ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 312 จับขังตำหนักเย็น
ตอนที่ 312 จับขังตำหนักเย็น
ตอนที่ 312 จับขังตำหนักเย็น
จวนอันซีโหวได้รับข่าวที่เฉียวจิ่นบาดเจ็บจากม้าพยศแล้ว เว่ยอวิ๋นซูร้อนใจแทบทนไม่ไหว จึงพามารดากับพี่ชายไปที่จวนสกุลเฉียว ครั้นเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเฉียวจิ่น ก็รู้สึกปวดใจและหวาดกลัว
ทั้งสองครอบครัวชังคนที่อยู่เบื้องหลังเข้ากระดูก เมื่อเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินกลับตำหนักไปก็รีบสอบปากคำคนที่ถูกจับคนนั้นทันที
ชายผู้นั้นเป็นคนโง่เขลาคนหนึ่ง ยังไม่ได้เริ่มทรมาน ก็กลัวจนสารภาพทุกอย่างออกมาหมด
เมื่อรู้ว่าคนสั่งการอยู่เบื้องหลังคือองค์หญิงเจียหนิง เฉียวเยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเข้าวังตรงไปตำหนักพระพระสนมเต๋อเฟยทันที
เมื่อองค์หญิงเจียหนิงรู้ว่างานล้มเหลวก็ตกใจกลัว ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักมารดา ขอร้องให้หาวิธีช่วยเหลือ
ครั้นพระสนมเต๋อเฟยรู้ว่าพระธิดาทำเรื่องโง่ๆ ลับหลังนาง ก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก
หากเฉียวจิ่นตายก็ไม่เป็นไร ตายไปแล้วก็ไม่มีหลักฐาน ทว่าเขากลับถูกองค์รัชทายาทช่วยเหลือไว้ได้ ด้วยฝีมือของสองสามีภรรยาองค์รัชทายาท ต้องสืบได้ว่าเป็นฝีมือของลูกสาวตนแน่
สองแม่ลูกตกอยู่ในสภาพกดดัน ยังไม่ทันได้คิดวิธีรับมือออก ก็เห็นเฉียวเยี่ยนควบม้าตรงเข้ามาแล้ว
เฉียวเยี่ยนในตอนนี้แผ่รังสีเยือกเย็นทั่วร่าง แววตาดุดัน ทำให้คนที่เห็นรู้สึกหนาวเยือก
พระสนมเต๋อเฟยบังลูกสาวไว้ด้านหลัง ฝืนตนให้สงบลงและตะโกนด้วยโทสะ “ไท่จื่อเฟย นี่เจ้าคิดจะทำอะไร!”
เฉียวเยี่ยนเดินไปหานางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าคอเสื้อของนางแล้วเหวี่ยงนางออกไป จากนั้นจับองค์หญิงเจียหนิงไว้ แล้วกำมือรอบคอของนาง
นางออกแรงบีบมือช้าๆ จนองค์หญิงเจียหนิงค่อยๆ หายใจไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
นางอ้าปากพะงาบพยายามสูดหายใจ ทว่าอาการหายใจไม่ออกรุนแรงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามดึงมือของเฉียวเยี่ยน แต่มือนั้นแข็งแรงราวกับคีมเหล็ก ไม่ขยับสักนิด
ข้อห้ามอันร้ายแรงที่สุดของเฉียวเยี่ยนคือครอบครัวของนาง หากกระทำอย่างอื่น นางอาจจะพอปล่อยอีกฝ่ายไปได้ แต่หากแตะต้องครอบครัวนาง ต้องโทษถึงตาย!
เมื่อเห็นว่าพระธิดากำลังจะถูกบีบคอจนตาย พระสนมเต๋อเฟยก็ตกใจกลัวจนรีบวิ่งไปเกาะขาของเฉียวเยี่ยน กอดขาของนางพลางขอร้องอ้อนวอน “ไท่จื่อเฟย ได้โปรดปล่อยเจียหนิงไปเถิด นางยังเป็นแค่เด็ก”
“นางไม่กล้าทำอีกแล้ว ต่อไปก็จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าให้โอกาสข้าสักครั้งเถิด”
พระสนมเต๋อเฟยร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลอาบหน้า ขันทีและนางข้าหลวงในตำหนักต่างตกใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วยเหลือเลย
เฉียวเยี่ยนเหลือบมององค์หญิงเจียหนิงที่ใกล้จะหมดสติไป ก่อนคลายมือ จากนั้นก็เตะพระสนมเต๋อเฟยที่กอดขาของนางออกไป
องค์หญิงเจียหนิงทรุดตัวนั่งลงกับพื้น หอบหายใจอย่างหนัก ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว น้ำตาไหลลงมาทีละหยด
พระสนมเต๋อเฟยคลานเข้าไปปกป้องลูกสาวของนาง เฉียวเยี่ยนมองพวกเขาอย่างเย็นชา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อสอนลูกไม่เป็น วันนี้เปิ่นเฟยจะช่วยเจ้าเอง!”
“เจ้าไม่ต้องมาพูดว่านางยังเด็ก อายุสิบเจ็ดไม่ถือว่าเด็กแล้ว โตพอที่จะออกเรือนได้แล้ว ดังนั้นนางควรรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง!”
“เจ้าต้องขอบใจที่พี่ชายของข้าไม่เป็นอะไรไป หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าคงไม่มีโอกาสได้นั่งหอบหายใจอยู่แบบนี้เด็ดขาด ตอนนี้คอของเจ้าคงถูกข้าบีบจนหักไปแล้ว!”
องค์หญิงเจียหนิงยังคงไม่ยินยอมอยู่ในใจ หลังจากอาการดีขึ้นแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็จ้องเขม็งไปที่เฉียวเยี่ยน
คนประเภทไม่รู้จักสำนึกผิดเช่นนี้ เฉียวเยี่ยนไม่จำเป็นต้องอดทนด้วย จึงคว้าคอเสื้อนางด้วยมือข้างเดียว แล้วลากนางไปหาฮ่องเต้เฒ่า
เมื่อฮ่องเต้เฒ่ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ทรงกริ้วอย่างมาก สั่งให้นำพระสนมเต๋อเฟยไปขังในตำหนักเย็น และส่งองค์หญิงเจียหนิงไปสำนึกตนที่สำนักชีนอกวัง
เหตุการณ์นี้ได้สิ้นสุดลงตรงนี้ แต่ก็ทำให้ตระกูลเฉียวกับจวนอันซีโหวได้บทเรียน ต้องจัดการเรื่องแต่งงานของทั้งสองโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นจะมีคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ
หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว ทั้งสองครอบครัวจึงกำหนดวันแต่งงานกันในช่วงปลายเดือนสาม นับต่อจากนี้ไปประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น
เมื่องานแต่งของพี่ชายนางได้บทสรุปแล้ว เฉียวเยี่ยนรู้สึกโล่งใจ และเตรียมแผนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิของนางต่อ
หลังจากปลูกมาสองปี ต้นกล้าสตรอเบอรี่ในเรือนกระจกของหมู่บ้านลวี่หลัวก็โตเต็มที่แล้ว ปีนี้ต้องขยายเรือนกระจกให้มากขึ้น และเรือนกระจกใหม่ก็เริ่มสร้างแล้ว
ต้นกล้าผักในเรือนกระจกก็กำลังรีบเร่งเพาะอยู่ เห็ดในเรือนกระจกเห็ดก็เริ่มเพาะเชื้อเห็ดแล้ว
เฉียวเยี่ยนปลีกเวลาไปดูความคืบหน้าของคนงานในเรือนกระจกแต่ละแห่ง เห็นพวกเขาคุ้นเคยและชำนาญในการเพาะปลูกแล้ว ก็รู้สึกพอใจอย่างมาก
หลังจากที่ลูกๆ กลับไปเมืองหลวง พวกเขาก็ไปเรียนในสำนักศึกษาต่อ ส่วนระบบตัวน้อย เสี่ยวอันอันก็ไปเรียนกับเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ และเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ด้วยเช่นกัน เพียงแค่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเท่านั้น
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์กับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เข้าเรียนก่อน จึงอยู่ชั้นสูงกว่าระบบตัวน้อยกับเสี่ยวอันอันไปสองระดับ
ตอนนี้งานของเฟิงหยางเปลี่ยนจากคุ้มกันเด็กน้อยสองคนเป็นสี่คน ความกดดันก็เพิ่มขึ้นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่าโชคดีที่เจ้านายน้อยของพวกเขาทำตัวดีไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย
วันนี้เฉียวเยี่ยนมีเวลาว่างที่หาได้ยากนัก เมื่อเห็นว่ามู่ฉินเจินกับลูกๆ ยังไม่กลับมา ก็เข้าครัวไปทำอาหารให้พวกเขา
เมื่อเห็นมะนาวสองลูกที่เหลือจากการกวนแยมผลไม้บนเตา นางรู้สึกว่าน้ำลายสอไม่หยุด อยากกินมะนาวสองลูกนี้มาก
คิดๆ ดูแล้ว นางทำไก่ฉีกมะนาวดีกว่า ทั้งเปรี้ยวเผ็ดทั้งสดชื่น แค่คิดนางก็กลืนน้ำลายแล้ว
เลือกขาไก่มาสองขา ใส่ลงในหม้อ แล้วใส่หอม ขิง เหล้าข้าวต้มให้สุก จากนั้นนำออกมาแช่ในน้ำเย็น ฉีกขาไก่เป็นชิ้นบางๆ เพิ่มกระเทียมสับ ผักชี ซีอิ้วขาว น้ำมันงา และเครื่องปรุงอื่นๆ ลงไป เสร็จแล้วใส่มะนาวฝานเป็นแผ่นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน เท่านี้ก็ได้ไก่ฉีกมะนาวแล้ว
เมื่อได้กลิ่นหอมของมะนาว เฉียวเยี่ยนก็อดลองชิมไก่ฉีกมะนาวก่อนสักสองสามคำไม่ได้ และสุดท้ายก็รู้สึกว่าความเปรี้ยวไม่เพียงพอ แม้แต่มะนาวฝานแผ่นก็กินเข้าไป
เมื่อพ่อลูกกลับมาบ้านและได้กินไก่ฉีกมะนาว ทั้งหมดต่างก็พากันทำหน้ายับยู่ยี้เพราะความเปรี้ยว
ใบหน้าขาวนวลของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ย่นจนกลายเป็นจีบซาลาเปา พลางแลบลิ้นออกมา “เปรี้ยวจังเลย เข็ดฟันจนฟันจะหลุดออกมาแล้ว”
เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางของทุกคน กระทั่งมู่ฉินเจินก็ขมวดคิ้วด้วยความเปรี้ยว
นางเอ่ยอย่างสงสัย “ไม่น่าจะเปรี้ยวนะ? ข้าชิมไปก่อนหน้านี้แล้ว รสชาติก็เหมือนเคย”
ขณะกล่าวนางก็ชิมอีกครั้ง ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ด สดชื่นมาก
ทว่าไม่นานเรื่องเล็กน้อยนี้ก็ผ่านไป และไม่มีใครเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
กลางเดือนสาม การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิเริ่มขึ้นในแต่ละพื้นที่ เฉียวเยี่ยนพาคนรับใช้ในตำหนักไปปลูกต้นกล้าผักในแปลงผักที่ตำหนักใหม่
ผักกาดขาวอ่อน ผักกาดหอมต้น กระเทียม หอมแดง และผักชีอวบอ้วนล้วนมีหมด
ในพระราชวังก็กำลังเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เฉียวเยี่ยนยังต้องปลีกเวลาไปที่วังเพื่อให้คำชี้แนะ วุ่นจนหัวหมุน
วันที่ยี่สิบเดือนสาม เป็นวันแต่งงานของเฉียวจิ่น เฉียวเยี่ยนพาคนในบ้านไปช่วยเหลือก่อนล่วงหน้าสองสามวัน
ในเรือนมีเจ้านายเพียงสองคนคือแม่กับพี่ชาย การจัดงานแต่งงานจึงวุ่นมากจริงๆ
โดยเฉพาะพี่ชายที่ยังเป็นขุนนางด้วย ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขกเป็นพิเศษ
รายชื่อแขกที่มาร่วมงาน รายการอาหารที่จะจัดเลี้ยง และแผนผังของสถานที่กำลังรอให้พวกเขาพูดคุยปรึกษากัน
ลูกทั้งสี่ถูกดึงออกมาเป็นผู้โปรยดอกไม้ให้กับลุงของพวกเขา สำหรับการโปรยดอกไม้ พวกเด็กๆ มีประสบการณ์มากพออยู่แล้ว
โดยเฉพาะเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กับเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่ได้เป็นผู้โปรยดอกไม้ให้กับท่านพ่อท่านแม่มาก่อนแล้ว จากนั้นก็กลายเป็นคนโปรยให้กับงานของเหล่าองครักษ์ และตอนนี้ก็รับผิดชอบเป็นผู้โปรยดอกไม้ให้กับลุงของพวกเขา ช่างทำให้เด็กยุ่งกันจริงๆ
วันที่สองเป็นวันแต่งงาน เฉียวเยี่ยนนอนไม่หลับ ตื่นเต้นยิ่งกว่าเจ้าบ่าวผู้เป็นพี่ชายของนางเสียอีก
นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาบนเตียง มู่ฉินเจินแตะหลังนางเบาๆ เหมือนกำลังกล่อมเด็ก
เฉียวเยี่ยนพลิกตัวไปมา พลันรู้สึกหิว เมื่อรู้สึกว่าท้องหิว น้ำลายก็ไหลแล้ว วินาทีนี้ไม่ได้กินอะไร ก็รู้สึกกระหายอย่างมาก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
บังอาจมาแตะเกล็ดย้อนของเฉียวเยี่ยน ทีนี้ก็ไม่ต้องมีสวามีสมใจเลยล่ะองค์หญิง
อาการอยากของเปรี้ยว หิวบ่อยแบบนี้มันคุ้นๆ นะ ควรให้หมอตรวจชีพจรแล้วล่ะ เผื่อเจ้าก้อนแป้งจะมาแล้ว
ไหหม่า(海馬)
Comments