ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 306 ความฝันยามวสันต์สารท

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 306 ความฝันยามวสันต์สารท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 306 ความฝันยามวสันต์สารท

ตอนที่ 306 ความฝันยามวสันต์สารท

แววตานางดูเลื่อนลอย ยามผ่านหน้าประตูหอเยี่ยนชุนของนางไป แววตาเลื่อนลอยนั้นก็กลับมามีจุดหมายอีกครั้ง และเต็มไปด้วยความดุดันอย่างแรงกล้า

สิบกว่าปีเชียวนะ เลือดเนื้อสิบกว่าปีของนาง กลับถูกทำลายด้วยเด็กเพียงไม่กี่คน!

นางจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร!

นางนึกอาฆาตแค้นผู้คนสองข้างทางที่ปฏิบัติต่อนางอย่างดุร้าย อดทนความเจ็บปวดตรงหน้าอก และคำรามขึ้นมาด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าแค่ลักพาตัวลูกของพวกเจ้า ถึงกับต้องประหารข้าเชียวหรือ?”

“ข้าช่วยพวกเจ้าเลี้ยงพวกเขา สอนทักษะให้แก่พวกเขา มอบชุดผ้าไหมแพรพรรณให้พวกเขา ทั้งยังให้พวกเขาได้มีเงิน หากเปลี่ยนเป็นพวกเจ้า พวกเจ้าให้ชีวิตแบบนี้แก่พวกเขาได้ไหม?”

“ข้ากำลังช่วยพวกเจ้า เด็กเหล่านั้นก็แค่เป็นพวกนังหนูไร้เดียงสา ไร้ค่า อยู่กับพวกเจ้าก็เสียเปล่า หลังจากข้าจับมาสั่งสอนหน่อยก็หาเงินได้ ดีจะตาย!”

คนส่วนใหญ่ฟังคำพูดของนางต่างรู้สึกแค่ว่าหนาวเหน็บในหัวใจ หัวใจดวงนี้ต้องสกปรกเลวทรามเพียงใด ถึงพูดเช่นนี้ออกมา

พวกเขายากจน แต่ลูกๆ ก็เป็นสมบัติของพวกเขา ต่อให้กินไม่อิ่มสวมเสื้อผ้าไม่อุ่น ก็ไม่มีทางให้นางพาไปทำงานบัดสีเช่นนั้น

ส่วนคนที่เคยขายนังหนูน้อยของตัวเองให้หอนางโลมที่ซ่อนอยู่ในฝูงชนเหล่านั้น ในเวลานี้ก็ค่อยๆ ออกจากฝูงชนไปเงียบๆ

โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับแม่เล้า ครั้นได้ยินฝูงชนก่นด่าแม่เล้าในตอนนี้ ก็รู้สึกเหมือนว่าตนถูกด่าด้วย และรู้สึกไม่สบายใจ

แม่เล้ายิ่งพูดก็ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ที่ขึ้นสูงส่งผลกับอวัยวะภายใน มุมปากเริ่มมีเลือดไหลปรี่

“ข้าไม่ผิด ข้าถูกใส่ร้าย ปล่อยข้าออกไป ข้ายังไม่อยากตาย!”

สำหรับคนไม่รู้สำนึกเช่นนี้ ผู้คนย่อมไม่มีความเห็นอกเห็นใจให้นางทั้งสิ้น และยิ่งเขวี้ยงของในมือแรงขึ้น มีคนหนึ่งที่ฝีมือแม่นยำ เขวี้ยงก้อนหินออกไปกระแทกศีรษะของแม่เล้าจนเลือดตกยางออก

แม่เล้าตะโกนว่าถูกใส่ร้ายอย่างหมดแรง ทันใดก็นึกไปถึงเพลงปลุกใจของนางเข้า จึงร้องเสียงดังขึ้นมาเหมือนคนบ้าก็มิปาน

“รักที่เธอเดินคนเดียวในตรอกมืด รักท่าทางที่เธอไม่ยอมคุกเข่าฝึกทน รักที่เอเคยต่อต้านความสิ้นหวัง ไม่ยอมหลั่งน้ำตาสักหน!”

……

นางไม่ผิด นางไม่ยอมรับผิด นางเป็นผู้กล้าโดดเดี่ยวที่เดินอยู่ในที่อันมืดมิด!

ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็มึนงง ไยถึงร้องเพลงขึ้นมาเสียล่ะ? หรือจะบ้าไปแล้ว?

แต่ไม่ว่านางจะบ้าหรือไม่ คนเช่นนี้ต่อให้บ้าไปแล้ว พวกเขาก็ยังเขวี้ยงปาข้าวของใส่เช่นเดิม!

ด้วยเหตุนี้ แม่เล้าจึงร้องเพลงปลุกใจของนางอย่างฮึกเหิม ท่ามกลางการเขวี้ยงปาไข่เน่าผักเน่าของผู้คนมาตลอดทางก่อนจะถูกพาไปยังลานประหาร จวบจนวินาทีที่หัวหลุดออกจากบ่าตกลงสู่พื้นดิน นางก็ยังไม่สำนึก

……

มู่ฉินเจินควบม้านำกองกำลังออกจากอำเภอชิงผิงไปสามวัน และกวดล้างที่กบดานของหอปีศาจในอำเภออู๋ชวนให้สิ้น

พวกเขาโจมตีหอปีศาจโดยไม่ทันตั้งตัว จับพยานปากไปได้ไม่น้อย และได้รับของสำคัญมากมาย

มู่ฉินเจินได้แผนที่กบดานทั่วทั้งอาณาจักรของพวกเขาในห้องลับหอปีศาจ หลังจากนับอย่างละเอียดแล้วก็มีถึงยี่สิบกว่าอำเภอ อิทธิพลของพวกเขาแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร และสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในเมืองหลวง

หลังจากทำลายหอปีศาจในอำเภออู๋ชวนแล้ว มู่ฉินเจินรีบปิดข่าวทันที จากนั้นก็หาคนควบม้าเร็วไปแจ้งข่าวด่วนแก่ฮ่องเต้เฒ่าที่เมืองหลวง

หลังจากที่ฮ่องเต้เฒ่าทราบก็ทรงกริ้วอย่างมาก จึงออกคำสั่งลับ เริ่มดำเนินการกวาดล้างองค์กรนักฆ่าทั่วทั้งอาณาจักรอย่างจริงจัง

ขุนนางแต่ละพื้นที่ได้รับคำสั่งก็ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ถอนรากถอนโคนองค์กรนักฆ่าที่เลืองชื่อในยุทธภพให้สิ้นซาก

มู่เจ๋อจิ่นที่ยังบาดเจ็บอยู่ได้ยินข่าวนี้ ก็โกรธมากจนอยากพุ่งตัวโขกกำแพง!

นี่คือกองกำลังที่เขาพัฒนามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตั้งใจจะใช้เป็นอาวุธในการแย่งชิงบัลลังก์!

ไม่คิดเลยว่าจะถูกกวาดล้างเร็วขนาดนี้ เหลือเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาประปรายที่ยังหลบหนีอยู่!

มู่ฉินเจิน เฉียวเยี่ยน ข้ากับพวกเจ้าไม่มีวันอยู่ร่วมโลกเดียวกัน!

ช่วงนี้เขาร้อนรนราวกับถูกไฟลนก้น วุ่นอยู่กับการทำลายการติดต่อต่างๆ ของเขากับหอปีศาจ หากถูกสืบเรื่องนี้พบเข้า เช่นนั้นเขาก็คงจบเห่!

คนบงการอยู่เบื้องหลังในเมืองหลวงลากสังขารวิ่งเต้นทำลายหลักฐานไปทั่ว ร่างกายที่เดิมทีย่ำแย่อยู่แล้วเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้น ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ ดูเหมือนกับจะตายได้ทุกเวลา

ขุนนางในราชสำนักทราบถึงพระราชโองการของฮ่องเต้เฒ่าให้ปราบปรามองค์กรนักฆ่าผ่านช่องทางของตนเอง ก็แอบตามเรื่องนี้อย่างลับๆ

ในบรรดานั้นมีคนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะพวกเขาเคยจ้างวานให้หอปีศาจทำงานเช่นกัน หากฮ่องเต้เฒ่าล่วงรู้เข้า อนาคตของพวกเขาคงได้จบลงแล้ว

มู่เจ๋อจิ่นยุ่งมากจนหัวหมุน จึงทำได้เพียงไปหาอัครเสนาบดีผู้เป็นพ่อตาของเขา

ก่อนที่จะแต่งงานกับอี้จื่อจิ้น เขากับอัครเสนาบดีได้ทำข้อตกลงกันไว้ อีกฝ่ายช่วยเขายึดบัลลังก์ ส่วนเขาจะโอบอุ้มตระกูลอี้ให้รุ่งโรจน์ขึ้น

ทว่าในใจทั้งคู่ยังมีแผนอยู่ มู่เจ๋อจิ่นหวังจะใช้เส้นสายอัครเสนาบดีในราชสำนัก แต่อัครเสนาบดีแค่จนตรอก อยากสู้จนตัวตาย

ยามนี้ในบรรดาโอรสขององค์จักรพรรดิ มีเพียงมู่ฉินเจินคนเดียวที่มีหวังจะได้สืบทอดบัลลังก์ ทว่ามู่ฉินเจินเป็นศัตรูกับเขา ในวันที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ ก็คือวันที่เขาก้าวลงจากตำแหน่งนั้นเช่นกัน

ในยุคที่เขาเป็นอัครเสนาบดี จะไม่มีทางให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ในเมื่อเขาเข้ากับมู่ฉินเจินไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะหาทางอื่น และร่วมมือกับมู่เจ๋อจิ่น แย่งชิงบัลลังก์มา

มู่เจ๋อจิ่นร่างกายอ่อนแอมีโรคมาก เขาถามหมอเฉพาะทางหลายคนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว อายุขัยของเขามากสุดอยู่ได้ไม่เกินสามปี หากถือโอกาสสองสามปีนี้ให้กำเนิดทายาทแก่เขา เมื่อเขาขึ้นครองบัลลังก์ สิทธิ์การสืบทอดบัลลังก์ย่อมเป็นของลูกหลานตระกูลอี้เขาอยู่แล้ว

ถึงเวลานั้นเขาก็สามารถแทรกแซงทางการเมืองได้ โดยอ้างว่าองค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ แบบนี้ ก็เทียบเท่ากับเขาได้นั่งบนตำแหน่งที่มีผู้คนเคารพนับหมื่นคนหรือ!

แม้จะมีความคิดยิ่งใหญ่ ความเป็นจริงกลับขมขื่นมาก ยังไม่ทันให้เขาได้มีความฝันยามวสันต์สารท มู่เจ๋อจิ่นก็สร้างความวุ่นวายให้กับเขาแล้ว

เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหอปีศาจจะเป็นกองกำลังของเขา ขุนนางหลายคนจากฝ่ายของเขา ไปจ้างหอปีศาจทำงานให้ไม่น้อย หากถูกสืบมาถึงตัว กลุ่มของพวกเขาได้ตายกันหมดแน่ ยังจะเอ่ยถึงความฝันใหญ่ยามวสันต์สารทอะไรอีก!

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงตกอยู่ในสภาพอึดอัดตามไปด้วย และส่งกองกำลังต่างๆ ไปตามเก็บงาน โดยพยายามลบการติดต่อของพวกเขากับหอปีศาจให้ได้มากที่สุด

……

ขณะเมืองหลวงอยู่ในสภาพปั่นป่วน ครอบครัวเฉียวเยี่ยนกลับใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ในเจียงหนาน

ตอนนี้เข้าสู่เดือนเก้าแล้ว ข้าวเริ่มออกรวงแล้ว เมื่อเข้าสู่ปลายเดือนสิบ ก็สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้

ข้าวพันธุ์ผสมสูงกว่าข้าวทั่วไปที่พวกชาวนาในหมู่บ้านปลูกมาก รวงข้าวก็ใหญ่เป็นพิเศษ ทำให้ชาวนาที่ไม่ได้ขายที่ดินต้องหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ

ปลาที่เลี้ยงในนาข้าวมาหลายเดือนก็โตขึ้นมาไม่น้อย รออีกไม่กี่วันก็สามารถเริ่มทยอยจับได้แล้ว

ไม่กี่วันมานี้ มู่ฉินเจินมักจะพาเด็กทั้งสี่ไปจับปลาที่ทุ่งนา และนำกลับมาให้เฉียวเยี่ยนทำอาหารอร่อยๆ ให้รับประทาน

ปลาในนามีระยะเวลาเลี้ยงสั้น ขนาดไม่ใหญ่มาก ตัวใหญ่สุดแค่เท่าฝ่ามือผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เนื้อแน่นนุ่มสดมาก

เฉียวเยี่ยนทำความสะอาดปลาเล็กปลาน้อยเหล่านั้นเสร็จ ก็นำลงไปทอดในน้ำมัน ทอดจนเป็นปลาน้อยแห้งกรอบ โรยด้วยพริก เกลือ ฮวาเจียว ทั้งหอมทั้งกรอบ ตอนเบื่อๆ สามารถนำมากินเป็นของว่างได้

เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นปลาที่เฉียวเยี่ยนเลี้ยงในนาข้าวกระโดดไปมา ก็อิจฉาสุดๆ

ยกโทษให้พวกข้าที่มีความรู้น้อยด้วย เมื่อก่อนยังริอาจไปชี้แนะหวางเฟยอีก ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว เพ้ย! ใครให้ความกล้าเจ้ากัน?

นาหนึ่งหมู่มีปลาหลายร้อยตัว หากจับไปขายในร้านอาหาร จะต้องได้เงินก้อนใหญ่แน่ ซู่หวางเฟยช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำกิจการจริงๆ ปีหน้าพวกเขาจะเลี้ยงตามด้วย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ตำหนักอ๋องรุ่ยกับตระกูลอี้ล่มแน่ เหลือแค่ทำลายหลักฐานไม่ให้สาวมาถึงตัวเองได้เท่านั้นแหละ

เห็นความอัจฉริยะของซู่หวางเฟยแล้วหรือยังล่ะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด