ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 266 ชดใช้เงิน ขู่กรรโชก
ตอนที่ 266 ชดใช้เงิน ขู่กรรโชก
ตอนที่ 266 ชดใช้เงิน ขู่กรรโชก
“หลีกไป! ทางการจะดำเนินคดี พวกคนธรรมดาถอยไป!”
จิงจ้าวฝูอิ่น* พากลุ่มคนเข้าไปในร้าน และทลายกลุ่มฝูงชนที่ดูความสนุกให้แยกย้ายกันออกไป
(*京兆府尹เทียบได้ตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร)
คนธรรมดาหัวลีบล้วนกลัวทางการ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ก็รีบเผ่นแนบทันที แต่ยังดูความสนุกไม่หนำใจพอ จึงกลับไปคุยโวเรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในภัตตาคาร
ประเดี๋ยวเดียว ข่าวคนตายในหอหวาอวิ้นก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงทันที
ภัตตาคารถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อม ในฐานะที่เฉียวเยี่ยนเป็นเจ้าของ จึงจำเป็นต้องอยู่ในที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบ
ผู้ติดตามเจ้าหน้าที่มายังมีขุนนางชันสูตร หลังจากล้อมที่เกิดเหตุแล้ว ขุนนางชันสูตรก็หยิบเครื่องมือออกมาชันสูตรศพทันที
เขาเริ่มตรวจสอบอาหารเหลือบนโต๊ะก่อน และไม่พบว่ามีพิษอะไร จากนั้นก็วิเคราะห์ร่างกายของหวังจง
เข็มเงินถูกเสียบเข้าไปในลำคอ เมื่อดึงออกมา ปลายเข็มดำคล้ำเล็กน้อย จิงจ้าวฝูอิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างเบิกตากว้างและอุทานด้วยความตกใจ”มีพิษจริงๆ ด้วย!”
ทุกคนที่ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุมองไปที่เฉียวเยี่ยน ทั้งประหลาดใจทั้งสงสัย
เฉียวเยี่ยนไม่เปลี่ยนสีหน้า ปล่อยให้พวกเขามองไป และพูดอย่างใจเย็น “อาหารในร้านไม่มียาพิษ แม้จะพบพิษบนตัวเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าร้านเป็นคนวางยา บางทีเขาอาจถูกวางยาก่อนมารับประทานอาหารในร้านก็ได้?”
จิงจ้าวฝูอิ่นลูบเคราตัวเอง พลางพยักหน้า คิดว่าสิ่งที่นางพูดดูสมเหตุสมผล ก่อนหันไปมองขุนนางชันสูตรที่ยังชันสูตรศพอยู่
ขุนนางชันสูตรตรวจสอบร่างกายของหวังจงตั้งแต่บนลงล่าง ก็พบว่ามีพิษจำนวนเล็กน้อยอยู่ทุกส่วนของร่างกายของเขา เข็มสีเงินเป็นสีดำอ่อนๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่ามีพิษเล็กน้อย ทว่าปริมาณพิษน้อยนิดนี้ไม่เพียงพอที่จะฆ่าเขา
ผู้ที่เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ภายนอกศพจะไม่มีลักษณะที่ชัดเจน แค่ตรวจสอบเพียงภายนอกเช่นนี้ คงไม่พบอะไรมาก
หลังการขุนนางชันสูตรตรวจสอบเสร็จ ก็รายงานผลที่ได้ต่อจิงจ้าวฝูอิ่น “ใต้เท้า หลังจากตรวจสอบ ทั่วร่างของผู้ตายมีปริมาณสารพิษเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นพิษปานกลางที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ ด้วยปริมาณในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เสียชีวิตได้ สาเหตุการตายที่แท้จริงยังไม่ทราบ จำต้องดำเนินการผ่าชันสูตรศพ”
เมื่อจิงจ้าวฝูอิ่นได้ยินเช่นนี้ ก็วางมือที่ลูบหนวดเคราลง และขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมา
หากเป็นคนธรรมดา การผ่าชันสูตรศพไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าผู้ตายเป็นขุนนางขั้นห้าของราชสำนัก จำต้องฟังความเห็นของคนในครอบครัวเขา
ผลลัพน์นี้เฉียวเยี่ยนคาดเดาไว้นานแล้ว คนสมัยก่อนให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องความตาย ให้ความสำคัญกับคนที่ต้องถูกฝังอยู่ในดินทั้งร่างและเงา ยิ่งเป็นครอบครัวขุนนาง ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับพิธีกรรมเหล่านี้
ขุนนางขั้นห้าเป็นฐานะไม่สูงไม่ต่ำ ครอบครัวของหวังจงต้องไม่เห็นด้วยกับการผ่าชันสูตรศพเป็นแน่
ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน นอกภัตตาคารก็มีกลุ่มคนเข้ามา และประกาศตัวเองว่าเป็นครอบครัวของหวังจง
หลังจากสตรีในวัยราวๆ สี่สิบพุ่งข้าไปในร้าน และจ้องมองร่างไร้วิญญาณของหวังจงอย่างนิ่งค้างเนิ่นนาน เมื่อรู้สึกตัวกลับมา หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมาจากหางตาทีละหยด
นางนั่งแน่นิ่งอยู่ข้างศพ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ และไม่ร้องไห้ฟูมฟาย เพียงแค่หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ เช่นนี้
สตรีผู้นี้คือฮูหยินบ้านหลักของหวังจง ครั้นเห็นนางเศร้าสร้อยอาดูรเช่นนี้ จิงจ้าวฝูอิ่นจึงไม่ได้ไล่นางออกไป และทำเพียงแค่เอ่ยปลอบอย่างซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง “คนตายได้จากไปแล้ว ฮูหยินหวังอย่าได้เศร้าไปเลย”
ฮูหยินหวังไม่ได้ตอบกลับ นางวางมือบนหน้าอกหวังจง ขย้ำเสื้อบนหน้าอกเขาแน่น ร่ำร้องจนร่างกายสั่นโยก ทว่ายังคงไม่ส่งเสียงออกมาสักนิด
เทียบกับการร้องไห้ฟูมฟายใหญ่โตแล้ว นางหลั่งน้ำตาโดยไม่ส่งเสียงออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนรอบๆ ประทับใจ
เฉียวเยี่ยนจ้องมองนาง และรู้สึกว่าอารมณ์ของนางแปลกไปเล็กน้อย
เหมือนจะเศร้าโศกสุดซึ้ง ทว่าก็เหมือนหลุดพ้นและทำเรื่องใหญ่สำเร็จในที่สุด
คนที่ตามนางเข้ามายังมีบ่าวสาวรับใช้สองสามคน พวกบ่าวสาวรับใช้ต่างก็คุกเข่าอยู่ด้านข้าง และก้มหน้าเช็ดน้ำตา
ไม่นานก็มีคนมาจากด้านนอกอีกสองสามคน ทว่าครั้งนี้ไม่เศร้าโศกขมขื่นเหมือนกับฮูหยินหวัง ห่างไประยะหนึ่งก็สามารถยินเสียงร่ำไห้คร่ำครวญได้
หญิงชราผมขาวคนหนึ่งเดินโซเซเข้ามาในร้านด้วยการพยุงของสาวรับใช้
“ลูกชายข้า นี่เจ้าเป็นอะไรไป? เจ้าจากไปแล้ว แม่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร?”
“ลูกชายข้า…”
หญิงชราอายุประมาณห้าหกสิบ ร่างกายงุ้มงอ ทว่าเสียงนั้นกลับไม่เบาเลย
เสียงร้องไห้ที่ทั้งทรงพลังทั้งแหบแห้งนั้น ทำให้ผู้คนโดยรอบแสบหูมาก
หญิงชราร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก็พุ่งไปทางเฉียวเยี่ยนราวกับบ้าคลั่ง พลางชี้หน้าก่นด่าสาปแช่ง
“เจ้านังหญิงชั่ว เป็นเจ้าที่วางยาให้ลูกข้าตาย เจ้าดเชยเงินมาให้ข้า! หากเรื่องนี้คลี่คลายได้ไม่ดี ใครก็อย่าได้คิดจะสงบสุขเลย! ”
วินาทีที่นางพุ่งเข้ามา เฉียวเยี่ยนก็เคลื่อนตัวหลบอย่างคล่องแคล่วว่องไว ให้นางโถมใส่อากาศ จากนั้นก็มีบริกรกับทหารในร้านมาปกป้องอยู่ด้านหน้านาง
จิงจ้าวฝูอิ่นรีบขวางหญิงชราไว้ ก่อนเอ่ยโน้มน้าวอย่างร้อนรน “ฮูหยินเฒ่าอย่าเพิ่งวู่วาม เรื่องจริงเท็จอย่างไรยังไม่ได้ตรอบสอบ…”
ทว่าหญิงชราไม่รอให้เขาได้พูดจบก็เอ่ยขัดคำพูดเขาอย่างอุกอาจ “ถุย! ลูกชายข้าออกบ้านมายังดีๆ อยู่เลย เพราะมากินอาหารร้านโกโรโกโสแห่งนี้ถึงได้เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่พวกเขาทำแล้วจะเป็นใครอีก?”
เฉียวเยี่ยนมองใบหน้าหญิงชราแล้วก็นึกยิ้มเยาะ ลูกตัวเองเพิ่งตาย ศพยังไม่ทันเย็น ก็คิดจะมาขู่กรรโชกเอาเงินแล้ว!
นางกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าวกินมั่วๆ ได้ แต่คำพูดไม่ควรพูดส่งเดช”
“เหมือนกับขุนนางชันสูตรที่เพิ่งอธิบายเมื่อครู่ อาหารเหล้าในภัตตาคารเปิ่นเฟยไม่มีพิษ และเหตุที่ใต้เท้าหวังตายตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจน ท่านร้อนรนให้เปิ่นเฟยรับโทษเช่นนี้ มันไม่ดูไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ?”
หญิงชราพูดไม่ออก และนั่งนิ่งอยู่ข้างศพหวังจงด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ร้องไห้พลางตบมือ “ลูกเอ๋ย! เจ้าจากไปได้ไม่นานก็มีคนมารังแกแม่ของเจ้าแล้ว พวกเชื้อพระวงศ์เหล่านี้อาศัยฐานะตำแหน่งของตัวเอง ไม่มองคนเป็นคนแล้ว!”
หญิงชราร้องไห้เสียงดังอู้อี้ น้ำมูกน้ำตาไหลนองหน้า ดูแล้วแสบตาเสียดหูจริงๆ
จิงจ้าวฝูอิ่นรำคาญจนทนแทบไม่ไหว แต่หญิงชราคนนี้เป็นครอบครัวคนตาย เขามิอาจให้คนไล่ออกไปได้
แม้จะบอกว่าตอนนี้ซู่หวางเฟยยังไม่ได้พ้นข้อกล่าวหา แต่นางก็รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง อีกทั้งสถานะตำแหน่งของนางนั้น ต่อให้ทำผิดอะไรจริง ก็ไม่ถึงกับต้องให้พวกเขาต้องมาชี้หน้าด่าหรอก
ระบบตัวน้อยก็โมโหหญิงชราผู้นี้มาก กำปั้นน้อยน่ารักนั้นกำจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ นี่มันแกล้งหลอกไถเงินท่านโฮสต์ของนางชัดๆ !
ความอดทนของเฉียวเยี่ยนถูกหญิงชราผู้นี้ทำลายหายไปหมด นางกัดฟัน พลางตะคอกเสียงดังขึ้นมา “หุบปาก! ว่ามา เจ้าอยากให้เปิ่นเฟยชดใช้เท่าไหร่?”
หญิงชราตกใจกับรังสีทรงพลังบนตัวนางจนหยุดร้องไห้ ครั้นได้ยินนางจะชดใช้เป็นเงิน ในตาขุ่นมัวก็ทอแววเปล่งประกาย ก่อนยื่นมือออกมาห้านิ้ว
“ห้าหมื่นตำลึงทอง! หากน้อยกว่าตัวเลขนี้ ก็อย่าคิดจะคลี่คลายเรื่องนี้เลย!”
เฮือก!
ผู้คนรอบๆ ต่างตกใจ หญิงชราคนนี้กล้าเรียกร้องจริงๆ หรือ?
ไม่ต้องเอ่ยถึงลูกชายที่เป็นขุนนางขั้นห้าของนางเลย ต่อให้เป็นขุนนางชั้นใหญ่ขั้นสามในราชสำนัก ก็อาจจะไม่คุ้มกับราคานี้
ในเวลานี้พวกเขาเองก็คิดว่าหญิงชราผู้นี้เย็นชาใจร้ายขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะร้องไห้อย่างน่าสงสาร กระนั้นก็เอ่ยถึงแต่การชดใช้เงิน ไม่คิดจะสืบหาสาเหตุการตายของลูกชายตัวเองก่อนเลย
พวกเขามองไปที่เฉียวเยี่ยน ในแววตามีความเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย หากนางเป็นผู้บริสุทธิ์ และเกิดเรื่องยุ่งเหยิงเช่นนี้กับนาง มันคงเป็นโชคร้ายจริงๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โอ้โห นังแก่ คิดว่าตัวเองเป็นไทเฮาเหรอถึงกล้าเรียกร้องค่าเสียหายขนาดนี้จากเสี่ยวเยี่ยน ตบกระบาลแก่ ๆ สั่งสอนมันหน่อยค่ะ อย่าให้มันคิดปีนหัวเชื้อพระวงศ์ได้
ถ้าให้เดาเอาแบบใจร้ายหน่อยน่ะนะ เป็นแกนั่นแหละที่วางยาลูกชายตัวเอง
ไหหม่า(海馬)
Comments