ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 27 น่าอิจฉา (รีไรท์)

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 27 น่าอิจฉา (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 27 น่าอิจฉา (รีไรท์)

ตอนที่ 27 น่าอิจฉา (รีไรท์)

มู่ฉินเจินจุดไฟอย่างรวดเร็ว เฉียวเยี่ยนเช็ดไอน้ำในหม้อออก เทน้ำมันร้อน ๆ ใส่ต้นหอม ขิง และกระเทียมลงไปผัดจนหอม จากนั้นก็ใส่เนื้อบดละเอียดที่เตรียมไว้ลงไป รอจวบจนเนื้อสุกก็ใส่โต้วป้านเจี้ยง[1]เพิ่มลงไปหนึ่งช้อน

หลังจากผัดเนื้อบดละเอียดเสร็จแล้ว นางก็ทอดไข่ดาวอีกหนึ่งฟอง และเวลานี้น้ำในหม้อที่ตั้งไฟอยู่ก็เดือดแล้ว นางจึงใส่เส้นบะหมี่ลงไป

บะหมี่นี้พ่อครัวในครัวใหญ่ทำขึ้นมา มันคล้ายกับบะหมี่ทำมือในสมัยปัจจุบัน ซึ่งในยุคนี้ยังไม่มีบะหมี่แห้ง

หลังจากลวกเส้นบะหมี่ได้พอประมาณแล้ว ก็ลวกใบผักกาดสองสามใบ เท่านี้บะหมี่ลวกหนึ่งชามก็ได้มาแล้ว

จากนั้นก็นำบะหมี่ออกจากหม้อ ตักเนื้อบดละเอียดใส่หนึ่งช้อน วางไข่ดาวลงไป สุดท้ายก็โรยด้วยต้นหอมสับเป็นอันเสร็จสิ้น

มู่ฉินเจินไม่รอให้เฉียวเยี่ยนลงมือทำ เขาก็ยกบะหมี่มาวางบนโต๊ะข้าง ๆ แล้วเริ่มรับประทาน

บะหมี่ธรรมดาชามหนึ่ง แต่เฉียวเยี่ยนกลับปรุงออกมาได้อร่อยกว่าพ่อครัวคนอื่น ๆ จนมู่ฉินเจินยังคิดว่ามันอร่อยกว่าอาหารในวังที่เขากินเมื่อก่อนเสียอีก

ความเร็วในการกินของบุรุษไม่ช้า แต่การเคลื่อนไหวกลับดูสูงส่งสง่างาม เจริญหูเจริญตาอย่างยิ่ง

เฉียวเยี่ยนนั่งมองเขากินข้าวอยู่ข้าง ๆ และอดเหม่อลอยไม่ได้ ทว่าเสียงเด็กเล็กที่อยู่ในหัวดังขึ้นมาทำลายจินตนาการของนางไปเสียก่อน

[ท่านโฮสต์ นั่นคือผู้ชายของท่าน กล้า ๆ หน่อย มองอย่างซื่อตรงเปิดเผยไปเลย!]

เฉียวเยี่ยนกลอกตาโดยไม่รู้ตัว เวลานี้นางอยากทุบศีรษะเล็ก ๆ ของเจ้าก้อนแป้งแรง ๆ และเปิดกระโหลกออกมาดูเสียจริงว่าเจ้าเด็กซนคนนี้วัน ๆ คิดอะไรอยู่

……

ยามลมหนาวพัดมาต้องอากาศอุ่นก็ก่อให้เกิดเป็นฝน เมื่อวานเพิ่งปลูกหัวไชเท้าไป วันนี้ฝนก็ตกลงมาเสียแล้ว

เฉียวเยี่ยนนั่งมองสายฝนโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่างอย่างอารมณ์ดี ดูท่าว่าหัวไชเท้าของนางต้องหัวใหญ่และหวานมากแน่

วันนี้มู่ฉินเจินหยุดพักงาน ไม่ได้ไปที่ค่ายทหาร แต่อ่านหนังสือเป็นเพื่อนลูกทั้งสองอยู่ในห้องหนังสือ เฉียวเยี่ยนจึงไปที่โกดังในลานทางทิศตะวันตกเพื่อตัดแต่งต้นกล้ามันเทศที่นางเพาะไว้

มู่ฉินเจินเตรียมรายงานมันเทศต่อราชสำนักตามที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ นางจึงจำต้องเตรียมนำเสนอต้นกล้าและวิธีการปลูก

ช่วงนี้นางได้ร่างแผนการเพาะปลูกคร่าว ๆ ส่งให้มู่ฉินเจินไปหาคนคัดลอกทำเป็นเล่ม และสร้างโรงเพาะกล้าเรียบง่ายในลานบ้านทางทิศตะวันตกขึ้นมา

เวลาเหมาะสมที่สุดในการปลูกมันเทศคือเดือนสี่ ซึ่งตอนนี้ยังเร็วไปที่จะเพาะต้นกล้า แต่มู่ฉินเจินบอกว่าพืชที่จะรายงานต่อราชสำนักไม่เพียงต้องมีผลผลิตสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังต้องการต้นกล้าพืชที่สมบูรณ์แบบด้วย ดังนั้นเฉียวเยี่ยนจึงสร้างโรงเรือนเพาะต้นกล้าขึ้นมา

