ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 199 ชายผู้นี้ช่างไร้หัวใจ
ตอนที่ 199 ชายผู้นี้ช่างไร้หัวใจ
ตอนที่ 199 ชายผู้นี้ช่างไร้หัวใจ
มู่ฉินเจินทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าตนถูกเหยียดหยาม เขาจึงฟาดหลังม้าควบตะบึงไปเบื้องหน้าทันใด ก่อนที่ม้าตัวนั้นจะยกขาขึ้นเหนือร่างอี้จื่อจิ้น
กีบเท้าม้านำพาฝุ่นฟุ้งโขมงสาดร่วงใส่ร่างอี้จื่อจิ้น ชั่วพริบตาก็ทำเอานางเปรอะเปื้อนดินไปทั่วร่างในทันใด
“ กรี้ด!”
อี้จื่อจิ้นตกใจจนกรีดร้องเสียงแหลม ชั่ววินาทีที่ม้าห้อตะบึงมาทางนาง นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยือกโดยที่ตนอยู่ห่างจากกีบเท้าม้าเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น ซึ่งอีกนิดเดียวก็จะถูกม้ากระทืบแหลกแล้ว
มู่ฉินเจินขี่ม้าผ่านนางไป พลางกุมบังเหียนด้วยมือเดียว อีกข้างถือดอกไม้ที่จะมอบให้เฉียวเยี่ยนไว้ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
มู่เวินเหยียนมองการกระทำของพี่สี่แล้วก็ตามน้ำไป เรียนรู้การฟาดม้าให้กระโดดผ่านเช่นกัน หลังจากควบไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่งจึงหันกลับมาตะโกนบอกอี้จื่อจิ้น “ กลับไปส่องคันฉ่องเสียก่อนเถิด หน้าตารึก็อัปลักษณ์ แต่ยังคิดรักสวยรักงาม คนอย่างเจ้าน่ะ ให้มาเป็นหญิงใช้ของพี่สะใภ้สี่ก็ไม่มีคุณสมบัติพอเสียด้วยซ้ำ! ”
ม้าสองตัวกระโดดข้ามร่างนางไปจนอี้จื่อจิ้นตกตะลึงแทบหยุดหายใจ สีหน้าซีดเผือดเต็มประดา เมื่อคล้อยหลังทั้งสองคนที่ขี่ม้าห่างไปไกลแล้ว นางจึงทรุดตัวล้มพับลงกับพื้น สองขาอ่อนแรงสั่นระริกมิอาจยืนได้แม้แต่น้อย
นางเกือบสูญสิ้นชีวิตไปแล้ว!
ชิงเหลียนสาวใช้ประจำตัวรีบวิ่งเข้ามาพยุงคุณหนูของตน นางเองก็ตกใจไม่น้อย
“ คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ? ”
อี้จื่อจิ้นกุมอกหอบหายใจ ก่อนระเบิดร่ำไห้ออกมาเสียงดัง
“ เขามันช่างไร้หัวใจยิ่งนัก! ”
นางยอมรับแล้วว่าชั่ววินาทีนี้ราวกับฝันสลาย เป็นคราแรกที่สัมผัสได้ถึงอันตรายจนรู้สึกเข้าใกล้ความตายมากขนาดนี้
ชายผู้นี้ช่างไร้หัวใจ!
……
มู่ฉินเจินกลับมาด้วยสภาพหน้าดำคร่ำเคร่ง แต่เมื่อเดินเข้าเรือนจิ่งเสวียน เขาก็ปรับสีหน้าท่าทางตนให้อ่อนโยนลง
วันนี้มู่เวินหยียนตามมาเกาะเขากินข้าว มาถึงเรือนนี้เร็วกว่ามู่ฉินเจินหนึ่งก้าว ก่อนอ้าปากตะโกนเรียกเสียงดัง :
“ พี่สะใภ้สี่ วันนี้ท่านทำของอร่อยอะไรกินกัน? ”
“ หลานชายหลานสาวช้าล่ะ อาหกของพวกเจ้ากลับมาแล้ว! ”
เด็กน้อยทั้งสองที่เป็นผู้ติดตามตัวน้อยอยู่กับแม่ในครัวได้ยินเสียงดังนั้นก็วิ่งตรงออกจากห้องครัวทันใด แล้วเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก็เรียกอาหกเสียงหวาน
มู่เวินเหยียนกอดเด็กน้อยด้วยมือคนละข้างแล้วอุ้มพวกเขาขึ้น ชั่งน้ำหนักหนูน้อยทั้งสอง “ หนักขึ้นอีกแล้ว ”
เฉียวเยี่ยนวางมือจากงาน เดินออกจากห้องครัวมาต้อนรับ “ น้องหกมาแล้ว ”
ยามนางกำลังพูดก็เห็นมู่ฉินเจินถือดอกไม้เดินเข้ามา ก่อนยกยิ้มตาหยี
มู่เวินหยียนอุ้มเด็กน้อยทั้งสองจากไป ด้วยไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอที่นี่
มู่ฉินเจินส่งดอกไม้ในมือให้เฉียวเยี่ยน เฉียวเยี่ยนก้มดอมดม ไม่มีกลิ่นหอมฉุนเกินควร เป็นสิ่งที่นางชื่นชอบยิ่งนัก
นางหาแจกันมาใส่ดอกไม้ไว้ จากนั้นจึงกลับเข้าไปผัดอาหารในครัวต่อ แน่นอนว่ามู่ฉินเจินย่อมเดินตามนางไป แม้จะช่วยงานอะไรไม่ได้สักนิด แต่ก็คิดตามติดไปข้างกายนางอยู่ดี
เขามิได้บอกเรื่องเมื่อครู่ให้เฉียวเยี่ยนฟัง เขาถูกรังเกียจคนเดียวก็พอแล้ว ไม่อยากให้นางต้องจิตใจย่ำแย่ไม่เป็นสุขตามไปอีก
ด้วยไม่รู้ว่าวันนี้มู่เวินเหยียนจะมา เฉียวเยี่ยนจึงทำกับข้าวเพียงสามอย่าง กับข้าวสองน้ำแกงหนึ่ง โดยปกติแล้วอาหารจะเพียงพอสำหรับสี่คนทั้งครอบครัว แต่กลัวว่ากับข้าวจะไม่เพียงพอ นางจึงเร่งทำหุยกัวโร่ว(1)
ยามถึงเวลากินข้าว แม้นมีอาหารเพียงสี่อย่าง ทว่ามู่เวินเหยียนกลับยังคงกินด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขยิ่ง
เขายัดหมูสามชั้นผัดเข้าเต็มปาก ก่อนเอ่ยอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ “ พี่สะใภ้สี่ หากวันหน้าข้าตบแต่งภรรยาแล้ว จะตบแต่งภรรยาที่ทำอาหารเป็นเหมือนท่าน! ”
เฉียวเยี่ยนหุบยิ้ม เจ้าเด็กดื้อยังไม่ทันโตนี่ คาดไม่ถึงว่าจะคิดตบแต่งภรรยาเสียแล้ว
มู่ฉินเจินกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น “ เช่นนั้นเจ้าควรตบแต่งกับพ่อครัว ละแวกตำหนักข้ามีให้เจ้าเลือกได้ตามใจ ”
มู่เวินเหยียนถูกขัดจนสำลัก ครั้นดีขึ้นจึงอ้าปากฟ้องทันใด
“ พี่สะใภ้สี่ วันนี้พี่สี่ข้าไปหาเรื่องดอกท้อ(2)มาล่ะ! ”
พออยู่ข้างเฉียวเยี่ยน ความกล้าเขาก็เพิ่มขึ้นมา ทั้งยังกล้าถลึงจ้องมองพี่สี่อย่างเขาที่หน้าคร่ำเคร่งด้วยสองตาอีก
“ เอ๋? ”
เฉียวเยี่ยนเริ่มสนใจ พยายามตั้งสมาธิแน่วแน่ฟังคำต่อไปแม้มีเรื่องยุ่งยากใจก็ตาม
มู่เวินเหยียนมองพี่สี่ผู้เป็นต้นเรื่องอย่างแวดระวัง พลางเล่าเรื่องที่อี้จื่อจิ้นขวางทางไว้วันนี้ไป ทั้งยังทำน้ำเสียงเลียนแบบท่าทางของอี้จื่อจิ้นอีกด้วย
ยิ่งมู่ฉินเจินฟัง อุณหภูมิรอบกายก็ยิ่งลดต่ำลง ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับยังนั่งฟังพร้อมรอยยิ้มประดับบนหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ
นางมองมู่ฉินเจินด้วยความนัยบางอย่าง จากนั้นก็กินข้าวต่ออย่างสงบ ทำเอาคนมองไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรกันแน่
มู่เวินเหยียนเห็นสถานการณ์ดังนี้จึงรีบเร่งความเร็วในการกินข้าว ข้าวสามถ้วยหมดลงอย่างรวดเร็ว หมูสามชั้นผัดครึ่งจานถูกกวาดยัดเข้าปากเขาเต็มคำ
หลังวางถ้วยตะเกียบลงได้ เขาก็รีบวิ่งออกจากโถงใหญ่ราวกับหนีเอาชีวิตรอด
“ พี่สะใภ้สี่ ข้ายังมีธุระ ขอตัวไปก่อน เจอกันพรุ่งนี้!”
แม้เขาจะยังกินเนื้อได้อีกหลายชิ้น ทว่าการรักษาชีวิตไว้ย่อมสำคัญกว่า หากรอจนพี่สี่บันดาลโทสะ เขาต้องดับอนาถแน่!
เด็กน้อยทั้งสองที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เงยศีรษะทุยเล็กขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ มองท่านอาหกของพวกเขาที่ผลุนผลันวิ่งออกไป
ไฉนฉากนี้ถึงดูเหมือนอาการปวดอุจจาระสุดขีดจนวิ่งหางจุกตูดกัน?
หลังกินข้าวเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองจึงทำการบ้างอย่างว่าง่าย พวกเขาไม่กลับไปยังห้องเล็กของตน แต่กลับอยู่ในห้องหนังสือใหญ่ของมู่ฉินเจินแทน
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์มักเขียนการบ้านไว สำหรับคำถามที่ปัญญาชนหัวโบราณแต่งขึ้นนั้นหาได้ยากเย็นแต่อย่างใด ทว่าสำหรับเจ้าปลาอ้วนแล้วมันกลับยากเย็นจนไปต่อไม่ได้ คิ้วเล็กสองเส้นขมวดจนเป็นปม
นางกางหนังสือของตนไว้หน้าพี่ชาย รอพี่ชายอธิบายด้วยความชื่นชม
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์แสดงท่าทางเหมือนอาจารย์ท่านหนึ่ง สอนนางหลายครั้งด้วยความตั้งใจและอดทน
สำหรับการเรียนของเด็กๆ เฉียวเยี่ยนไม่เคยยื่นมือแทรกสักครั้ง ให้พวกเขาคอยช่วยเหลือกันเอง คนหนึ่งรวบรวมความรู้ อีกคนรับความรู้
ความคิดอ่านของเด็กและผู้ใหญ่นั้นต่างกัน ผู้ใหญ่ใช้ความรู้ของตนอธิบาย จึงรู้สึกว่าง่าย ทว่าสมองของเด็กน้อยนั้นใช่ว่าจะอธิบายไหว
กลับกันการให้เด็กๆ ช่วยเหลือกันและกัน จะทำให้พวกเขาพบวิธีอื่นๆ และตามหาวิธีเข้าใจที่เหมาะสมกับตนเอง
ขณะเด็กทั้งสองทำการบ้าน มู่ฉินเจินและเฉียวเยี่ยนก็จับมือกันไปเดินย่อยที่สวนผัก
ในสวนผักปลูกต้นอ่อนผักนานาชนิด ต้นกล้าอ่อนสั้นๆ เหล่านี้ดูแล้วสดชื่นยิ่งนัก
อารมณ์เฉียวเยี่ยนดีขึ้นแล้ว จึงลากมือมู่ฉินเจินแกว่งไปมาพลางเดินไป
มู่ฉินเจินเห็นนางมีความสุข เรื่องราวที่ถูกเหยียดหยามในวันนี้ก็สลายหายไปแล้วเช่นกัน
ทั้งสองเดินมาถึงข้างสระบัวที่มีคนบางตา ทันใดนั้นเฉียวเยี่ยนพลันยืนนิ่ง เขย่งปลายเท้าขึ้นจูบริมฝีปากมู่ฉินเจิน หลังจากเสร็จเรื่องราวยังใช้มือลูบไล้คางเขา ดุจสาวนักเลงหัวไม้กำลังหยอกเย้า
“ วันนี้ทำได้ไม่เลวเลย นี่คือรางวัลของเจ้า ”
มู่ฉินเจินชะงักงันค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมุมปากหยักยิ้มอย่างอดไม่ได้ โถมตัวแนบชิดมาดหมายประทับจูบเมื่อครู่ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับแตะปากเขาไว้ไม่ให้เขารังแกอีก
“ ท่านอ๋อง นี่เป็นการละเมิดกฎเสียแล้วล่ะ เพราะมีเพียงการทำตัวดีเท่านั้นถึงจะได้รางวัล”
แววตาแสนเจ้าเล่ห์และปราดเปรื่องของนางทำเอามู่ฉินเจินคันหัวใจยิบๆ ก่อนพรมจูบมือนาง สัมผัสแสนอ่อนโยนและอบอุ่นวาบหวาม ทำเอาเฉียวเยี่ยนหดมือกลับ
เขาเอ่ยตามนาง “ เช่นนั้นแบบไหนถึงเรียกว่าทำตัวดีเล่า? ”
“ อย่างน้อยก็ต้องเหมือนวันนี้ หากมีดอกไม้ป่า(1)มาล่อลวงท่าน ท่านต้องปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ทั้งยังต้องปฏิเสธอย่างเด็ดขาด!”
มู่ฉินเจินยกยิ้มพลางตอบรับ “ ได้”
สำหรับเขาแล้ว นี่ถือว่าง่ายดายยิ่ง
ทั้งสองยังคงจับมือกันเดินเล่น เฉียวเยี่ยนเอนศีรษะไปข้างกายเขาพลางถามเสียงเบา “ถึงอย่างนั้นแล้ววันนี้ท่านไม่รู้สึกใจเต้นบ้างเลยหรือ? ”
“หญิงผู้มากความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ทั้งยังมีชาติตระกูลดี และเป็นที่หมายปองของชายหลายคน ไม่เคยทำให้ท่านใจเต้นแรงบ้างเลยหรือ? ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1) 回锅肉 – หมูสามชั้นผัดสไตล์เสฉวน
(2) 招桃花 – เป็นสำนวน แปลว่าชายที่แต่งงานแล้วยังออกไปหาเรื่องกับหญิงอื่นข้างนอก บางความหมายคือชายที่แต่งงานแล้วยังมีคนอื่นมาชอบอีกหรือกล่าวได้อีกความหมายว่าทำตัวให้คนอื่นชอบง่ายๆ โดยไม่สนใจว่าแต่งงานแล้ว
(3) 野花儿 เป็นสำนวน แปลว่าหญิงงาม
สารจากผู้แปล
หวิดสิ้นชีพแล้วคุณหนูอี้เอ๊ย แถมสิ้นชีพแบบศพไม่สวยด้วย ไปขวางเขาแบบไม่ดูอารมณ์เขาเลย
ลึกๆ แล้วท่านอ๋องกำลังรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ หลังกลับมาบ้านอยู่ใช่ไหมคะ
ไหหม่า(海馬)
Comments