ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 190 หมักจนมีกลิ่น
ตอนที่ 190 หมักจนมีกลิ่น
ตอนที่ 190 หมักจนมีกลิ่น
ลูกทั้งสองสวมเครื่องแบบทหารจิ๋วของพวกเขาไปเปิดตัวที่ค่ายทหาร โดยมีมู่ฉินเจินโอบพวกเขาควบม้า ระหว่างทางก็ดึงดูดผู้คนให้มาดูเป็นจำนวนไม่น้อย
เมื่อมาถึงค่ายทหาร ทหารจิ๋วที่แต่งตัวเต็มเครื่องแบบทั้งสองคนก็รีบทำความเคารพกองทหาร ทำให้กลุ่มชายร่างใหญ่กรีดร้องสุดเสียงทันใด พวกเขาช่างน่ารักมากจริงๆ !
พวกทหารผลัดกันลูบศีรษะน้อยของเด็กทั้งสอง ในใจก็เริ่มคิดแผนขโมยเด็กขึ้นมา เจ้าตัวเล็กน่ารักเช่นนี้ หากแอบขโมยพวกเขาใส่กระสอบก็ดูจะไม่มากเกินไป
เด็กทั้งสองถูกพวกลุงทหารลูบจนเวียนหัว ก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากบิดา พวกลุงองครักษ์กับท่านอาหกของพวกเขาก็เข้ามา
ช่วงนี้กลุ่มเทกลิ่นหอมยามราตรีแปดคนใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาก ทุกวันยามวิกาลคนอื่นๆ กำลังหลับสนิท แต่พวกเขาต้องลุกขึ้นไปขนถังอุจจาระ และต้องขนถังอุจจาระออกไปนอกเมืองให้เสร็จก่อนรุ่งสาง จากนั้นก็รีบกลับมา
มู่เวินเหยียนนอนแผ่ราบอย่างหมดสภาพ เดิมทีเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แต่ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ(1) ภัยพิบัติจึงมาสู่ตัวเขา จนทำได้เพียงไปร่วมเทกลิ่นหอมยามราตรีด้วย
เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองที่ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชน ความรู้สึกที่หดหู่มาหลายวันก็บรรเทาลงไม่น้อย สิ่งดีๆ เพียงอย่างเดียวที่พี่สี่ทำคือการให้กำเนิดหลานชายหลานสาวผู้งดงามสองคนนี้ให้กับเขา
ไม่สิ! นี่คือคุณงามความดีของพี่สะใภ้สี่ต่างหาก ดังนั้นแล้วพี่สี่ของเขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลย!
มู่เวินเหยียนบ่นพี่สี่ในใจ และเบียดกับฝูงชนเข้าไปลูบเด็กน้อย
“หลีกไป หลีกไป นี่คือหลานชายหลานสาวเปิ่นหวงจื่อ!”
หลังจากเข้ามาอยู่ในค่ายทหารได้หนึ่งปี เขาก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกทหารกลุ่มนี้ แม้เขาจะมีฐานะเป็นองค์ชาย แต่ในค่ายทหารไม่ได้ดูที่สถานะ ดูแต่ความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา
พวกทหารต่างก็ไม่กลัวเขา และปฏิบัติต่อเขาเหมือนสหาย บางครั้งก็หยอกล้อคุยเล่นหัวกัน
เมื่อก่อนพวกทหารย่อมไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาแน่นอน แถมยังเชิดหน้าใส่ด้วย ทว่าวันนี้ เขาเพิ่งเข้าไปใกล้ฝูงชน กลุ่มทหารก็แยกย้ายห่างจากเขาในสามฉื่อทันที บนใบหน้ายังมีความรังเกียจอยู่ด้วย
บ้าชิบ!
มู่เวินเหยียนแอบด่าคำหยาบในใจ กำลังจะถามว่าเหตุใดต้องออกห่างเขาไปไกลขนาดนั้น ก็ได้ยินหลานสาวน่ารักของเขาปิดจมูกเอ่ย “น้าหก ท่านไม่ได้เช็ดก้นตอนอุจจาระหรือ? เหม็นมากๆ !”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ปิดจมูกด้วยเช่นกัน แถมยังถอยหลังไปสองก้าว ซึ่งนี่พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่น้องสาวพูดเป็นเรื่องจริง
มู่เวินเหยียนตัวแข็งทื่อ เมื่อยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาดมก็ได้กลิ่นอุจจาระจริงๆ !
“เวรละ! เวรละ! เวรละ!”
เขาด่าติดต่อกัน และแทบอยากถอดเสื้อผ้าออกตรงนั้น ก่อนกระโดดลงไปในแม่น้ำล้างตัวให้ตัวเอง นี่เขาถูกหมักจนมีกลิ่นแล้วสินะ!
พวกองครักษ์ที่เหลือก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันตรงไหน บนตัวแผ่ ‘กลิ่นหอม’ ดึงดูดผู้คนออกมาเช่นกัน พวกเขาต่างพากันยกแขนเสื้อขึ้นมาดม แล้วก็ได้กลิ่นเหม็นอ่อนๆ จนแทบสำรอกข้าวที่กินไปเมื่อวานออกมา
กลุ่มเทกลิ่นหอมยามราตรีแปดคนวิ่งไปแม่น้ำใกล้กระโจม จนกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังระเบิดหัวเราะลั่นออกมา
แม้เด็กทั้งสองคนจะไม่เข้าใจ กระนั้นแผ่นหลังของท่านอาหกกับพวกองครักษ์ที่หนีหัวซุกหัวซุนมันก็ดูตลกจริงๆ ทำให้พวกเขาหัวเราะคิกคักตาม
หลังจากละครสั้นจบลง การฝึกอันยากลำบากในตอนบ่ายก็เริ่มต้นขึ้น ในค่ายทหารภายใต้เขตอำนาจของมู่ฉินเจิน กองทัพจะต้องมีระเบียบวินัย มีความสามารถในทุกวินาที แม้จะไม่มีสงคราม การฝึกฝนก็ไม่เคยถูกละเลย
ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า พวกเขาล้วนตากแดดจนเหงื่อไหลท้วมตัว เหงื่อบนหน้าผากไหลเข้าสู่ดวงตา กระนั้นพวกเขาก็ไม่เหนื่อยหน่าย ตั้งใจทำหน้าที่ที่ท่านแม่ทัพสั่งให้สำเร็จ
ลูกทั้งสองก็กำลังฝึกซ้อม พวกเขายังเล็ก ผิวคล้ำแดดได้ง่าย และเป็นโรคลมแดดได้ง่าย มู่ฉินเจินจึงตั้งใจเลือกที่ร่มให้พวกเขาเป็นพิเศษ
เด็กทั้งสองจับดาบไม้จิ๋วไว้ในมือ หวนนึกถึงวิชาดาบที่เรียนเมื่อวาน ท่าทางของทั้งสองเหมือนเดียวกัน ดวงหน้าน่ารักในยามนี้กลับจริงจังอย่างมาก แววตาก็เฉียบคมยิ่ง ทุกท่าทาง พลัง และจิตวัญญาณต่างอยู่ในระดับที่ต้องการ
ในด้านศิลปะการต่อสู้ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มีพรสวรรค์ยิ่งกว่าเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ นางมีพลังเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เกิด พละกำลังยิ่งอยู่ในระดับดี มู่ฉินเจินผู้เป็นบิดามองตรงไหนก็พอใจไปหมด
กระนั้นพรสวรรค์ของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ยากที่คนธรรมดาจะเทียบเทียมได้ ขอแค่เขามีใจมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน ฝึกซ้อมอย่างมุมานะต่อไป ระดับฝีมือทางด้านศิลปะการต่อสู้ในวันหน้าไม่มีทางด้อยกว่าใครแน่นอน
พวกทหารเคยเห็นเด็กทั้งสองฝึกวรยุทธ์มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ตกใจแทบทุกครั้งอยู่ร่ำไป นี่คือคนที่สวรรค์ประทานพรให้จริงๆ สินะ!
ตอนนี้แม้แต่คำพูดติดปากของพวกนายพลล้วนเปลี่ยนไปแล้ว จากเมื่อก่อนที่ ‘ไม่กินข้าวกันมาหรืออย่างไรหา!’ ‘กระทั่งสตรีก็ยังสู้ไม่ได้!’ จนตอนนี้เปลี่ยนเป็น ‘แม้แต่เด็กอายุสี่ขวบก็ยังสู้ไม่ได้!’ ไปแล้ว
หลังจากฝึกวิชาดาบเสร็จ มู่ฉินเจินก็ไม่ได้บีบให้พวกเด็กๆ หยุดฝึก แต่ปล่อยให้พวกเขาแบ่งเวลางานกับพักผ่อนให้พอดี
เขาหยิบแก้วน้ำใบน้อยน่ารักของพวกเด็กๆ มาจากในกระเป๋าหนังสือที่เฉียวเยี่ยนเตรียมให้ และให้แท่งเนยแข็งแก่พวกเขาคนละแท่ง ก่อนปล่อยให้พวกเขาเล่นอยู่ในค่ายทหารได้ตามสบาย
ช่วงนี้เด็กทั้งสองค้นพบบางสิ่งที่น่าสนใจในค่ายทหาร นั่นก็คือแม่ม้าศึกตัวหนึ่งในคอกม้าได้ตกลูกม้าตัวน้อยออกมา
ม้าน้อยที่เพิ่งคลอดมาได้ไม่นานมีขนปุกปุยดูน่ารักมาก ทุกครั้งที่เด็กทั้งสองมาค่ายทหารก็มักจะวิ่งไปดูครั้งหนึ่ง
มีอยู่สองสามครั้ง พวกเขาไปหาหญ้ามากำหนึ่งจะป้อนให้ม้าน้อยกิน ทว่าลุงคนเลี้ยงม้าบอกว่าพวกมันยังเล็กเกินไป ยังกินหญ้าไม่ได้
……
ย่างเข้าสู่เดือนเก้า เฉียวเยี่ยนเริ่มย้ายกล้าสตรอเบอรี่ไปปลูกในเรือนกระจกที่หมู่บ้านจิ่วหลีพัวแล้ว
สตรอเบอรี่ขยายพันธ์ุได้ด้วยหน่อ ขอแค่ตัดไหลที่มีหน่อปักลงไปในดิน แล้วดูแลเป็นอย่างดี ก็จะสามารถมีชีวิตรอดได้
นางนำกล้าจากไหลไปปลูกในรางเพาะเลี้ยงแบบลดระดับ ส่วนแปลงบนพื้นดินก็ปลูกต้นกล้าจากเมล็ด ซึ่งต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดมีอัตรารอดชีวิตมากกว่าต้นกล้าจากไหลหลายเท่า
พวกคนงานในหมู่บ้านลวี่หลัวต่างคุ้นชินกันแล้ว ในเรื่องที่หวางเฟยมักจะค้นพบกล้าพืชแปลกๆ
ตัวอย่างเช่นสตรอเบอรี่ที่ปลูกในตอนนี้ มีความคล้ายกับกล้าผลไป๋จิ่ว(2) มาก เพียงแต่ผลไม้จำพวกนั้นเป็นสีขาว ภายนอกมีจุดเล็กๆ สีแดงอยู่ มีรสหวานอมเปรี้ยว ซึ่งพวกเด็กๆ ชอบไปเก็บมาจากบนภูเขา
เรือนกระจกใหญ่เรือนหนึ่งใช้เวลาย้ายกล้าไม่กี่วันก็เสร็จ จากนั้นเฉียวเยี่ยนจึงเขียนวิธีการดูแลอย่างละเอียดมอบให้ผู้ดูแลงานไว้ ผู้ดูแลงานจะจัดคนฝีมือดีไปดูกล้าสตอเบอร์รี นางก็จะเว้นระยะห่างสักสองสามวันจึงค่อยมาดูสถานการณ์อีกครั้ง
หลังจากปลูกไปสี่ห้าวัน กล้อสตรอเบอรี่ก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น หน่อจากการปักชำไหลก็เริ่มงอกรากออกมา และยังมีส่วนหนึ่งยังเสี่ยงไม่รอด จึงตัดไหลใหม่เข้ามาเสริมแทน
เมื่อถึงเดือนเก้า ก็เข้าสู่ฤดูการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์ ในเรือนกระจกมีแตงต่างๆ ชุดใหญ่ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ขบวนรถขนส่งพืชผลไปๆ มาๆ ทุกวัน ทำให้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงอิจฉาตาร้อนไม่ไหว
พวกพืชผลยังคงนำไปเติมที่ภัตตาคารก่อนเช่นเคย ที่เหลือก็ขนส่งเข้าแปรรูปในโรงงาน
ในเรือนกระจกมีเพียงมะเขือเทศที่มีปริมาณหลายคันรถ ผลผลิตในพระราชวัง ในตำหนักอ๋องก็มีเยอะมาก หากรับประทานไม่หมดก็ส่งเข้าโรงงาน
เฉียวเยี่ยนคิดค้นฮั่วกัวตี่เลี่ยวรสมะเขือเทศได้แล้ว และมะเขือเทศส่วนใหญ่พวกนี้ส่วนใหญ่ก็นำมาแปรรูปเป็นฮั่วกัวตี่เลี่ยว
หม้อไฟมะเขือเทศเป็นที่นิยมในหมู่ฮูหยินคุณหนูเสียส่วนมาก หม้อไฟรสเผ็ดกินมากไปก็จะเป็นร้อนในได้ง่าย และเกิดสิวง่าย ดังนั้นพวกฮูหยินคุณหนูที่รักสวยรักงามหลายคนจึงยับยั้งตัวเอง ไม่กล้ากินมาก
ทว่าหลังจากหม้อไฟรสมะเขือเทศเปิดสู่ตลาด พวกนางก็สามารถรับประทานได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนหม้อไฟรสเผ็ดที่มีรสชาติเผ็ดร้อนจนกินได้ไม่มาก หม้อไฟมะเขือเทศนั้นมีรสหวานอมเปรี้ยวอันแสนวิเศษ แม้แต่น้ำแกงก็สามารถดื่มได้หลายถ้วย
………………………………………………………………………………………………………………………..
(1)ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ หมายถึง คนใหญ่คนโตขัดแย้งมีปัญหากัน หรือผู้นำของแต่ละฝ่ายนั้นมีปัญหาทะเลาะกัน แต่ส่งผลให้ผู้น้อยหรือประชาชน ลูกน้องนั้นได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน
(2)ผลไป๋จิ่ว(白酒果) หรือสตรอเบอรี่ป่าของจีน มีผลสีขาว เมล็ดสีแดง ขนาดใหญ่ไม่เกินนิ้วหัวแม่มือ
สารจากผู้แปล
สงสารองค์ชายหกจังค่ะ โดนพี่สี่ทำร้ายเสียแล้ว ต้องล้างกี่รอบถึงจะหมดกลิ่นกันนะ
ไหหม่า(海馬)
Comments