นางเลือกมันเทศหัวใหญ่สภาพดูดีมาเพาะต้นกล้า ซึ่งตอนนี้มันเทศใกล้จะงอกหน่ออ่อนออกมาแล้ว และยังดูอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ

หลังจากตรวจสอบต้นกล้ามันเทศในโรงเพาะต้นกล้าจนเสร็จสิ้น ลุงฉูก็พาคนมาหานาง บอกว่าต้องการนำสมุดบัญชีของตำหนักมาให้นางดู

นางตามลุงฉูเข้าไปในห้องหนังสือของมู่ฉินเจิน ครั้นเห็นสมุดบัญชีสองกองซ้อนกันบนโต๊ะก็รู้สึกเวียนศีรษะทันที

สามพ่อลูกเข้ากันได้อย่างมีความสุข เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ดูสมุดคัดลายมือที่มู่ฉินเจินเขียนให้เขาเองกับมืออย่างตั้งใจ ในขณะที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ จ้องหนังสือในมือมู่ฉินเจินอย่างจริงจัง ซึ่งไม่รู้ว่าดูเข้าใจบ้างหรือไม่

ลุงฉูเอ่ยด้วยความเคารพ “หวางเฟย พวกนี้คือสมุดบัญชีของตำหนักอ๋องในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในห้องบัญชียังเก็บสมุดบัญชีในช่วงปีก่อน ๆ ไว้อยู่ หากท่านต้องการใช้ สั่งข้าน้อยมาได้เลยขอรับ”

ดวงตาเฉียวเยี่ยนพร่ามัว ขนาดสมุดบัญชีในช่วงสองปีที่ผ่านมายังหนาขนาดนี้ แล้วนางจะมีเวลาไปดูของปีอื่น ๆ อีกหรือ?

หลังจากลุงฉูพูดจบก็ลาถอยออกจากห้องหนังสือไป เหลือเพียงครอบครัวสี่คนในห้องอันเงียบสงบ

ทันทีที่ลุงฉูจากไป เฉียวเยี่ยนคอตกทันที และเดินไปที่โต๊ะหนังสืออย่างจำนน จัดแจงท่าทางนั่งให้เรียบร้อย แล้วพลิกดูอย่างตั้งใจ

มู่ฉินเจินสังเกตเห็นท่าทางของนาง ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ มอบให้นักบัญชีทำก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง”

ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น จิตวิญญาณนักสู้ของเฉียวเยี่ยนก็พลุ่งพล่านทันที คนอย่างนาง ยิ่งมีคนห้ามว่าอย่าทำ นางยิ่งอยากทำ

“ไม่เอาน่า ใครจะไม่ชอบเงินกัน รีบเอาเงินท่านมาตอกหน้าข้าทีสิ”

มู่ฉินเจินขบขันกับคำพูดนาง พลางส่ายหน้าอย่างจนใจ และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

ครั้นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้ยินว่ามีเงิน ดวงตากลมโตหยาดน้ำพลันสว่างแวววาว

เงินอยู่ไหนรึ? ลูกอยากดูด้วย!

เด็กน้อยลุกออกจากอ้อมแขนพ่อ และเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแม่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านแม่ ลูกมาดูเงินกับท่านแม่แล้ว”

เฉียวเยี่ยนกอดเด็กน้อยไว้แน่น และหอมแก้มป่องยุ้ยของนาง “ได้สิจ๊ะ เรามาดูทรัพย์สินของท่านพ่อกัน”

ครั้นเปิดสมุดบัญชีเล่มหนึ่งดูอย่างถี่ถ้วน เฉียวเยี่ยนก็ตกใจจนผงะหงายหลัง นี่มันตอกหน้านางจริง ๆ ด้วย น่าอิจฉาชะมัด!

ไม่คิดเลยว่าโรงหมักสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงอย่างโรงหมักอวิ๋นหลายจะเป็นทรัพย์สินของเขา และในสมุดบัญชีเขียนไว้ว่ามีรายได้หลายพันตำลึงทุกวันด้วย!

และนี่เป็นเพียงแค่บัญชีโรงหมักสุราอย่างเดียวเท่านั้น!

หลังจากดูรายการบัญชีโรงหมักสุราเสร็จ นางก็ค้นพบโฉนดที่ดินอีกสองสามฉบับ ไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะมีหมู่บ้านเล็กใหญ่หลายสิบแห่งทั่วเมืองหลวง ซึ่งมีพื้นที่ทำกินทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าหมู่!

มิน่าล่ะ ตอนที่นางขอที่ดินพันหมู่ เขาถึงได้มีท่าทางเช่นนั้น!

ตอนนี้คิดดูแล้ว นางรู้สึกเสียดายจริง ๆ เสียดายที่ไม่ขูดรีดเขาให้มากกว่านี้!

