ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 242 คนแปลกหน้า
ตอนที่ 242 คนแปลกหน้า
ตอนที่ 242 คนแปลกหน้า
ฮุ่ยเซียงตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางลนลานจนทำอะไรไม่ถูก และเกือบจะคลานไปด้านข้างของเรือนกระจก “หวางเฟย! หวางเฟย! ท่านอยู่ที่ไหนเจ้าคะ?”
น้ำเสียงของนางแหบแห้ง ขณะสองมือขุดหิมะอย่างแรงเช่นเดียวกับหลันหนิง นางตะโกนไปพลาง ขุดไปพลาง “ใครก็ได้มาช่วยที! รีบมาช่วยเร็ว! หวางเฟยถูกทับอยู่ข้างใน!”
คนงานบริเวณใกล้เคียงได้ยินเสียงเรือนกระจกพังถล่มรีบรุดมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว ครั้นได้ยินว่าหวางเฟยถูกทับอยู่ข้างในก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
พวกคนงานร่วมแรงร่วมใจจัดการเก็บกวาดเรือนกระจกที่พังถล่มและมองหาร่างของเฉียวเยี่ยนในหิมะ บางคนจูงม้ารีบควบตะบึงไปแจ้งแก่มู่ฉินเจินที่เมืองหลวงทันที
เมื่อมู่ฉินเจินมาถึงหมู่บ้านจือซานก็เป็นสองวันให้หลังแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าสองวันนี้เขารู้สึกอย่างไร
หัวใจดวงนี้เหมือนถูกแช่แข็งด้วยหิมะทับถมหนาเป็นพัน ๆ ลี้ ทั้งหนาวทั้งเจ็บปวด ถนนถูกปกคลุมด้วยหิมะ บางช่วงถนนเป็นทางแคบม้าผ่านไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงเดินเท้าเท่านั้น จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านจื่อซาน ริมฝีปากของเขาก็กลายเป็นสีม่วงจากความหนาวเหน็บ
ฮุ่ยเซียงเห็นท่านอ๋องที่มีหิมะเกาะเต็มศีรษะเร่งรุดเข้ามาแล้วก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นางปาดน้ำตาบนหน้าออก มองหวางเฟยที่นอนอยู่ในห้อง ก่อนเปิดปากเอ่ย “ท่านอ๋อง บ่าวได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านได้ล้างเนื้อล้างตัวก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ฉินเจินไม่ตอบสนอง ก้าวไปที่ห้องด้านในโดยอัตโนมัติ เขาในเวลานี้ต้องการเพียงแน่ใจว่าคน ๆ นั้นไม่เป็นไรแล้ว
ฮุ่ยเซียงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น และเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ท่านอ๋อง หวางเฟยไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องกังวล ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ไม่เช่นนั้นหวางเฟยจะต้องโกรธแน่เมื่อนางตื่นขึ้นแล้วเห็นท่านเป็นเช่นนี้”
ตอนนี้ใบหน้าท่านอ๋องต้องลมหนาวจนเป็นสีม่วงแล้ว หากไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จะต้องป่วยเป็นแน่
หวางเฟยหมดสติยังไม่ตื่น หากท่านอ๋องเป็นอะไรขึ้นมาอีก เช่นนั้นชื่อเสียงของตำหนักอ๋องซู่คงจะพังลงแล้ว
มู่ฉินเจินทำเป็นหูทวนลมและยังคงเดินไปที่ห้องด้านใน ฮุ่ยเซียงกระวนกระวายใจนักจึงดึงเสื้อของมู่ฉินเจินไว้อย่างกล้าหาญ “ท่านอ๋อง หากท่านไม่คิดถึงตัวเอง ก็ควรคิดถึงหวางเฟยด้วยสิเจ้าคะ ตอนนี้นางเป็นไข้อยู่ ท่านพาไอเย็นเข้าไปด้วย อาการป่วยของนางก็จะยิ่งแย่ลง”
สิ้นคำพูดนี้ มู่ฉินเจินถึงมีสีหน้าอื่นปรากฏ เขานั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองห้องด้านในด้วยสายตาเลื่อนลอย
ฮุ่ยเซียงเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องได้แล้ว จึงรีบออกจากห้องไปเตรียมเสื้อผ้ากับน้ำแกงร้อน ๆ มาให้
มู่ฉินเจินอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า รอให้ร่างกายไม่มีไอความเย็นแล้ว ก็เข้าไปในห้องเพื่อดูคนในใจของเขา
ในห้องตั้งเตาอั้งโล่ไว้หลายเตา จึงอบอุ่นมาก เฉียวเยี่ยนนอนอยู่บนเตียง หลับตาอย่างสงบ สีหน้าขาวซีด หน้าผากที่บาดเจ็บจากเรือนกระจกที่ถล่มมีผ้าสาลูสีขาวพันเอาไว้
มู่ฉินเจินนั่งอยู่ข้างเตียง พลางลูบดวงหน้าของเฉียวเยี่ยนเบา ๆ เขาที่ไม่ได้เปิดปากพูดมาสองวันก็มีน้ำเสียงแหบแห้งในตอนนี้
เขากระซิบเสียงเบา “เจ้าท่อนไม้ดื้อรั้น เจ้าละโมบตัวน้อย หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะทำเช่นไร?”
ระบบตัวน้อยได้ยินคำพูดของมู่ฉินเจิน ทว่านางติดต่อกับเขาไม่ได้ ทำได้เพียงมองอย่างกังวล
นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านโฮสต์ของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ร่างกายไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร แต่นางสัมผัสความรู้สึกของโฮสต์ตัวเองไม่ได้เลย ราวกับว่าวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว
มู่ฉินเจินกุมมือเฉียวเยี่ยนเอาไว้และพูดพล่ามมากมาย นึกอยากลองปลุกนาง จนกระทั่งมีเสียงรายงานของหลันหนิงดังมาจากนอกประตู
หลันหนิงต้มยาเสร็จ ก็ยกถาดส่งเข้าไปในห้อง
“วางลงเถิด ข้าจะป้อนเอง”
สายตาของมู่ฉินเจินไม่ละไปจากร่างของเฉียวเยี่ยน เขาหันหลังให้หลันหนิงพร้อมออกคำสั่ง
หลันหนิงวางยาลงบนโต๊ะ และเมื่อนางกำลังหันจากไป นางก็เม้มริมฝีปากล่าง ก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านหมอบอกว่าร่างกายหวางเฟยไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร บางทีอาจเป็นเพราะตกใจกลัว จึงยังไม่ฟื้นสักระยะหนึ่ง ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปเจ้าค่ะ”
“อืม”
มู่ฉินเจินตอบแผ่วเบา จวบจนหลันหนิงออกไปแล้ว เขาก็หยิบยาบนโต๊ะขึ้นมาเป่าเบา ๆ ก่อนป้อนยาให้เฉียวเยี่ยนอย่างเบามือ
แม้เฉียวเยี่ยนจะหมดสติอยู่ แต่ก็ดื่มยาอย่างว่าง่าย และดื่มจนหมดโดยไม่หกเลยสักหยด
มู่ฉินเจินวางถ้วยลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากของนางเบา ๆ ก่อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เก่งมาก ตั้งใจดื่มยาอีกเดี๋ยวก็หายแล้ว”
เขารำพึงชื่นชมเฉียวเยี่ยน แต่จริง ๆ แล้วกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่า หลังจากดื่มยาเสร็จ โอกาสที่นางจะฟื้นขึ้นมาก็มีมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
หลายวันที่เฉียวเยี่ยนอยู่ในอาการหมดสติ มู่ฉินเจินเฝ้าดูนางอยู่ไม่ห่าง ป้อนยาป้อนโจ๊ก เช็ดร่างกาย ทั้งหมดเขาล้วนทำด้วยตัวเอง ไม่มอบหมายให้ผู้ใดทำเลย
สีหน้าของเฉียวเยี่ยนดูดีขึ้นเรื่อย ๆ สองแก้มเริ่มปรากฏสีแดงเรื่อ ยามท่านหมอมาตรวจชีพจรก็พบว่าชีพจรนางเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าที่แปลกก็คือนางไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที
มู่ฉินเจินรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ตั้งแต่รู้ว่าวิญญาณของเฉียวเยี่ยนมาจากโลกอื่น เขาก็กลัวมาตลอดว่านางจะจากเขาไป
หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ววิญญาณทะลุมิติไปยังอีกโลกหนึ่งเหมือนเคย เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จะกลายเป็นเจ้าท่อนไม้ที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่?
เขานอนไม่หลับจนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เอาแต่จ้องนางที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ ทั้งคืน เขาไม่อยากพลาดช่วงเวลาใดไปหลังจากที่นางฟื้นขึ้นมา และอยากแน่ใจว่านางใช่เจ้าท่อนไม้ของเขาหรือไม่
ในวันที่ห้าหลังจากที่เฉียวเยี่ยนหมดสติ ในที่สุดนางก็แสดงสัญญาณฟื้นตื่นขึ้นมา
มู่ฉินเจินที่นั่งอยู่บนหัวเตียงป้อนยาให้นางเสร็จแล้วก็พบว่าเปลือกตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังจะลืมตาขึ้น
เขาสงบนิ่งตั้งสมาธิ หัวใจเต้นรัวเหมือนตีกลอง ประหม่าอย่างที่ไม่เคยประหม่าเหมือนไปรบครั้งแรก
คนบนเตียงลืมตาขึ้น กลอกตามองเพดานอย่างสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งก็แน่ใจว่าตัวเองกลับมาแล้วจริง ๆ
นางค่อย ๆ ประคองตัวเองลุกขึ้น แต่วินาทีที่สายตาสบกับมู่ฉินเจิน ในแววตาก็มีความประหลาดใจ ความตกใจระคนหวาดกลัวอยู่
นางกระถดตัวถอยไปอยู่มุมเตียง จ้องมองมู่ฉินเจินอย่างระแวดระวัง และวินาทีที่นางอยู่ในสายตาเขา หัวใจของมู่ฉินเจินก็หนาวเหน็บจนถึงขีดสุด
นี่ไม่ใช่คนที่เขาคุ้นเคย ในสายตาของนางมีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้ามากเกินไป
เสี้ยววินาทีนั้นเขาก็มิอาจระงับอารมณ์ตัวเองได้ ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ในน้ำเสียงเย็นเยือกเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าเป็นใคร แล้วนางล่ะ?”
“ออกไปจากร่างของนาง ไม่เช่นนั้นเปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า!”
‘เฉียวเยี่ยน’ ตกใจกับคำพูดของเขา แม้จะไม่ได้พบเขาเป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อเห็นเขาอีกครั้ง นางก็ยังหวาดกลัวเขาอย่างเปี่ยมล้น
นางหดตัวถอยไปถึงมุมเตียง ก่อนรวบรวมความกล้า เอ่ยอย่างขลาดกลัว “ข้าคือเฉียวเยี่ยนคนเดิม พี่เฉียวให้ข้ามาบอกท่านว่าอย่าเพิ่งกังวล ไม่นานเราจะสลับร่างกันกลับมา ข้าแค่กลับมาบอกลาครอบครัวข้าเท่านั้น”
หลังจากมู่ฉินเจินได้ยินคำพูดของนาง โทสะก็บรรเทาลง ดวงตาสองข้างแดงก่ำราวกับจะกลั่นออกมาเป็นเลือด ก่อนถามด้วยเสียงสั่นเครือ “จะ…จริงหรือ?”
เขาในเวลานี้เปราะบางและหวาดกลัวมากจริง ๆ กังวลว่าคน ๆ นั้นจะจากเขาไปตลอดกาล แม้ร่างกายของนางยังคงอยู่ ทว่าวิญญาณของนางกลับไม่ใช่คนที่เขารักอย่างลึกซึ้งอีกต่อไป
‘เฉียวเยี่ยน’ยังไม่เคยเห็นมู่ฉินเจินเป็นเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำแต่อดีตของนาง เขามักจะทำตัวเย็นชาสูงส่งเสมอ ที่แท้เขาก็มีวันเปราะบางเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความหวาดกลัวของนางที่มีต่อเขาก็น้อยลงไปมาก เขาเป็นแค่บุรุษที่อยู่ในวังวนความรักคนหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับสามีของนางที่อวดเก่งต่อหน้าคนอื่น แต่อยู่ต่อหน้านางก็เป็นสุนัขตัวหนึ่ง
นางพยักหน้า และเอ่ยเสียงเบา “เป็นเรื่องจริง เหตุที่ข้ากลับมาก็เพราะเศษเสี้ยววิญญาณของข้ายังหลงเหลืออยู่ในร่างนี้ นั่นคือข้ายังมีห่วงกับคนในครอบครัวข้า หลังจากที่ข้าบอกลาครอบครัวแล้วก็จะจากไป แล้วร่างกายนี้ก็จะเป็นของพี่เฉียวอย่างสมบูรณ์”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บางทีนี่อาจเป็นโชคดีก็ได้ที่สลับวิญญาณกัน ทำให้แต่ละคนได้เจอกับความรักดี ๆ ของตัวเอง
ไหหม่า(海馬)
Comments