ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 31 ฮ่องเต้น้อยพระทัย (รีไรท์)

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 31 ฮ่องเต้น้อยพระทัย (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 31 ฮ่องเต้น้อยพระทัย (รีไรท์)

ตอนที่ 31 ฮ่องเต้น้อยพระทัย (รีไรท์)

เด็กอ้วนตัวน้อยกวาดสาดตาสอดส่องรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาจึงจับจ้องไปยังโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้หงชุน[1]

นางก้าวขาสั้นป้อมเดินไปยังริมโต๊ะ และสายตาผู้คนที่อยู่ในห้องก็เคลื่อนไปตามนาง

คนเป็นแม่อย่างเฉียวเยี่ยนเองก็สับสนเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าลูกตัวเองจะทำอะไร

เห็นเพียงเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ม้วนแขนเสื้อขึ้น ดึงชายกระโปรงขึ้นถึงเอว และผูกชายกระโปรงเป็นปม ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินของตัวเอง

จากนั้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน เด็กน้อยก็ยื่นมืออวบอ้วนของตัวเองตะปบโต๊ะไม้หงชุน พลางออกแรงเบา ๆ และยกโต๊ะที่สูงเกือบเท่าตัวเองขึ้นเหนือศีรษะ

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮองเฮาได้เห็นพละกำลังของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ พระนางลุกขึ้นฉับพลัน พระหัตถ์ทาบกลางทรวง เผยสีหน้ากังวลออกมา “คุณพระ! บรรพบุรุษตัวน้อย! วางมันลงเร็ว เดี๋ยวก็บาดเจ็บหรอก!”

แต่เด็กหญิงตัวจ้ำม่ำกลับยิ้มให้ “เสด็จย่าคนงาม หลานเก่งกาจมาก ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ”

ขณะที่เด็กน้อยยกโต๊ะอยู่ก็เดินไปหามู่ชุนเหิงทีละก้าว แถมยังโยนโต๊ะขึ้นไปในอากาศสองครั้งอย่างสวยงามและรับไว้มั่น

ทุกคนต่างตกตะลึง เหนียงเหนียงแต่ละตำหนักคล้ายกับกำลังดูการแสดงผาดโผน ตกใจจนอ้าปากค้าง ในขณะที่มู่ชุนเหิงเบะปากอยากจะร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องออกมา เพราะเห็นแววข่มขู่ในดวงตากลมโตรื้นหยาดน้ำของน้องสาวนางฟ้า

ตอนนี้นางโยนโต๊ะ ผ่านไปสักพักก็อาจจะมาโยนเขา!

ครั้นเห็นท่าทางของทุกคน เฉียวเยี่ยนและเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็หันหน้าหนีไปพร้อมกัน ไม่ยอมมองอีกต่อไป

ลูกสาว/น้องสาว ดุดันเกินไปแล้ว จะทำอย่างไรดี?

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยกโต๊ะมาถึงด้านหน้ามู่ชุนเหิงอย่างดุดัน พลางวางลงบนพื้นอย่างเสร็จสรรพ เมื่อมุมโต๊ะกระแทกพื้นส่งเสียงดังกังวานออกมา สติของทุกคนถึงได้กลับมาเหมือนเดิม

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เงยใบหน้าน่ารักขึ้นและยิ้มหวานให้มู่ชุนเหิงเป็นพิเศษ “เป็นอย่างไร? การแสดงของข้าดีหรือไม่? เจ้ายังอยากร้องไห้อยู่หรือเปล่า?”

มู่ชุนเหิงรีบส่ายหน้า ลุกขึ้นจากพื้นไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพระสนมเสียนเฟย ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่ศีรษะออกมา และเบะปากอย่างเสียใจ

เขาอยากร้องไห้แต่ไม่กล้าร้อง!

แง้…น้องสาวนางฟ้าใจร้ายเกินไปแล้ว เขาอยากกลับบ้าน!

ครั้นพระสนมเสียนเฟยเห็นหลานชายตัวเองไม่ได้เรื่องเช่นนี้ก็กริ้วจนใบหน้าบิดเบี้ยว จ้องใบหน้าน่ารักของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ในใจยิ่งเดือดดาลมากขึ้น

เด็กคนนี้อายุแค่สามขวบก็ได้รับตำแหน่งเป็นจวิ้นจู่ แต่หลานสาวนางกลับไม่ได้อะไรเลย!

ฝ่าบาทลำเอียงเข้าข้างฮองเฮาชัด ๆ!

ไม่เพียงแต่รักทะนุถนอมลูกชายของอีกฝ่าย ตอนนี้แม้แต่หลานชายหลานสาวของอีกฝ่ายก็ได้รับการปฏิบัติต่างออกไป!

แล้วนางล่ะเป็นอะไร? ลูกชายนางล่ะเป็นอะไร? นางเป็นคนให้กำเนิดบุตรคนแรกด้วยซ้ำ!

พระสนมเสียนเฟยเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟเพราะอวดเบ่งไม่สำเร็จ แถมยังถูกตอกหน้ากลับมา นางลากมู่ชุนเหิงที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังออกมาถวายบังคมฮองเฮา และออกจากตำหนักคุนหนิงไปอย่างเร่งรีบ

รอยแย้มสรวลบนใบหน้าฮองเฮาใกล้จะเลือนหายไปแล้ว แต่เนื่องจากเหล่าสนมนางอื่นยังอยู่ จึงได้แต่สรวลออกมาอย่างวางมาด

เมื่อเห็นท่าทางอันน่าสังเวชของพระสนมเสียนเฟย นางสนมคนอื่น ๆ ก็ขอตัวลากลับอย่างรู้ความ ด้วยกลัวว่าต่อไปจะเป็นพวกนางที่เสียหน้าเอง

ครั้นกลุ่มนางสนมจากไปหมดแล้ว ฮองเฮาจึงหัวเราะอย่างเสียกิริยา และดึงเด็กน้อยทั้งสองคนที่ทำให้พระนางได้หน้าเข้ามากอด จะหอมอย่างไรก็หอมไม่พอ

นางบีบมือเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ และคิดไม่ออกว่าทำไมเด็กน้อยตัวเล็กน่ารักคนนี้ถึงมีพละกำลังมหาศาลเช่นนี้

ตำหนักเจียงซาน

ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร สดับฟังเหล่าขุนนางชรารายงานเรื่องไร้สาระยืดเยื้ออย่างเบื่อหน่าย

ดั่งสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัวอยู่ที่ค่ายของโจโฉ แต่ใจอยู่ที่แดนฮั่น’ มองภายนอกฮ่องเต้เปิดประชุมเหล่าขุนนางยามเช้าอย่างจริงจัง ทว่าความเป็นจริงจิตใจของเขาได้ลอยไปที่ตำหนักคุนหนิงแล้ว

มิรู้ว่าเช้านี้เหล่าพระนัดดาตัวดีของเขากำลังทำอะไรกันอยู่?

เฮ้อ จู่ ๆ ก็อิจฉาฮองเฮา ไม่ต้องว่าราชกิจ ไม่ต้องตอบสาส์น ไม่ต้องฟังเหล่าขุนนางเอะอะโวยวาย แถมยังได้เล่นกับพวกเด็ก ๆ ด้วย

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ถอนพระปัสสาสะออกมาอย่างหนัก ทอดพระเนตรไปทางมู่ฉินเจินที่ยืนดุจเสาไม้อย่างไม่พอใจ เมื่อใดเขาจะโยนบัลลังก์ให้กับเจ้าเด็กบ้าคนนี้ได้เสียที!

ฟังเหล่าขุนนางพูดฉอด ๆ มาตลอดทั้งเช้า พระกรรณของฮ่องเต้ก็เหมือนจะอื้ออึง เมื่อเสร็จราชกิจจึงรีบเร่งไปยังตำหนักคุนหนิง โดยมีหวังกงกงร่างท้วมไล่ตามหลังไป

มู่ฉินเจินมองตามแผ่นหลังชายชราและขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ รีบก้าวเท้าย่างสามขุมไปยังตำหนักคุนหนิง ซึ่งความเร็วก็ไม่ได้ช้าไปกว่าฮ่องเต้มากเท่าใดนัก

ครั้นเข้าไปในตำหนักคุนหนิง ก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารทันทีที่มาถึงหน้าประตู ฮ่องเต้ฟังกลุ่มขุนนางน่ารำคาญคุยฉอด ๆ ทั้งเช้า จึงไม่มีความอยากอาหารมานานแล้ว

ทว่าเวลานี้ ท้องของเขากลับร้องขึ้นมา และอยากเขมือบข้าวสักสองชามใหญ่

เขาตรัสถามหวังกงกงที่เดินตามหลังมาอย่างสงสัย “ห้องเครื่องเปลี่ยนพ่อครัวแล้วรึ?”

เมื่อก่อนไม่คิดเลยว่าอาหารในห้องเครื่องจะหอมขนาดนี้

เพราะไล่ตามฮ่องเต้ หวังกงกงที่ขาสั้นจึงก้าวขาเร็วมาก ทำให้ยามนี้เขาหายใจหอบเหนื่อย “บ่าวไม่…ไม่เคยได้ยินเลยพ่ะย่ะค่ะ”

มู่ฉินเจินที่อยู่ห่างจากพวกเขาสามฉื่อได้ยินเช่นนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทอแววอ่อนโยน

แน่นอนว่าเปลี่ยนพ่อครัว แถมยังเป็นคนของเขาอีก!

เมื่อเข้าไปในตำหนัก หม้อที่มีไอร้อนลอยออกมาก็ได้วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งมากยิ่งขึ้น

ฮองเฮาพาเด็กทั้งสองนั่งอยู่ข้างโต๊ะและพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน ครั้นเห็นฝ่าบาทเข้ามา พระนางก็ลุกขึ้นทำความเคารพ

เด็กทั้งสองไม่มีมารยาทอะไรมากนัก ก้าวขาสั้น ๆ วิ่งไปหาเสด็จปู่ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้กอดพระเพลาข้างหนึ่งของฮ่องเต้ไว้ พลางถูศีรษะน้อย ๆ คลอเคลียไปมาอย่างน่ารัก

“เสด็จปู่ ท่านหิวหรือยังเจ้าคะ? ท่านแม่ทำอาหารอร่อย ๆ ไว้มากมายเลย”

ครั้นฝ่าบาทได้ยินเสียงน่ารักของเจ้าเด็กอ้วนก็ทรงแย้มสรวลไม่หุบ และโน้มตัวไปลูบศีรษะของเด็กน้อย

“หลานรักช่างน่ารักจริง ๆ”

ครั้นมองอาหารบนโต๊ะ พลันหวนนึกถึงคำพูดของเด็กน้อย จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “แม่ของพวกเจ้าเป็นคนทำอาหารเหล่านี้รึ?”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ยืนอย่างสำรวมอยู่ข้างฮ่องเต้ สีหน้าเคร่งขรึมไม่แสดงออกใด ๆ ทว่าแววตากลับเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์ดียิ่ง “ท่านแม่เป็นคนทำทั้งหมด ท่านแม่ทำอาหารอร่อยมาก”

เด็กน้อยยืดอกอย่างภาคภูมิ อยากให้ทุกคนรู้ว่ามารดาเขานั้นเก่งเพียงใด

ฮองเฮายืนทอดพระเนตรอยู่ด้านข้าง ปิดพระโอษฐ์สรวลออกมา เด็กน้อยคนนี้เคร่งขรึมเสมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยเสียจริง แต่เมื่อเอ่ยถึงมารดาตนเองกลับภาคภูมิใจขึ้นมา

หลังจากสนิทสนมกับเสด็จปู่พอหอมปากหอมคอแล้ว เด็กทั้งสองก็วิ่งไปหาบิดา มู่ฉินเจินอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นมาแล้วหอมให้รางวัลพวกเขา สีหน้าเคร่งขรึมในเวลานี้เต็มไปด้วยความรักอันแสนอ่อนโยน

ในระหว่างที่พวกเขาพูดคุยหัวเราะกัน เฉียวเยี่ยนก็ยกอาหารขึ้นมาจานหนึ่ง ครั้นสบสายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของมู่ฉินเจินก็ยิ้มตอบ ก่อนจะคุกเข่าคำนับฝ่าบาท

“เสด็จพ่อ อาหารที่ลูกทำอาจจะเทียบกับอาหารชาววังที่พระองค์เสวยในยามปกติไม่ได้ แต่ก็ยังอยากให้เสด็จพ่อได้ลองชิมดูเพคะ”

ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีอย่างมากและประทับลงตรงหน้าโต๊ะ ทอดพระเนตรอาหารพลางตรัสชมว่า “อาหารจานนี้มีกลิ่นหอมนัก เราว่าต้องอร่อยกว่าที่พ่อครัวในวังทำเสียอีก!”

ในน้ำแกงซี่โครงหมูตุ๋นถั่วหม้อใหญ่มีฮวาจ่วน[2]ลอยอยู่ เฉียวเยี่ยนตั้งใจหาเตาในห้องเครื่องมาหนึ่งเตา ใส่ถ่านไว้ข้างใต้ จะได้ตุ๋นไปด้วยกินไปด้วย

วัตถุดิบในห้องเครื่องมีครบครัน อีกทั้งผักและเนื้อสัตว์ทั้งหมดล้วนมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ รสชาติเต้าเจี้ยวและซีอิ๊วที่หมักโดยพ่อครัวในวังย่อมดีกว่าที่ขายในตลาดอยู่มากโข

ใส่ต้นหอม ขิง กระเทียมสับลงในหม้อ ผัดจนหอม จากนั้นก็ใส่ซี่โครงหมูที่ลวกแล้วผัดจนเหลืองทอง จากนั้นจึงเทเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว และเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ลงไป และเติมน้ำให้ท่วม

คอยจนซี่โครงสุกพอประมาณแล้วก็ใส่ถั่วลงไปคนให้เข้ากัน สุดท้ายก็ใส่ฮวาจ่วนและต้มให้สุก

จากนั้นหั่นซี่โครงหมูเป็นชิ้นใหญ่ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนกลายเป็นสีเดียวกันกับน้ำซีอิ๊ว น้ำซีอิ๊วกลิ่นหอมฟุ้งกอปรกับน้ำแกงรสเข้มข้น พอกัดเข้าไปแล้วอร่อยจนไม่อยากจะเชื่อ

นอกจากซี่โครงหมูตุ๋นแล้ว เฉียวเยี่ยนยังทำไข่ผัดซีอิ๊วและผัดต้นกระเทียมอีกด้วย

[1] ไม้หงชุน คือ ต้นมะฮอกกานีจีน

[2] ฮวาจ่วน ( 花卷 ) เป็นหมั่นโถวชนิดหนึ่งที่ยืดแป้งออกเป็นเส้น แล้วม้วนให้เป็นรูปดอกไม้ สามารถใส่ผักหรือเนื้อลงไปได้

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หวางเฟยตอนนี้ควบหลายหน้าที่มากเลย ต่อไปก็คงกลายเป็นคนคุมพ่อครัวในห้องเครื่องแล้ว

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *