงพวกมันออกมาให้อร่อยได้ แม้แต่สักครึ่งหนึ่งเขาก็ไม่รังเกียจ
เด็กสองคนชอบอาหารทะเลตุ๋นเป็นพิเศษ พอกัดหอยเป๋าฮื้อที่ซึมซับน้ำแกงไว้เต็ม น้ำแกงก็กระจายไปทั่วปาก บวกกับเนื้อหอยเป๋าฮื้อนุ่มนิ่ม ทำให้พวกเขากินไปหลายตัว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังสยงอันกินอาหารฝีมือเฉียวเยี่ยน ทุกครั้งที่ได้กินก็กินเหมือนสัมภเวสีอยู่ร่ำไป วันนี้ยิ่งกินจนไม่สนภาพลักษณ์ใดๆ ใหญ่ คราแรกตั้งใจจะขุนให้ท่านอ๋องกินจนอ้วน ทว่าผ่านไปห้าชามแล้วก็ยังทำท่าจะกินต่ออีก
เขาไม่เพียงแต่กินเนื้อ กระทั่งน้ำแกงอาหารทะเลตุ๋นก็ไม่มีเหลือ เมื่อราดลงไปบนข้าวและคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไม่นานข้าวชามหนึ่งก็พร่องลงเกือบหมด
เด็กทั้งสองตกใจกับความเร็วและปริมาณการกินของลุงหนวด แต่เมื่อนึกได้ว่าต่อไปจะเจอเขาได้ยากแล้ว ก็ยื่นมือน้อยไปคีบอาหารให้เขา แล้วเอ่ยอย่างไพเราะว่า “ท่านลุงกินเยอะๆ ”
ผู้เป็นพ่อรู้สึกเปรี้ยวในใจราวกับกินน้ำมะนาว สายตาวาวโรจน์ดุจคมมีดจนแทบกระซวกหวังสยงอันได้ หากสิ่งนี้กลายเป็นจริง หวังสยงอันคงถูกสับเป็นพันๆ ชิ้นไปนานแล้ว
เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางเหมือนเด็กน้อยของเขาก็ขบขันเป็นอย่างมาก จึงคีบเนื้อปลาทะเลชิ้นหนึ่งให้เขา และกล่อมเสียงเบา “ที่รัก ท่านไม่ต้องตะบี้ตะบันกินน้ำส้มขนาดนี้ก็ได้ ตั้งใจกินข้าวนะ ข้าจะคีบอาหารให้ท่าน”
สีหน้าของมู่ฉินเจินเปลี่ยนจากขุ่นมัวเป็นสดใสทันใด สายตาที่มองไปยังหวังสยงอันฉายแววเย่อหยิ่งและโอ้อวดเล็กน้อย
เหมือนกำลังจะบอกว่า เห็นหรือยัง ข้าคือคนที่ภรรยารักมาก ชายโสดอายุอานามมากเช่นเจ้าเหมาะแค่ให้ลูกข้าคีบอาหารให้ก็เท่านั้น!
หวังสยงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของท่านอ๋องผู้นี้ และกินอาหารที่เด็กๆ คีบให้อย่างมีความสุข
……
วันที่ยี่สิบสี่เดือนห้า เฉียวเยี่ยนและพรรคพวกเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง รถม้าสองสามคันออกเดินทางจากค่ายทหารตั้งแต่เช้าตรู่ ตามมาด้วยกลุ่มทหารรักษาพระองค์อันเกรียงไกร
นอกจากรถม้าที่ครอบครัวสี่คนของเฉียวเยี่ยนนั่งแล้ว ที่เหลือล้วนบรรจุของที่ระลึกที่ซื้อในเยวี่ยโจว รวมถึงเสบียงจำเป็นระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงด้วย
ตอนที่มู่ฉินเจินออกจากเมืองหลวง เขาได้นำทหารรักษาพระองค์หกสิบนายกับองครักษ์แปดคนไปด้วย และในตอนที่เฉียวเยี่ยนมาก็นำทหารรักษาพระองค์มาอีกร้อยนาย เมื่อรวมกันตอนนี้ก็มีจำนวนทั้งหมดเกือบจะสองร้อยนาย เป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่มาก
หวังสยงอันกับหยางซิ่งเข้ารับตำแหน่งแล้ว ตอนเช้าที่จะออกเดินทาง พวกเขาได้มาส่งออกเดินทางด้วย
ดวงตาหวังสยงอันเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาไหลอีกครั้ง และอำลาพวกพี่น้องทุกคน นี่มันสมกับคำนั้นจริงๆ ยามออกมายังดีๆ อยู่ แต่ไม่นึกเลยว่าจะกลับไปไม่ได้แล้ว
เด็กทั้งสองก็อาลัยอาวรณ์ท่านลุงหวังมากเช่นกัน ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัว พวกเขายังโผล่ศีรษะออกมาจากม่าน และโบกมือให้เขาอย่างแสนอาลัย
ขบวนทัพที่กลับไปยังเมืองหลวงนั้นยาวเกินไป ความเร็วจึงช้ามาก และใช้เวลาไปเกือบสิบวันกว่าจะมาถึงเมืองหลวง ทันทีที่มาถึงหน้าประตูตำหนักอ๋องซู่ ก็พบคนกลุ่มใหญ่มารอกันอยู่ด้านหลังประตูหลังแล้ว
ข้ารับใช้ทุกคนในตำหนักต่างเงยหน้าขึ้นมอง ซูเนี่ยนหว่าน เฉียวจิ่น ฮองเฮา และเว่ยอวิ๋นซูก็อยู่ที่นั่นด้วย ส่วนฮ่องเต้เฒ่ามิอาจออกมาได้ เพราะจำเป็นต้องพิจารณาสาส์นอยู่ในวัง มู่ฉินเจินจากไปเกือบจะสองเดือน ไม่มีใครให้เรียกใช้ได้ ทำให้เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างไม่สบายใจเลยจริงๆ
ทันทีที่เฉียวเยี่ยนลงจากรถม้า ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากครอบครัวใหญ่ และเด็กทั้งสองก็ถูกจูบถูกกอดดั่งดาวล้อมเดือน
เดิมทีเว่ยอวิ๋นซูอยากพุ่งเข้าไปกอดเฉียวเยี่ยนทันทีเลย แต่เมื่อพิจารณาเห็นว่าครอบครัวของนางอยู่ด้วย นางต้องคิดถึงพวกเขาเป็นแน่ จึงข่มกลั้นเอาไว้ ถึงกระนั้นสายตานางก็ยังดูน่าสงสารกับการจดจ่อรอคอย
มู่ฉินเจินดูน่าสงสารมากกว่า เขาไม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเหมือนเฉียวเยี่ยนกับลูกๆ พวกข้ารับใช้ต่างหวั่นเกรงเขา จึงมิกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ส่วนมารดาเขาก็กลายเป็นแม่ของเฉียวเยี่ยนไปนานแล้ว จึงไม่สนใจเขาเลย มีเพียงแม่ยายซูเนี่ยนหว่านเท่านั้นที่ทักทายเขาอย่างอ่อนโยน เช่นเดียวกับเฉียวจิ่นผู้เป็นพี่ชายภรรยา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอาน่าท่านลุงหวัง ถึงจะถูกทิ้งไว้ที่เยวี่ยโจว แต่อย่างน้อยก็ได้กินอาหารฝีมือหวางเฟยนะ
สงสารท่านอ๋องจังค่ะ หวายยยย โดนทิ้งเป็นหมาหัวเน่าเลย
ไหหม่า(海馬)
Comments