ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 298 เลี้ยงปลาในนาข้าว
ตอนที่ 298 เลี้ยงปลาในนาข้าว
ตอนที่ 298 เลี้ยงปลาในนาข้าว
วิธีแปรรูปอาหารจานปลานั้นมีหลากหลายมาก นอกจากปลาทอดราดซอส ปลาทอดกรอบกับแกงส้มปลาแล้ว เฉียวเยี่ยนยังทำปลาเปรี้ยวหวาน ปลาผัดเถิงเจียว ปลาย่างรสเผ็ด แกงจืดเต้าหู้ปลา แม้แต่หัวปลาก็ไม่ให้สิ้นเปลือง ทำเป็นหัวปลาราดพริก
เมื่อมู่ฉินเจินกับพวกองครักษ์ที่ดำนาทั้งวันกลับมาได้กลิ่นหอมกรุ่นนี้ พวกเขาก็น้ำลายสอกันไม่หยุด ยามนี้รู้สึกเพียงว่าหิวมากจนแทบจะกินวัวทั้งตัวได้
โจวผิงฟานเองก็ลูบพุงพลุ้ยเพื่อปลอบประโลมความกระหายอยากที่ปั่นป่วนในท้อง หอมยิ่งนัก หญิงสาวที่มีฝีมือทำอาหารเยี่ยมยอดขนาดนี้กลับแต่งงานกับมู่ฉินเจินเจ้าคนหน้าตาย ช่างรู้สึกว่าน่าเสียดายเล็กน้อย
มู่ฉินเจินในเวลานี้อารมณ์ดีมาก ในที่สุดก็เอาคืนต่อหน้าโจวผิงฟานได้อีกครั้ง อิจฉาล่ะสิ ภรรยาเก่งขนาดนี้มีแค่คนเดียว และเป็นของเขาด้วย!
โจวผิงฟานเพิกเฉยต่อสายตายั่วยุและภาคภูมิใจของเขา ก่อนรีบไปล้างมือ
เมื่อมีอาหารอร่อยวางอยู่ตรงหน้า ก็ทิ้งความคับข้องใจส่วนตัวกับพี่น้องไว้ก่อน รอเขากินอิ่มแล้วค่อยรบใหม่!
อาหารจานใหญ่สองสามอย่างวางอยู่บนโต๊ะ หลังจากทำงานมาทั้งวัน ทุกคนต่างก็สวาปามกันอย่างหิวโหย มีแค่กิริยาการกินอย่างเรียบร้อยของมู่ฉินเจินเท่านั้นที่ยังพอดูได้หน่อย
ปลาทอดกรอบดังกรุบกรับอยู่ในปาก ไม่นานเนื้อปลาจานใหญ่ก็ถูกจัดการจนเรียบ เแกงส้มปลาทั้งเนียนทั้งนุ่ม น้ำแกงสีทองในหม้อนั้นก็ไม่ปล่อยไว้ ตักข้าวมาถ้วยหนึ่ง แล้วตักน้ำแกงราดลงไปอีกสองซ้อน เปรี้ยวอร่อยเรียกน้ำย่อยมาก
พวกองครักษ์ล้วนเป็นบุรุษกินเก่ง เพียงชั่วขณะเดียวข้าวถ้วยหนึ่งก็พร่องลงไปจนมองไม่เห็น ทำให้เฉียวเยี่ยนรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงหมูอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หากพวกเขาเป็นหมูจริงต้องขายดีแน่ๆ เพราะกินง่ายไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ขุนแล้วต้องอ้วนท้วนไวแน่
โจวผิงฟานอิ่มอร่อยไปอีกหนึ่งมื้อและมีแรงท้าทายมู่ฉินเจินต่อแล้ว ชายร่างใหญ่ปัญญาอ่อนสองคนเหน็บแหนมกันและกัน ไม่มีเบื่อเลยสักนิด
หลังจากมาถึงเจียงหนาน เฉียวเยี่ยนจึงรู้สึกว่าตัวเองได้รู้จักมู่ฉินเจินใหม่อีกครั้ง
เขาที่อยู่ในเมืองหลวง คืออ๋องซู่ที่องอาจผึ่งผาย วุ่นอยู่กับงานราชการต่างๆ ทุกวัน สุขุม เยือกเย็น เคร่งขรึม แม้ต่อหน้านางเขาจะไม่วางท่าอะไร ทั้งมีบางครั้งยังทำตัวไร้เดียงสาเล็กน้อย แต่กลับไม่เหมือนเขา ณ ตอนนี้ที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเช่นนี้
จนถึงตอนนี้นางถึงได้รู้สึกได้ตัวเองได้รู้จักมู่ฉินเจินอย่างแท้จริงแล้ว บุรุษที่ภายนอกดูเท่ ทว่าภายในกลับเด็กมาก แถมยังชอบหึงหวงอีกด้วย
บางทีอายุจิตใจของเขาอาจแก่กว่าพวกเด็กๆ เพียงหนึ่งปี ไม่มากไปกว่านี้แล้ว!
โจวผิงฟานกินอิ่มดื่มพอแล้ว ก็นั่งบนเก้าอี้ผึ่งท้องใหญ่โตของเขา เมื่อนึกถึงต้นกล้าสูงแข็งแรงที่ได้รับตอนไปดำนาวันนี้ ก็มีแผนอยากจะทำธุรกิจกับเฉียวเยี่ยน
เขามีที่นามากมายอยู่ในมือ ซึ่งทั้งหมดมีไว้สำหรับปลูกข้าว แต่ต้นกล้านั้นด้อยกว่าที่เฉียวเยี่ยนจัดหามาให้มาก หากสามารถร่วมมือกับนางได้ ต่อไปปลูกต้นกล้าสูง แข็งแรงเช่นนี้ในทุ่งนาของเขาด้วย ไม่แน่ผลผลิตอาจเพิ่มเป็นสองเท่า
หลังจากเฉียวเยี่ยนฟังความคิดเขาจบ นางก็สนใจเช่นกัน หายากนักที่จะมีคนต้องการร่วมมือกับนางก่อนได้เห็นผลลัพธ์
ทุกครั้งที่เผยแพร่พืชพรรณใหม่ สิ่งที่จัดการยากที่สุดคือการยอมรับของมวลชน ผู้คนล้วนคิดว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาของตนเองเป็นเรื่องจริง และสิ่งที่หูได้ยินอาจจะเป็นเรื่องปลอม ไม่ว่านางจะพูดให้ฟังดูน่าอัศจรรย์แค่ไหน หากไม่เห็นข้าวที่ให้ผลผลิตสูง ก็ยากที่จะเชื่อคำพูดของนาง
ดังนั่นนางจึงซื้อที่นา และปลูกในนามของตัวเอง รอถึงเก็บเกี่ยวในฤดูกาลนี้ ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาว่าข้าวพันธุ์ผสมให้ผลผลิตสูง ข้าวพันธุ์ผสมถึงจะถูกเผยแพร่ออกไป
“เจ้าอยากร่วมงานกับข้า ข้าดีใจยิ่งนัก ทว่าฤดูกาลนี้คงไม่ทันแล้ว ต้นกล้าที่ข้าเพาะเพียงพอปลูกแค่นาข้าวของข้าเท่านั้น ไม่มีมากพอจะจัดสรรให้เจ้าแล้ว”
หากเริ่มเพาะกล้าข้าวตอนนี้อีกครั้ง กว่ากล้าข้าวจะงอกก็ต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งเดือนกว่า ซึ่งมันพลาดช่วงดำนาไปแล้ว
โจวผิงฟานได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่ยอมแพ้ ปีหน้าเขาค่อยเริ่มปลูกตอนต้นฤดูวสันต์ก็ได้ ซึ่งมันแค่อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น
แม้จะปลูกข้าวพันธุ์ผสมไม่ได้ แต่เฉียวเยี่ยนกลับมีความคิดใหม่
ในระหว่างที่เริ่มเพาะต้นกล้า นางได้วางแผนไว้แล้วว่าจะเลี้ยงปลาในนาข้าวหลังจากดำนาเสร็จ เนื้อปลาในนานั้นสดนุ่มและรสชาติดีกว่าปลาทั่วไปมาก ดังนั้นต้องขายดีแน่
อีกอย่างการเลี้ยงปลาในนา ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่ดี ปลากินจุลินทรีย์ในนาข้าว เพิ่มออกซิเจนให้รากข้าวเมื่อว่ายน้ำ และมูลที่ขับถ่ายออกมาก็เป็นสารอาหารเลี้ยงข้าวได้ แค่ทำอย่างเดียวก็ได้ตั้งหลายอย่าง
นางอธิบายแผนการที่ตัวเองจะเลี้ยงปลาในนาข้าวออกมาอย่างละเอียด โจวผิงฟานฟังจบก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
เลี้ยงปลาในนาข้าว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ปลาจะไม่กินรากข้าวไปหรือ?
เฉียวเยี่ยนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงอธิบาย”ไม่ต้องห่วง การเลี้ยงปลาในนาไม่เพียงแต่ไม่เป็นอันตรายต่อต้นกล้า แต่ยังมีประโยชน์ด้วย เวลาปล่อยลูกปลาคือประมาณหนึ่งเดือนหลังจากดำนาเสร็จ ในตอนนั้นระบบรากของต้นกล้าก็เจริญเติบโตดีแล้ว ปลาไม่มีทางกัดได้เลย อีกทั้งในตอนที่มันแหวกว่ายในทุ่งนา ก็ไม่ทำให้ต้นกล้าเสียหายด้วย”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออุจจาระที่ปลาขับออกมา สามารถเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นกล้าได้…”
เฉียวเยี่ยนเริ่มใช้วิธีชวนเชื่อ บอกถึงประโยชน์ของการเลี้ยงปลาในนาข้าวให้โจวผิงฟานฟังแบบคำต่อคำ ทำให้โจวผิงฟานที่ฟังจบมีดวงตาเป็นประกาย และแทบอยากกลับไปโยนปลาสองตัวลงไปในทุ่งนาเสียเดียวนั้น
สำหรับความสามารถชวนเชื่อของภรรยาตัวเอง มู่ฉินเจินชินไปเสียแล้ว จึงเฝ้าดูโจวผิงฟานถูกนางชักนำไปทีละขั้นอย่างเงียบๆ
เฉียวเยี่ยนยังไม่ทันพูดจบโจวผิงฟานก็เตรียมจะเข้าร่วมทีมกับนางแล้ว เขายังมีร้านอาหารอีกสองแห่งอยู่ในมือ เมื่อเลี้ยงปลาในนาข้าวสำเร็จก็สามารถส่งตรงไปยังร้านอาหารได้ และประจวบเหมาะให้เป็นกลไกดึงดูดลูกค้ามาให้กับร้านอาหาร
ทั้งสองคุยถึงแผนการเลี้ยงปลาในนากันครู่หนึ่ง โจวผิงฟานรับหน้าที่ซื้อลูกปลามาไว้ที่ตัวเองทันที เขาเลี้ยงปลาไม่เป็น ต่อไปจะดูแลอย่างไรก็ยังคงต้องอาศัยคำชี้แนะของเฉียวเยี่ยน แต่งานอย่างซื้อลูกปลา เขายังทำได้อยู่
……
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งเดือน การซื้อที่นาปลูกข้าวทั้งหมดของเฉียวเยี่ยนก็สิ้นสุดลง จากนั้นก็ถึงขั้นตอนดูแลพวกมัน
นางปลูกข้าวในนาไม่ทันไร พวกมันก็สูงกว่าต้นกล้าธรรมดาอื่นๆ ไม่น้อย ทำให้ชาวนาบางคนที่เห็นอิจฉามาก และจะต้องดูรอบนาข้าวครู่หนึ่งทุกวัน จากนั้นก็ส่ายหัวจากไปด้วยความเสียใจ
หากผลผลิตของข้าวนี้สูงจริงอย่างที่นายหญิงเฉียวบอก เช่นนั้นปีหน้าพวกเขาต้องปลูกข้าวชนิดนี้!
หลังจากดำนาเสร็จแล้ว เฉียวเยี่ยนก็สบายอีกครั้ง และใช้ชีวิตไปกับการเลี้ยงลูก ทำอาหาร และ ‘ปรนนิบัติ’ ผู้ชาย
พวกองครักษ์ต่างสละโสดกันหมด ยกเว้นเกาจัวหยวน ช่วงนี้ไม่มีงานอะไร พวกเขาก็เปลี่ยนไปทำให้สาวน้อยของตัวเองมีความสุขด้วยวิธีต่างๆ
เฉียวเยี่ยนมองดูคู่หนุ่มสาวเป็นคู่ๆ เหล่านี้ ก็มีความรู้สึกปลื้มใจราวกับเห็นลูกเพิ่งจะเติบโต พลางวางแผนในใจว่าจะจัดงานแต่งงานแบบกลุ่มให้พวกเขาในอนาคต
สำหรับเกาจัวหยวนที่ยังโสด หลายวันนี้จิตใจเขาก็เร่าร้อน เพราะว่าหลันหนิงมาถึงเจียงหนานแล้ว
เขาวิ่งตามก้นหลันหนิงทุกวัน แม้จะได้รับสีหน้าเย็นชาตอบกลับเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย
เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินรู้เรื่องของมู่เจ๋อจิ่นแล้ว และรู้สึกว่าการกระทำของหลันหนิงช่วยระบายความโกรธได้มาก
เขาซ่อนตัวลึกเกินไป จึงไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรเลย เช่นนั้นก็ซ้อมเขาไปสักยกหนึ่ง ให้เขาได้หยุดพักไประยะหนึ่ง ไม่ให้ได้ไปทำอะไรต่อ
เพียงแต่สงสารอี้จื่อจิ้น คืนวันเข้าหอ สามีไปหยอกล้อกับหญิงอื่น ทิ้งตัวเองไว้ตามลำพัง ผลสุดท้ายก็เขาถูกซ้อมจนปางตาย ด้วยร่างกายอ่อนแอของเขานั้น ดูแล้วคงอยู่ร่วมชายคากับนางได้ไม่นาน
คนโบราณให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากที่สุด หากข่าวนี้แพร่ออกไป อี้จื่อจิ้นต้องกลายเป็นตัวตลกแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ จู่ๆ เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกสงสารคนโง่เขลาคนนั้น เมื่อก่อนไล่ตามมู่ฉินเจิน และถูกสั่งสอนมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อมาคิดทึกทักเอาเองว่าหาคนมีชื่อเสียงมีเงินทองได้แล้ว แต่ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
แม้จะสงสาร ทว่านางก็ไม่เห็นใจอีกฝ่าย เป็นนางที่โง่เอง ถูกชื่อเสียงบดบังตาจนมองคนร้ายอย่างมู่เจ๋อจินไม่ชัดเจน ดูคนถ่อยอย่างมู่เจ๋อจิ่นไม่ออก วันโชคร้ายของนางยังคงรออยู่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นแผนการปลูกที่ยอดเยี่ยมมาก ขายได้ทั้งข้าวทั้งปลาเลย แต่ถ้าเป็นสมัยนี้คงยากหน่อยเพราะนาข้าวใช้สารเคมีเยอะ ถ้าจะทำก็คงต้องทำแบบนาข้าวอินทรีย์
ไหหม่า(海馬)
Comments