ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 259 คำว่าเจ้าโง่มันคือคำชมต่างหาก

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 259 คำว่าเจ้าโง่มันคือคำชมต่างหาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 259 คำว่าเจ้าโง่มันคือคำชมต่างหาก

ตอนที่ 259 คำว่าเจ้าโง่มันคือคำชมต่างหาก

เฉียวเยี่ยนพาฮุ่ยเซียงเดินไปรอบๆ สวนป่าท้อ เพื่อตรวจสอบสภาพต้นท้อโดยคร่าวๆ จากนั้นก็มอบหมายงานเด็ดดอกไม้ให้พวกคนงาน

นางทำงานมาตลอดบ่าย ก่อนกลับไปที่กองมูลไก่ ดูความคืบหน้าการขุดมูลไก่ของพวกนางรำ

เวลาเพียงบ่ายสั้นๆ เหล่าสาวงามที่สง่างามเฉิดฉายยามมาถึงนี่ ในยามนี้กลับมีสภาพยับเยินและมีกลิ่นเหม็นหึ่งติดตัว

บางคนขุดมูลไก่ขึ้นมาก็เอาแต่อาเจียน น้ำตานองหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียใจหรือมึนเมากับกลิ่นมูลไก่กันแน่

เมื่อเห็นเฉียวเยี่ยน แม้แววตาของพวกนางจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง กระนั้นตอนนี้ก็ไม่กล้าจะเอ่ยอะไรกลับไป เพราะชายชั่วเหล่านี้ได้สอนวิธีเป็นคนให้พวกนางแล้ว

พวกนางเคยคิดจะแสร้งทำเป็นน่าสงสารขอความเมตตา ทว่าชายเหล่านี้ไม่หลงกลพวกนางแต่อย่างใด หากริอาจไม่ทำงาน พวกเขาก็จะโยนพวกนางลงไปในกองมูลไก่

เฉียวเยี่ยนมองกองมูลไก่ที่เพิ่งขุดมุมหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไร้ความปราณี “ด้วยความเร็วของพวกเจ้า ขุดอีกสองเดือนก็ขุดไม่เสร็จหรอก ดูเหมือนพวกเจ้าจะชอบงานนี้มาก เช่นนั้นก็แบ่งๆ กันขุดนะ”

พวกนางรำร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางสูดน้ำมูกและเอ่ยอ้อนวอน “หวางเฟย พวกเราผิดไปแล้ว ได้โปรดจัดงานอย่างอื่นให้พวกเราทำเถิด”

ตอนนี้พวกนางไม่กล้าคาดหวังที่จะกลับไปตำหนักอ๋องซู่แล้ว ด้วยวิธีการของเฉียวเยี่ยน พวกนางจะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าใดก็ยังไม่รู้

เฉียวเยี่ยนตีหน้าขรึมสอนอย่างจริงจัง “จะเปลี่ยนไปทำงานอื่นได้อย่างไร? เป็นเพราะเปิ่นเฟยให้ความสำคัญกับพวกเจ้ามาก ถึงได้จัดหางานที่สำคัญที่สุดนี้ให้กับพวกเจ้า”

“รู้ไหมว่าผักเติบโตมาอย่างไร? ต้องใส่ปุ๋ยนะสิ มูลไก่เหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่า ให้สารอาหารสำหรับต้นกล้าผัก ดังนั้นสิ่งที่เปิ่นเฟยให้พวกเจ้าขุดก็คือสมบัติล้ำค่า”

นางรำ “…”

สมบัติล้ำค่าเช่นนี้พวกนางไม่อยากได้!

ไม่ว่าพวกนางรำจะขอร้องอย่างไร งานขุดมูลไก่ก็ไม่สั่นคลอน

กลิ่นหอมของดอกท้อโชยไปทั่วสารทิศ ทว่าพวกนางกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย มีแต่กลิ่นมูลไก่ฉุนรุนแรงโชยเข้าจมูก

กลิ่นที่ ‘อบอวลไปทั่วจิตใจ’ นั้น ได้ทิ้งรอยประทับอันล้ำลึกไว้ในหัวพวกนาง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อหวนนึกถึงก็ยังคงเป็นความทรงจำสดใหม่เช่นเดิม

……

สวนป่าท้อไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรมาก เฉียวเยี่ยนอยู่เพียงสองวันก็รีบกลับเมืองหลวง

ระหว่างทางกลับเมืองหลวง ล้วนมีแต่หญ้าเขียวชอุ่มคู่กับนกกระจ้อยบิน รอบทิศล้วนเป็นหญ้าป่าดอกไม้ป่า เห็นแล้วรู้สึกเปรมปรีดิ์มาก

เฉียวเยี่ยนอยากเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิอันยอดเยี่ยมนี้ จึงไม่ได้นั่งในรถม้า แต่ค่อยๆ ควบม้าไปอย่างเชื่องช้า

เมื่อเดินทางไปได้ครึ่งทาง พลันมีชายชุดดำปิดหน้าสิบกว่าคนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ในมือพวกเขาถือดาบยาว และพุ่งเข้าหาเฉียวเยี่ยนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

องครักษ์สามคนที่ติดตามมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รีบปกป้องเฉียวเยี่ยนทันที และตรงเข้าเข่นฆ่ากับพวกชายชุดดำ

เฉียวเยี่ยนถีบชายชุดดำคนหนึ่งที่จะเข้ามาใกล้นาง และแย่งดาบในมือเขามา ก่อนเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย

นางกวาดตามองสถานการณ์โดยรวม พลันเจอคนคุ้นเคยด้วยสายตาอันเฉียบคม และเข้าใจได้ทันทีว่าใครอยู่เบื้องหลัง

แม้พวกคนชายชุดดำเหล่านี้จะถือดาบอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องการฟาดฟันนางให้บาดเจ็บ เพียงต้องการจับเป็นนาง

นางสั่งองครักษ์ทั้งสามคน “ทำให้พวกเขาล้มก็พอ อย่าเอาถึงชีวิต”

แม้องครักษ์ทั้งสามคนจะไม่เข้าใจ ทว่าก็ยังทำตามคำสั่ง

ฮุ่ยเซียงนั่งอยู่ในรถม้า ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก ก็ตกใจไม่กล้าออกไป แต่แง้มม่านรถแอบดู

ชายชุดดำคนหนึ่งพบว่ามีคนอยู่ในรถม้า จึงพุ่งเข้าไปพร้อมถือดาบไว้ ฮุ่ยเซียงเห็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก จึงคว้ากาน้ำชาที่อยู่ข้างมือมากอดไว้ในอ้อมแขน ในตอนที่ชายชุดดำคนนั้นแยกม่าน ก็ทุบไปที่หัวเขาอย่างรุนแรง

กาน้ำชากระแทกศีรษะเขาจนเกิดเสียงเปรื่องและแตกละเอียด น้ำชาราดเต็มศีรษะ และใบชายังคงห้อยอยู่บนใบหน้าของเขา

ขณะที่ชายคนนั้นมึนหัว ฮุ่ยเซียงก็เกิดความกล้าขึ้นมา แย่งดาบในมือเขา และปกป้องอยู่ข้างๆ รถม้า

ค่าเดินทางของหวางเฟยอยู่ในนั้น นางต้องปกป้องมัน!

ความสามารถของชายชุดดำกลุ่มนี้อยู่ในระดับปานกลาง แค่โดนองครักษ์กับหวางเฟยจัดการไปสองกระบวนท่าก็ล้มไม่เป็นท่า พวกเขานอนกรีดร้องอยู่บนพื้น มิอาจลุกขึ้นได้

ชายชุดดำรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่งเตรียมจะหลบหนีภายใต้การคุ้มกันของคนที่เหลือ องครักษ์สองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปในอากาศขวางทางของพวกเขาเอาไว้ ในขณะที่เฉียวเยี่ยนกับองครักษ์อีกคนขวางทางถอยของพวกเขาไว้

เมื่อถูกบีบอยู่ทั้งสองด้าน พวกคนชุดดำไม่มีทางล่าถอย จึงทำได้เพียงจ้องไปที่เฉียวเยี่ยนและคนอื่นๆ เขม็งพร้อมถือดาบในมือแน่น

เฉียวเยี่ยนโยนดาบในมือทิ้ง และเอ่ยหยอกล้อ “ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน องค์หญิงแห่งรัฐเยี่ยนกลับริอาจส่งขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ให้เปิ่นเฟย เปิ่นเฟยจะรับมาก็รู้สึกละอายแก่ใจนัก”

แววตาของชายชุดดำร่างผอมเพรียวที่ถูกปกป้องอยู่ด้านหลังสั้นระริก ก่อนดึงผ้าปิดหน้าลงไม่ปิดบังแล้ว

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเปิ่นกงจู่?”

เฉียวเยี่ยนวาดยิ้มขึ้น “จะอะไรอีก แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้าโง่ไง!”

เจียงอวี่เฉียนฉุนเฉียวอย่างมาก พลางตะโกนพร้อมกระทืบเท้า “เจ้าด่าเปิ่นกงจู่โง่หรือ!”

เฉียวเยี่ยนไม่สนใจเสียงคำรามของนาง และเอ่ยเหน็บแหนมต่อ “คำว่าเจ้าโง่เป็นการชมเจ้าต่างหาก รู้หรือไม่ว่าเหตุใดทำเรื่องไม่ดีแล้วต้องปกปิดใบหน้า? เพราะมันเอาไว้ปกปิดลักษณะพิเศษที่ชัดเจนที่สุดของตัวเอง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้”

“แต่ลักษณะพิเศษที่เห็นได้ชัดบนใบหน้าเจ้าคงไม่พ้นไฝตรงปลายตากับมุมตา เจ้าปิดปากปิดจมูกมันจะมีประโยชน์อะไร ขอแนะนำนะ ครั้งหน้าอยากจะแสดงละครเช่นนี้อีก ทางที่ดีสวมหน้ากากปิดตามาดีกว่า ”

ฮุ่ยเซียงกับองครักษ์สามคนได้ยินหวางเฟยด่าคนอื่น ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ ทำให้เจียงอวี่เฉียนยิ่งโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“พูดมา องค์หญิงเจียง ปล่อยเจ้ากลับรัฐเยี่ยนไปดีๆ ไม่กลับ แต่วิ่งแจ้นมาขวางทางเปิ่นเฟยทำไม?”

เฉียวเยี่ยนเอามือกอดอก และรอนางตอบอย่างใจจดใจจ่อ

เจียงอวี่เฉียนเชิดหน้าขึ้น และตะเบ็งคอกล่าว “เจ้าฉีกหน้าเปิ่นกงจู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนั้น เปิ่นกงจู่จะไม่มาแก้แค้นหรือไร?”

“นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าพูดโดยไม่คิดหรอกหรือ อีกอย่าง แม้แต่ลูกทั้งสองของข้ายังสู้ไม่ได้ เจ้ายังกล้ามาแก้แค้นอีก?”

เฉียวเยี่ยนโต้กลับอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้เจียงอวี่เฉียนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แม้มันจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ควรไว้หน้านางหน่อยหรือ?

นางตะเบ็งคอร้องขึ้นอีกครั้ง “แล้วเจ้าจะทำไม? คนของข้าถูกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บแล้ว ถือว่าเราเลิกแล้วต่อกัน!”

นางพูดจบ ก็คิดจะพาคนเดินวางมาดจากไป ทว่ากลับถูกเฉียวเยี่ยนเรียกรั้งไว้

“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกเลิกแล้วต่อกัน แต่เปิ่นเฟยไม่ได้บอก”

“อย่างแรก เจ้ารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ในการเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิของเปิ่นเฟย ต้องชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจ ประการที่สองข้าเสียแรงไปมากในการต่อสู้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ดังนั้นต้องชดใช้แรงงาน จากนั้นก็ต้องชดใช้ค่ากาน้ำชาที่สาวใช้ของข้าใช้ปกป้องตัวเองด้วย มันเป็นสมบัติส้ำค่าที่มีแค่ชิ้นเดียวในโลก ทั้งยังเป็นของรางวัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ จะมีค่าแค่หนึ่งพันตำลึงได้อย่างไร”

“ยังมีอีก ค่าออกโรง ค่าใช้แรงงานขององครักษ์ เราก็ควรคิดด้วยหรือเปล่า? จริงสิ ลูกม้าที่รักของข้ายังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ ค่าเสียหายทางด้านจิตใจก็ต้องคิดไปด้วย…”

เฉียวเยี่ยนคำนวณค่าใช้จ่ายที่อีกฝ่ายควรจ่ายให้นางทีละข้อ พวกเจียงอวี่เฉียนแข็งทื่อเป็นหินอยู่กับที่ นี่คือการข่มขู่กรรโชกทรัพย์แบบในข่าวลือรึ?

ฮุ่ยเซียงฟังหวางเฟยพล่ามไร้สาระพลางนิ่งอิ้ง หากไม่ใช่เพราะนางซื้อกาน้ำชาเครื่องเคลือบธรรมดาๆ นั้นมาเอง นางคงเชื่อคำพูดมั่วซั่วของนางไปแล้ว

เจียงอวี่เฉียนรู้สึกหดหู่อยู่ในใจด้วยความโมโห หญิงคนนี้ช่างร้ายจริงๆ !

นางกำหมัดแน่น พลางคลายออกอย่างดุดัน ช่างเถิด ใครให้นางสู้อีกฝ่ายไม่ได้กันล่ะ

คราวนี้นางอยากมัดอีกฝ่าย แล้วหาคนสักสองสามคนมาข่มขู่ เพื่อล้างแค้นและทำให้อีกฝ่ายอับอายต่อหน้าคนอื่นเหลือเกิน

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ฟังแล้วจุกเลยไหมคะ ค่าเสียหายอย่างโหด เจอซู่หวางเฟยเล่นงานแล้วไหมล่ะองค์หญิง

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด