ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 25 คับแค้นใจ จนด่าทอกันรุนแรง (รีไรท์)
ตอนที่ 25 คับแค้นใจ จนด่าทอกันรุนแรง (รีไรท์)
ตอนที่ 25 คับแค้นใจ จนด่าทอกันรุนแรง (รีไรท์)
ครั้นเฉียวเยี่ยนเห็นปุ๋ยคอกสีดำในปากอีกฝ่าย นางก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว “หากเจ้าชอบก็บอกเปิ่นเฟยได้ เปิ่นเฟยจะมอบให้เจ้าสิบชั่งแปดชั่งเลย มีพอให้เจ้ากินอิ่มแน่นอน”
เมื่อข้ารับใช้ที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินนางพูดเช่นนี้ พวกเขาก็หัวเราะขึ้นมาในบัดดล ทำให้อวิ๋นเซียงทั้งอับอายทั้งโมโห จ้องมองเฉียวเยี่ยนเขม็ง
เฉียวเยี่ยนหุบยิ้ม เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะโน้มตัวลงและยกมือขึ้นบีบคางอีกฝ่ายไว้ ดวงตาฉายแสงวาวโรจน์ “ทำไม? ไม่พอรึ? หรืออยากให้เปิ่นเฟยป้อนเจ้าด้วยตัวเอง?”
เรื่องที่อีกฝ่ายทอดสะพานให้มู่ฉินเจินในอดีต ตนทำเป็นหลับหูหลับตาได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจทำสวน และทำให้แผนการหว่านกล้าในฤดูสารทล่าช้า ก็อย่าหาว่านางไร้ความปรานีแล้วกัน!
คางของอวิ๋นเซียงถูกบีบแน่น ทำให้นางพยายามดิ้นให้หลุดจากมือเฉียวเยี่ยน ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเพิ่มแรงบีบเบา ๆ ให้อวิ๋นเซียงเผยอเปิดปาก
อวิ๋นเซียงเจ็บจนน้ำตาไหล ไม่สามารถหุบปากได้ ปุ๋ยคอกสีดำติดอยู่เต็มปาก ทำให้ข้ารับใช้รอบ ๆ ที่มองดูอยู่รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย
เฉียวเยี่ยนจ้องมองใบหน้าอวิ๋นเซียงราวกับกำลังดูเรื่องสนุก และไม่พลาดที่จะเห็นสายตาเคียดแค้นของอีกฝ่าย หากสายตานี้สามารถกลายเป็นจริงได้ ตอนนี้นางก็อาจจะถูกแทงด้วยลูกศรนับพันไปแล้ว
นางปัดมือตัวเองไปมาอย่างไร้เดียงสา และแสดงท่าทางเหลือเชื่อออกมา “อ๊ะ! เปิ่นเฟยไม่ได้ใช้แรงมากเลยนะ เหตุใดเจ้าถึงเผยอเปิดปากล่ะ ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะรีบทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้เลย งานนี้ข้าถนัด!”
ก็แค่การแสดง? คิดว่าคนอื่นทำไม่เป็นหรือไร!
ในเมื่อชอบทำตัวน่าสงสารและไร้เดียงสาต่อหน้าบุรุษ เช่นนั้นก็ให้อีกฝ่ายแสดงให้พอ!
อวิ๋นเซียงส่ายหน้าไปมาไม่หยุด น้ำลายไหลออกจากปากที่เปิดอยู่อย่างไม่ขาดสาย นางใช้ฝ่ามือค้ำยันกายถอยหลัง ต่อต้านไม่ให้เฉียวเยี่ยนเข้าใกล้
ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับคลี่ยิ้มอ่อนหวาน และ ‘มีน้ำใจ’ จัดให้คางของอีกฝ่ายกลับเข้าที่เดิม “ไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บหรอก ไม่นานก็เสร็จแล้ว”
นางยิ้มและดึงคอเสื้ออวิ๋นเซียงไว้ ใช้มือบีบปากให้หุบลง
อวิ๋นเซียงกรีดร้อง ไม่นานคางของนางก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม
ข้ารับใช้ที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนที่ลงตำแหน่งเดิมก็ตัวสั่นอย่างพร้อมเพรียง ครั้นมองรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเยี่ยน พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนลนลาน
“เห็นไหม เปิ่นเฟยบอกแล้ว ไม่นานก็เสร็จ”
ผมเผ้าของอวิ๋นเซียงยุ่งเหยิง ปุ๋ยคอกสีดำยังติดอยู่ในปาก นางร้องไห้จนใบหน้าที่ประทินโฉมไว้อย่างหนักเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเหมือนหญิงวิปลาสในพริบตาเดียว
นางชี้หน้าเฉียวเยี่ยน ความไม่พอใจและความชิงชังที่อยู่ในใจนางได้ครอบงำความมีเหตุผลของนางไปจนหมดสิ้น
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายข้า! เจ้ามันก็แค่หญิงเลวที่อาศัยลูกเพื่อให้ได้ฐานะมาก็เท่านั้น!”
“มีตำหนักผู้ใดบ้างไถที่รกร้างเพื่อทำไร่ทำสวน? น่าขายหน้ายิ่งนัก เจ้าทำท่านอ๋องขายหน้าไปหมดสิ้นแล้ว!”
“เจ้าเป็นหวางเฟยแล้วอย่างไร ถือจอบทำงานในไร่สวนทั้งวันจะต่างอะไรกับคนชั้นต่ำที่หากินบนดินเหล่านั้น!”
เพียะ!
นางด่าอย่างสะใจ และอยากจะเปิดปากด่าต่อ แต่เฉียวเยี่ยนได้ตบฉาดเข้าที่ใบหน้านางเสียก่อน
เฉียวเยี่ยนในตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าอีกแล้ว ยามนี้มันถูกแทนที่ด้วยไอเย็นทั่วร่าง แรงตบเมื่อครู่นั้นนางใช้แรงไปแค่เจ็ดส่วน แต่ก็ทำให้อวิ๋นเซียงล้มลงกับพื้น แก้มบวมเป่ง เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก
นางปรายตามองอวิ๋นเซียงอย่างเย็นชา และเอ่ยเน้นทีละคำอย่างเย็นชาดุจน้ำแข็ง “เจ้านับว่าเป็นสิ่งใดได้? ถึงได้บังอาจท้าทายเปิ่นเฟย?”
“เจ้าเป็นอะไรกับมู่ฉินเจิน? ข้าไถที่รกร้างทำสวนในตำหนักเขา เขาเป็นเจ้าของยังไม่ว่าอะไรเลย แล้วคนใช้กระจ้อยร่อยคนหนึ่งอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์ฉอด ๆ ต่อหน้าข้า!”
“เปิ่นเฟยใช้ลูกเพื่อให้ได้ฐานะแล้วอย่างไร? เก่งนักก็ยกฐานะขึ้นมาสิ?”
“หากินบนผืนดินแล้วอย่างไร? ไม่ทำมาหากินบนผืนดินแล้วจะให้ชม้อยชม้ายชายตาให้ท่าทอดสะพานบุรุษไปวัน ๆ หรือ?”
คำพูดแต่ละประโยคของเฉียวเยี่ยนดังอยู่ข้างหูอวิ๋นเซียง ดวงตานางพร่ามัว กลิ่นคาวคลุ้งพลุ่งพล่านอยู่ในอก สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมาและสลบไป
ข้ารับใช้ที่รุมล้อมอยู่รอบ ๆ ต่างพากันก้มหน้า ไม่กล้าหายใจแรง นี่เป็นครั้งแรกที่หวางเฟยบันดาลโทสะมากขนาดนี้ตั้งแต่นางกลับมา
โชคดีที่พวกเขาไม่ปะทะกับนางในยามโมโห ไม่เช่นนั้นด้วยกำลังเหวี่ยงจอบขุดดินของนางแล้ว พวกเขาก็อาจโดนหวดส่งไปยมโลกในจอบเดียวก็ได้
ลุงฉูเพิ่งจัดการสมุดบัญชีของตำหนักอยู่กับเจ้าหน้าที่บัญชีในห้องบัญชี ในเมื่อท่านอ๋องบอกว่าให้หวางเฟยควบคุมดูแลเรื่องทุกอย่างในตำหนัก ก็ควรส่งมอบสมุดบัญชีนี้ให้หวางเฟยดูด้วย
ครั้นได้ยินข้ารับใช้มารายงานว่ามีสาวใช้คนหนึ่งปะทะกับหวางเฟย เขาก็กังวลใจจนรีบวิ่งไปที่ลานด้านทิศตะวันตกอย่างกระหืดกระหอบ
ทันทีที่มาถึงลานทางทิศตะวันตกก็เห็นอวิ๋นเซียงสลบเหมือดอยู่บนพื้นราวสุนัขตาย จึงสั่งข้ารับใช้สองคนว่า “พวกเจ้าสองคน ลากนางออกไป”
อวิ๋นเซียงถูกพาตัวไปแล้ว ส่วนข้ารับใช้ที่เหลือถูกลุงฉูไล่ต้อนให้ไปทำงานต่อ สถานที่อันคึกคักเมื่อครู่จึงเหลือคนเพียงไม่กี่คน
เด็กทั้งสองรู้ว่ามารดากำลังโกรธก็วิ่งไปกอดขาคนละข้าง
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ใช้ใบหน้าเล็ก ๆ ถูไถมารดา และปลอบด้วยน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ “ท่านแม่ อย่าโกรธเลยนะ รอให้ลูกโตกว่านี้อีกหน่อย ลูกก็จะช่วยท่านแม่ทุบตีคนไม่ดีได้แล้ว!”
ขณะกล่าว เด็กน้อยยังกวัดแกว่งกำปั้นน้อยของนางด้วยท่าทางดุดันแบบเด็กน้อย
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์จับมือเฉียวเยี่ยนเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย แล้วตบเบา ๆ “ท่านแม่ฟังลูก อย่าโกรธไปเลย มันไม่คุ้ม”
แม้แต่ระบบตัวน้อยในทะเลจิตสำนึกที่ไปหาพัดมาจากที่ไหนไม่รู้ก็สะบัดมืออวบอ้วนของตัวเองโบกปัดพัดวีให้เฉียวเยี่ยน
[ท่านโฮสต์อย่าโกรธไปเลย หากท่านโกรธ ข้าก็จำต้องเปิดแอร์แล้ว!]
เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขันกับเด็กน้อยทั้งสามจนอยากจะหัวเราะออกมา นางก้มตัวลงกอดลูกทั้งสอง และหอมคนละฟอด “ตกลง แม่ฟังพวกลูก แม่ไม่โกรธแล้ว ไป ๆ กลับกันเถิด แม่จะกลับไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเจ้ากิน”
ฮุ่ยเซียงยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยดวงตาแดงก่ำ พลางเม้มริมฝีปาก “หวางเฟย บ่าวขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าว ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว”
นางยังไม่ทันได้กล่าวจบ น้ำตาเป็นเม็ดก็หยดลงมา นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้านายปกป้องนางเช่นนี้ ต่อไปนางต้องติดตามหวางเฟยให้ดี ๆ !
สิ่งที่เฉียวเยี่ยนกลัวมากที่สุดคือการที่สาวน้อยบอบบางเหล่านี้ร้องไห้ออกมา นางโบกมือแล้วกล่าวว่า “พอแล้ว หยุดร้องไห้ ข้าสั่งสอนนางหาใช่เพราะเจ้าทั้งหมดเสียทีเดียว นางขัดหูขัดตาข้ามานานแล้ว และเจ้าก็ส่งเหตุผลมาให้ข้าพอดี”
นางไม่ชินกับการเรียกตัวเองว่าเปิ่นเฟย ดังนั้นในยามมีคนมาก นางก็นำมาใช้เสแสร้ง แต่ยามคนน้อย นางก็ทำตัวตามสบาย
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ฮุ่ยเซียงก็ซาบซึ้งใจมาก ทำความเคารพเฉียวเยี่ยนหลายต่อหลายครั้ง แทบจะคุกเข่าหัวแตะพื้น
หลังจากเฉียวเยี่ยนไล่ฮุ่ยเซียงไปจับตามองข้ารับใช้ทำงาน นางก็จูงมือลูกทั้งสองกลับเข้าเรือน
……
ยามโหย่ว ครั้นมู่ฉินเจินกลับมาจากค่ายทหารก็ตรงไปยังเรือนจิ่งเสวียน
เหล่าองครักษ์ของอ๋องซู่ต่างค้นพบว่าท่านอ๋องเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนแทบอยากจัดการงานราชการมากกว่านี้ บางครั้งก็ยังกรำงานใต้แสงเทียนจนดึกดื่น แต่ตอนนี้พอถึงเวลาเลิกงานก็ตรงกลับตำหนักทันที งานราชการที่ยังจัดการไม่เสร็จก็นำกลับมาด้วย
นี่คือบุรุษที่แต่งงานเป็นพ่อคนแล้ว? โปรดอภัยให้คนโสดอย่างพวกเขาที่ไม่เข้าใจด้วย!
มู่ฉินเจินโยนงานราชการที่พกกลับมาด้วยให้เกาจัวหยวน ทั้งยังไม่นั่งบนเกี้ยว แต่พลิกตัวขึ้นหลังม้าและควบม้าออกไป
เหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังต่างมองหน้ากัน ไม่รู้เลยว่าท่านอ๋องจะมีช่วงรีบร้อนเช่นนี้ด้วย!
มู่ฉินเจินที่ควบขี่ม้าไม่ได้รับรู้ความคิดของเหล่าองครักษ์ เขาคิดเพียงแค่อยากกลับบ้านไปอยู่กับลูก ๆ เท่านั้น
แน่นอนว่ากลับไปกินข้าวที่บ้านด้วย แล้วก็…แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนกับหญิงคนนั้นด้วย
ท่านอ๋องผู้เย่อหยิ่งไม่ยอมรับเสียแล้วว่าเขาชอบเห็นเฉียวเยี่ยนเดินรอบเตาไฟ เตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้เขากับลูก ๆ และกินข้าวกันอย่างมีความสุขสี่คนพ่อแม่ลูก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อร่อยไหมล่ะอวิ๋นเซียง รสชาติปุ๋ยคอกกับพลังฝ่ามือของหวางเฟยอะ
มีคนกำลังจะกลายร่างเป็นไอ้โบ้หนึ่งอัตราล่ะค่ะท่านผู้ชมมม หูทิพย์หางทิพย์กระดิกเชียว ยังไม่ทันจะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงเลยก็เตรียมหอนแล้ว
ไหหม่า(海馬)
Comments