แต่จะโทษนางก็ไม่ได้ การใช้ชีวิตในสังคมสมัยปัจจุบันทุกตารางนิ้วล้วนเป็นเงินเป็นทอง การมีที่ดินพันหมู่ถือว่ารวยเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว และนางก็คิดว่าที่ดินพันหมู่ก็เยอะมากแล้วด้วย

เฉียวเยี่ยนจ้องมู่ฉินเจินอย่างปวดใจ แอบด่าว่านายทุนผู้ชั่วร้ายอยู่ในใจ แล้วดูสมุดบัญชีด้วยสีหน้าคล้ายกับท้องผูก

มู่ฉินเจินถูกจ้องจนรู้สึกแปลก แต่เมื่อเห็นท่าทางตลกขบขันของนางก็อดรู้สึกดีไม่ได้

ดวงตาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ฉายแววมึนงง บอกว่ามาดูเงินมิใช้รึ? ไยจึงเป็นคำตัวสีดำ ๆ ล่ะ นี่หลอกเด็กอย่างนางหรือ?

ขณะที่คนตัวเล็กมอง ๆ อยู่นั้นก็เผลอหลับไป ปากเล็กเผยอเล็กน้อย จนเกือบจะกรนออกมา

หลังจากใช้เวลาไปครึ่งค่อนบ่าย เฉียวเยี่ยนดูสมุดบัญชีของตำหนักไปพอประมาณแล้ว และยิ่งดูก็ยิ่งขบฟันมากขึ้นเท่านั้น

ไยคนผู้นี้จึงแตกต่างจากผู้อื่นมากขนาดนี้?

นางรู้สึกพึงพอใจมากกับการปกป้องเงินหมื่นตำลึงของนาง แต่มู่ฉินเจินสามารถเอาชนะนางด้วยสมุดบัญชีเพียงเล่มเดียว!

ระบบปลาเค็มตัวน้อยจ้องทรัพย์สินของมู่ฉินเจินตาเป็นมัน หากนำมาแลกเป็นคะแนน นางสามารถซื้อกระโปรงและของว่างมากมายได้เลย!

แต่เฉียวเยี่ยนกลับพบบางอย่างเหมือนกันในบัญชีเหล่านี้ที่ทำให้นางสนใจ

มู่ฉินเจินเป็นเจ้าของภัตตาคาร มีชื่อว่าหอฮวาอวิ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง แต่ก็ยังห่างไกลจากหอจิ้นสุ่ยที่เป็นที่นิยมมากที่สุด

ซึ่งนางมีแผนจะเปิดภัตตาคารอยู่พอดี บางทีอาจจะปรับปรุงหอฮวาอวิ้นได้

ตกเย็น ครอบครัวเฉียวเยี่ยนสี่คนกำลังกินข้าว หวังกงกงคนของฮ่องเต้ก็มาถ่ายทอดคำพูดว่าฮองเฮาคิดถึงเด็กทั้งสองยิ่งนัก และให้เฉียวเยี่ยนพาเด็กทั้งสองไปพักอยู่ในวังสักสองสามวัน

เฉียวเยี่ยนตกลง ให้ฮุ่ยเซียงนำชามตะเกียบมาให้หวังกงกง และเชิญเขานั่งรับประทานข้าวด้วยกัน

หวังกงกงปฏิเสธทุกวิถีทาง แต่ด้วยความมีน้ำใจของเฉียวเยี่ยน เขาจึงนั่งลงรับประทานด้วย

ตั้งแต่เป็นขันทีมาจนถึงตอนนี้ ได้เห็นอุปสรรคมากมายทุกรูปแบบ เขาเคยร่วมรับประทานอาหารกับฝ่าบาทมาแล้ว ตอนนี้ยังได้ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันกับท่านอ๋องซู่และซู่หวางเฟยก็คงจะไม่เสียมารยาทมากเกินไป

เขามองมันเทศย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ และสงสัยว่าเหตุใดถึงวางก้อนดินขรุขระไว้บนโต๊ะ

เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางของเขาทั้งหมด จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังกงกงไม่ลองชิมดูล่ะ นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ข้าค้นพบโดยบังเอิญ”

หวังกงกงสงสัย หยิบมันเทศขึ้นมาหนึ่งหัว ไม่รู้จะเริ่มกัดตรงไหนก่อนดี

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ผู้กระตือรือร้นกระโดดลงมาจากโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ของตัวเอง ก้าวขาเล็กไปอยู่ข้าง ๆ หวังกงกง และยื่นมืออวบอ้วนไปช่วยเขาปอกเปลือก

“ท่านปู่ ข้าจะสอนท่านนะ แค่ปอกเปลือกออกแบบนี้ก็กินได้แล้ว!”

[1] โต้วป้านเจี้ยง เป็นซอสเผ็ดข้นตำรับเสฉวนที่หมักจากถั่วปากอ้า พริกไทยสด เกลือ แป้ง ฯลฯ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หู้วววว ทรัพย์สินท่านอ๋องเยอะมาก น่าขูดรีดให้หนัก ๆ เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *