ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 218 มันเป็นความฝันหรือความจริง?

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 218 มันเป็นความฝันหรือความจริง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 218 มันเป็นความฝันหรือความจริง?

ตอนที่ 218 มันเป็นความฝันหรือความจริง?

หลังจากอาหารเพาะที่ผ่านการฆ่าเชื้อเย็นลงแล้วก็เริ่มปลูกถ่ายหัวเชื้อเห็ดเข้าไป โดยใช้คีมคีบเส้นใยเห็ดสีขาวกับสปอร์เห็ดในหลอดทดลองมาปลูกลงบนพื้นผิวอาหารเพาะที่อยู่ในขวด และพยายามแผ่ให้เต็ม

งานนี้เป็นงานละเอียดอ่อน เฉียวเยี่ยนจึงพาฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงมาทำงานด้วยกัน และย้ายเชื้อเห็ดลงโหลเพาะไปแล้วพันกว่าโหล

ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงไม่ชำนาญ ดังนั้นกำลังหลักจึงยังคงเป็นเฉียวเยี่ยน ระหว่างนั้นก็มีเว่ยอวิ๋นซูมาช่วยตลอดทั้งวัน

เมื่อมองโหลเพาะเห็ดที่ปลูกเสร็จแล้วพันกว่าโหล ในใจของทุกคนก็รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยม

นำโหลที่ปลูกถ่ายเชื้อเห็ดเสร็จแล้วไปเรียงไว้ในเรือนกระจกอย่างเป็นระเบียบ เชื้อเห็ดจะเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มืดและชื้น ภายในเรือนกระจกจึงมีการคลุมตาข่ายพรางแสงเอาไว้ ระหว่างนั้นก็รดน้ำตามเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาความชื้นของวัสดุเพาะ

หลังจากผ่านไปสิบวัน เส้นใยเห็ดสีขาวจะขึ้นปกคลุมด้านบนโหล จนดูคล้ายกับขนเต้าหู้

ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงที่เข้าร่วมเพาะตั้งแต่ขั้นตอนแรกก็รู้สึกประหลาดใจมาก หวางเฟยบอกว่าเจ้าขนสีขาวๆ พวกนี้จะงอกออกมาเป็นเห็ด เรื่องนี้ช่างเปิดหูเปิดตาพวกนางยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าเห็ดจะปลูกได้ด้วย

เนื่องจากโหลกระเบื้องไม่โปร่งใส มองไม่เห็นสภาพด้านใน เฉียวเยี่ยนจึงเลือกมาโหลหนึ่งแล้วล้วงอาหารเพาะออกมาทั้งหมด ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงถึงได้ค้นพบว่า เจ้าใยสีขาวๆ พวกนี้ไม่เพียงเติบโตอยู่บนพื้นผิวเท่านั้น พวกมันยังเจริญเติบโตทั่วทั้งอาหารเพาะอีกด้วย

เมื่อเส้นใยเห็ดเติบโตได้ประมาณครึ่งเดือน และผิวด้านนอกกับภายในอาหารเพาะถูกปกคลุมไปด้วยเส้นใยเห็ดแล้ว ก็สามารถเริ่มขั้นตอนต่อไปได้

ขั้นตอนนี้กล่าวในเชิงวิชาการก็คือการเขี่ยเชื้อ ซึ่งจริงๆ แล้วคือการขูดใยเชื้อราด้านบนอาหารเพาะตรงปากขวดออก และปล่อยให้มันงอกขึ้นมาใหม่

ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงงุนงงนัก ขนสีขาวนี่งอกออกมาไม่ได้ง่ายๆ เลย ไยถึงต้องขูดมันทิ้งด้วย?

ในตอนที่เฉียวเยี่ยนพาพวกนางไปทำงานแล้วเห็นสีหน้าอาลัยอาวรณ์ของทั้งสอง นางก็อธิบายว่า “ขั้นตอนนี้จะทำให้ใยเชื้อรางอกออกมาได้เป็นระเบียบมากขึ้น ขนาดของเห็ดที่โตขึ้นมาก็จะสม่ำเสมอมากขึ้นด้วย”

หลังจากได้รับคำอธิบาย แม้ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงจะอาวรณ์แค่ไหน ก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น

……

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวุ่นอยู่กับการเพาะเห็ดชุดนี้ทั้งวันจนเหนื่อยล้าหรือไม่ ถึงทำให้คืนนี้เฉียวเยี่ยนฝัน ซึ่งเป็นฝันอันยาวนาน นานจนจิตสำนึกของนางตื่นขึ้นมา และรู้ว่าตัวเองกำลังฝัน ทว่าทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น

ในความฝัน นางยืนอยู่ท่ามกลางหมอกสีขาวหนาทึบ มองตรงหน้าไม่ชัดว่ามันคืออะไร

นางเดินคลำทางไปด้านหน้า ปากก็พร่ำเรียกชื่อมู่ฉินเจิน ทว่าไม่มีใครตอบนาง

นางเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในที่สุดตรงหน้าก็ปรากฏแสงสว่างจ้า และมีร่างเลือนร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงแสงจ้านั้น

นางมองเห็นไม่ชัดว่าคนผู้นั้นคือใคร จึงเรียกชื่อมู่ฉินเจินอย่างลืมตัว “มู่ฉินเจิน เป็นท่านหรือไม่?”

ทว่าทันทีที่นางเอ่ยออกมา ร่างนั้นก็เดินไปทางต้นแสงออกไปไกล นางจึงยกเท้าก้าวไล่ตาม และพุ่งเข้าไปในแสงนั้น

เมื่อผ่านแสงออกมาแล้ว สภาพแวดล้อมรอบตัวนางพลันเปลี่ยนไป และพบว่านางได้มาอยู่ในสถานที่ที่ทั้งรู้สึกแปลกและคุ้นเคย

มันคือบ้านของนาง! กล่าวให้ชัดก็คือบ้านในชาติก่อนของนาง!

นางยืนอยู่ในห้องรับแขก และสำรวจทุกอย่างรอบๆ อย่างว้าวุ่นใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร บนผนังด้านหนึ่งติดใบประกาศนียบัตรไว้เต็ม มันเป็นรางวัลต่างๆ ที่นางได้ตั้งแต่เด็กจนโต

ทุกครั้งที่ได้รางวัล คุณพ่อก็มักจะนำไปติดบนผนังอย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็จะให้รางวัลอย่างหนึ่งแก่นาง

ในแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะยังเสียบดอกไลเซนทัสสีขาวที่นางชอบที่สุดไว้อยู่ บนตู้วางรูปที่ถ่ายในมหาวิทยาลัยตอนพ่อแม่ไปส่งนางเข้าเรียนเป็นครั้งแรก

ทั้งหมดยังเป็นเหมือนที่นางคุ้นเคย!

ครั้นได้กลับมาในอดีตอีกครั้ง น้ำตาของนางก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ และไม่กล้าคิดลึกมากนัก นางไม่อยู่ตั้งหลายปี พ่อแม่ของนางจะใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไร

พลันมีเสียงหั่นผักดังออกมาจากห้องครัว นางจึงเคลื่อนเท้าเดินไปทางห้องครัวอย่างลืมตัว

คุณแม่กำลังทำกับข้าวอยู่หรือ? ให้นางได้เห็นท่านสักแวบหนึ่งได้หรือไม่?

แค่แวบเดียว!

สายตาของนางจดจ่ออยู่ที่ห้องครัวเล็กๆ โดยไม่ทันได้ระวังเท้า นางก็เหยียบเข้ากับสิ่งที่เป็นก้อนกลมๆ ร่างกายพลันโงนเงน จากนั้นจึงก้มลงมอง และพบว่ามันคือลูกบอลของเล่นเด็ก

ในบ้านนี้มีเด็กด้วยหรือ?

นางไม่คิดอะไรมาก เดินไปทางห้องครัวต่อ และยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว ในที่สุดนางก็ได้เห็นคนที่นางคุ้นเคยกว่าใครแล้ว

หญิงชราแสนสวยอายุห้าสิบกว่าปีคนนี้บำรุงรักษาตัวเองอย่างดีมาก เส้นผมยังดำขลับเงางาม จอนด้านข้างมีผมสีขาวแค่สองสามเส้น แม้ดวงหน้าจะเริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัย แต่กระนั้นก็ยังสวยมาก

ดูเหมือนว่าท่านมีความสุขมาก หั่นผักไปพลาง ฮัมเพลงไปพลาง

เสี้ยววินาทีที่เฉียวเยี่ยนเห็นมารดา น้ำตาก็เอ่อคลอออกมาจากขอบตาอีกครั้ง ลำคอร้าวจนรู้สึกขมขื่น เรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่…”

แต่หญิงชราไม่เห็นนาง และไม่ได้ยินเสียงของนาง เอาแต่หั่นผักต่อ

ทันใดนั้น เสียงไขกุญแจเปิดประตูก็ดังออกมาจากด้านนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเฉียวเยี่ยนหันกลับไปอย่างงุนงง และเห็นพ่อของนางกลับมาจากด้านนอก

ชายชราที่อายุหกสิบกว่าปีแล้วมีร่างกายแข็งแรงมาก มือซ้ายถือรถไฟเหาะของเล่นเด็ก ส่วนมือขวาจูงมือสาวน้อยที่ขาวนวลดุจหยกอายุประมาณสามหรือสี่ขวบผู้สวมชุดเจ้าหญิงตัวน้อย

หญิงชราที่ทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวได้ยินเสียงก็ออกมาดู เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งก็ยิ้มอย่างใจดี

“หว่านเป่ากลับมาแล้ว รีบมาหายายเร็ว”

เจ้าก้อนแป้งก้าวขาสั้นวิ่งเตาะแตะไปหายาย และเรียกด้วยเสียงหวานเจื้อยแจ้ว “คุณยาย หว่านหว่านหิวแล้ว!”

“จ้ะ ยายต้มโจ๊กผักไว้ให้หว่านเป่าแล้ว เดี๋ยวยายจะเอามาป้อนให้นะ”

เฉียวเยี่ยนอึ้งกับภาพที่อยู่ตรงหน้าจนอ้าปากเหวอเล็กน้อย ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด ทว่าสักคำหนึ่งก็เอ่ยออกมาไม่ได้

เด็กคนนี้เป็นใคร? ทำไมถึงเรียกแม่ของนางว่าคุณยาย?

แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่าก็คือ เจ้าก้อนแป้งคนนี้มีหน้าตาคล้ายกับนางตอนเด็กมาก

หากไม่ใช่เพราะเจ้าก้อนแป้งเรียกว่ายาย นางคงคิดว่าเป็นลูกคนที่สองของพ่อแม่นางไปแล้ว!

นางยืนอยู่ในห้องรับแขกอย่างนิ่งงันเป็นไก่ไม้ ดูพ่อนางเล่นของเล่นกับเจ้าก้อนแป้ง ขณะที่แม่นางยกถ้วยโจ๊กจากในครัวออกมาหนึ่งชาม ตักขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วยื่นป้อนให้เจ้าก้อนแป้ง

ในหัวนางสับสนมึงงงเต็มประดา อยากรู้เรื่องทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร ทว่าข้างหูกลับมีเสียงอ่อนโยนทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อาเยี่ยน ตื่นสิ”

เป็นมู่ฉินเจินที่กำลังเรียกนาง!

หลังจากการเรียกของเขา นางก็ออกจากบ้านในชาติก่อนของนาง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ขณะที่มู่ฉินเจินกำลังมองนางด้วยสีหน้าเป็นห่วงยิ่ง

จิตสำนึกของเฉียวเยี่ยนยังคงมึนงง ยังคงจมอยู่ในห้วงความฝันเมื่อครู่จนไม่ได้สติกลับมา

เมื่อเห็นว่าในที่สุดนางก็ตื่นแล้ว สีหน้าของมู่ฉินเจินก็อ่อนลงเล็กน้อย เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนเบาๆ และเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้นาง

เมื่อครู่นางเอาแต่เรียกชื่อเขา แต่เขาทำอย่างไรก็ปลุกนางไม่ตื่น ต่อมาปากนางก็เอาแต่พร่ำเรียกหา ‘แม่’ น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด

เขาลูบหลังปลอบนางเบาๆ เมื่อคิดว่านางคงฝันร้าย จึงปลอบโยนอย่างอ่อนโยนราวกับกล่อมเด็กน้อย “ไม่ต้องกลัว มันเป็นแค่ความฝัน ข้าอยู่นี่แล้ว”

เฉียวเยี่ยนยื่นมือไปโอบรอบเอวเขา ฝังหน้าไว้ที่ซอกอก สูดดมกลิ่นกายอันคุ้นเคย ในใจถึงได้สงบขึ้น

ทว่านางยังคงจำความฝันเมื่อครู่นั้นได้

ภาพในฝันนั้นมันเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือมันเกิดขึ้นจริงกันแน่?

หากมันเกิดขึ้นจริง แล้วเด็กคนนั้นเป็นใครกัน?

มู่ฉินเจินเห็นนางยังมีท่าทางเหม่อลอยอยู่ในอ้อมกอดตัวเองเช่นเดิม ก็รู้สึกใจเจ็บแปลบ ก่อนลูบศีรษะนาง และถามเสียงแผ่วเบา “เป็นอะไร? ช่วงนี้เหนื่อยเกินไปรึ?”

เฉียวเยี่ยนส่ายหัว และตอบกลับอย่างอ่อนแรง “ไม่มีอะไร แค่ความฝันเมื่อครู่มันยาวนานเกินไป จึงยังไม่ได้สติเล็กน้อย”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อยู่ดีๆ ก็ฝันถึงบ้านเดิมแบบนี้ มันเป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่านะ หรือว่าแม่ของเด็กคนนั้นคือเฉียวเยี่ยนคนเดิมที่สลับวิญญาณกับเฉียวเยี่ยนคนนี้?

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *