ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 316 อาศัยบารมีพ่อนับว่าเป็นความสามารถอะไรกัน

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 316 อาศัยบารมีพ่อนับว่าเป็นความสามารถอะไรกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 316 อาศัยบารมีพ่อนับว่าเป็นความสามารถอะไรกัน

ตอนที่ 316 อาศัยบารมีพ่อนับว่าเป็นความสามารถอะไรกัน

เฉียวเยี่ยนไม่ได้เคร่งครัดมากเท่าเขา นางรู้สึกผ่อนคลายมากเมื่อตั้งท้องเด็กคนนี้ นอกจากมีก้อนเนื้อเพิ่มขึ้นที่ท้องของนางแล้ว นางก็รู้สึกว่าไม่แตกต่างอะไรจากปกติเลย

เต้าหู้เหม็นทอดจนกรอบนอกนุ่มใน โรยด้วยผักชี กระเทียม น้ำมันพริกและเครื่องปรุงต่างๆ มีรสชาติชวนลุ่มหลงเป็นพิเศษ

เฉียวเยี่ยนกินอย่างมีความสุข และพาสามีที่รักเดินซื้อของต่อ

ตลอดทางเมื่อนางเห็นอาหารอร่อยๆ ก็มักจะซื้อมาลองกินเล็กน้อย รอจนท้องแน่นจนกินต่อไม่ไหว จึงชิมแค่หนึ่งคำและโยนไปให้มู่ฉินเจินที่อยู่ข้างหลัง

มู่ฉินเจินกลายเป็นระบบกำจัดขยะที่ทรงประสิทธิภาพ คอยกำจัดสิ่งที่ภรรยาของเขาโยนมาให้อย่างช่วยไม่ได้ ยังไม่ทันเดินทั่ว ท้องของเขาก็อิ่มเสียแล้ว

หลังจากเดินซื้อของจนพอใจแล้ว ทั้งสองก็เตรียมกลับตำหนัก เมื่อรถม้าผ่านตรอกหนึ่งไป ก็ได้ยินเสียงเด็กทะเลาะกัน

เฉียวเยี่ยนเปิดม่านออกมอง เห็นกลุ่มเด็กชายในชุดบัณฑิตกลุ่มหนึ่งกำลังทุบตีเด็กสองคนที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอยู่

ด้วยความเป็นแม่คน หลังเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลูกตัวเองถูกรังแกเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า พลันโมโหขึ้นทันใด และรีบสั่งองครักษ์ที่ขับรถม้าให้หยุดการกระทำเด็กกลุ่มดังกล่าวทันที

เมื่อเด็กในชุดบัณฑิตเห็นว่ามีคนมา บางคนก็วิ่งหนีไปด้วยความตกใจ ทว่าเด็กใจกล้าบางคนยังเตะเด็กสองคนที่ขดตัวนอนบนพื้นอยู่

องครักษ์รีบช่วยเหลือเด็กทั้งสองอย่างรวดเร็ว และคุ้มกันพวกเขาไว้ข้างหลัง

เด็กที่ทุบตีผู้อื่นคาดว่าทางบ้านคงมีอำนาจอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุสิบขวบ เห็นได้ชัดว่าถูกเลี้ยงอย่างตามใจจนเสียคน มีน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างมาก

“พวกหมาพยายามจับหนู ยุ่งเรื่องของคนอื่นไปทั่ว! เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? ข้าเป็นลูกชายของอันหยางปั๋ว ถ้ารู้จักแล้วก็ส่งตัวมันมา!”

เด็กสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตะโกนเสียงดังตาม ท่าทางดุร้ายเหมือนลูกผู้ดีมีเงิน

“ใช่! รีบส่งมันมา พ่อข้าเป็นถึงพ่อค้าถวายของให้ราชวงศ์ แม้แต่ขุนนางเห็นท่านก็ยังต้องไว้หน้า ระวังข้าจะบอกบิดาให้ฆ่าเจ้าเสีย!”

ฟังดูสิ! เด็กน้อยวัยสิบขวบกล้าพูดคำข่มขู่คนได้ขนาดนี้ ไม่อยากจินตนาการเลยว่าโตมาจะเป็นอย่างไร!

เฉียวเยี่ยนได้ยินคำพูดพวกเขา โทสะก็พุ่งพล่านขึ้นมาในใจ และลงจากรถม้าด้วยการพยุงของมู่ฉินเจิน

นางเดินเข้าไปหาเด็กเหล่านั้นด้วยใบหน้าเย็นชา และปรายตามองพวกเขา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาจับขั้วหัวใจ “ว่ามาสิ พวกเจ้ามีความแค้นอะไรกัน ถึงขนาดต้องยกพวกมาทุบตีพวกเขาทั้งสองเลยหรือ?”

ลูกชายอันหยางปั๋วที่เป็นหัวหน้ารู้สึกหวาดกลัวกับรังสีเย็นชาของเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินที่ไม่พูดอะไร จนถอยหลังไปสองสามก้าว

แต่เมื่อคิดว่ามีคนในครอบครัวให้ท้ายตนอยู่ เขาก็ตะคอกขึ้นมาอย่างองอาจ “พวกเขาแอบมาฟังพวกเราเรียนหนังสือกัน สำนักศึกษาของเรามีแต่คนสูงส่งเท่านั้นถึงเข้าเรียนได้ คนชั้นต่ำอย่างพวกเขาจะมาแอบฟังได้อย่างไร? พวกข้าทำเช่นนี้เพื่อสั่งสอนพวกเขา!”

เฉียวเยี่ยนฟังเขาพูดจบ ก็หันไปมองเด็กชายตัวเล็กสองคนที่ถูกทุบตีจนใบหน้าบวมช้ำดำเขียวผู้ซ่อนตัวอยู่หลังองครักษ์ แล้วเอ่ยอย่างนิ่มนวล “เป็นดั่งที่พวกเขาพูดไหม?”

เห็นได้ชัดว่าเด็กชายทั้งสองหวาดกลัว พวกเขาตัวสั่นเล็กน้อย และเอ่ยด้วยเสียงเบา “ใช่ขอรับ”

ครอบครัวของพวกเขายากจนมาก ไม่สามารถส่งพวกเขาเข้าเรียนได้ แต่พวกเขาอยากเรียนมาก จึงแอบวิ่งไปฟังการสอนอยู่นอกห้องเรียน แต่กลับถูกคนกลุ่มนี้พบเข้า

เฉียวเยี่ยนเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสองอย่างช้าๆ พลางยื่นมือไปแตะศีรษะเล็กของพวกเขาเบาๆ และเอ่ยปลอบโยน “พวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก รักการเรียนรู้เป็นเรื่องที่มีเกียรติมาก ไม่ต้องละอายใจในเรื่องนี้ ”

คนที่มาจากครอบครัวยากจนกลับมีสำนึกในการเรียนรู้สูงส่งกว่าคนที่อ้างว่าเป็นคนสูงส่งทว่ารังแกผู้อื่นอีก!

เด็กชายทั้งสองตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่คิดเลยว่าสตรีงามตรงหน้าจะพูดเช่นนี้ พลันในตาก็เอ่อคลอน้ำตาขึ้นมา

นอกจากพ่อแม่แล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีใครสนับสนุนพวกเข้าเรียนหนังสือ คนอื่นบอกว่าคนต่ำต้อยยากจนเรียนไปก็ไร้ค่า คนยากไร้อย่างพวกเขาไม่ควรทำในสิ่งที่คนมั่งมีเขาทำกัน

เมื่อเด็กที่ทุบตีเด็กสองคนได้ฟังเด็กทั้งสองสารภาพว่าแอบมาฟังการเรียน สีหน้าของพวกเขาก็หยิ่งผยองขึ้นทันใด

“ได้ยินหรือยัง? พวกเราไม่ได้โกหก เป็นแค่พวกจัณฑาลสองคนที่มาแอบฟัง ทำให้สำนักศึกษาเรามีมลทินไปหมด!”

เฉียวเยี่ยนได้ยินเขาพูดคำก็จัณฑาล สองคำก็จัณฑาล ก็ตะโกนขึ้นมาด้วยโทสะ “หุบปาก!”

“ข้าถามเจ้าหน่อย สิ่งที่เจ้าเรียกว่าจัณฑาลกับผู้มีเกียรติอย่างพวกเจ้ามันแตกต่างกันตรงไหน? ข้อแตกต่างคือเจ้าเพียงได้เกิดในที่ดีๆ และมีพ่อที่ดีเท่านั้น”

“แต่อาศัยบารมีพ่อนับว่าเป็นความสามารถอะไร เจ้าเคยมีส่วนร่วมทำให้ครอบครัวของเจ้าเจริญรุ่งเรืองบ้างไหม? หรือเจ้ามีความสามารถอันใดที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้าสูงส่งกว่าคนอื่น?”

“ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ เจ้าไม่มีอะไรเลย นอกจากมีพ่อที่มีหน้ามีตาแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเลย หากพวกเจ้าเกิดในครอบครัวยากจนเช่นเดียวกัน ด้วยความสำนึกในอุดมคติของเจ้า เจ้าเทียบอะไรไม่ได้กับคนจัณฑาลสองคนนี้ด้วยซ้ำ!”

บุตรชายอันหยางปั๋วหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ ก่อนพุ่งไปผลักเฉียวเยี่ยนด้วยความโกรธ ทว่ามู่ฉินเจินมือไม้ว่องไว เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อด้านหลังเด็กชายเอาไว้แล้วโยนลงพื้น ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “จวนอันหยางปั๋ว ประเสริฐมาก เปิ่นกงจะไปเยี่ยมเยียนเป็นอย่างดีแน่นอน!”

บุตรชายอันหยางปั๋วตกตะลึงกับสรรพนามแทนตัวเองของมู่ฉินเจิน ชายผู้นี้เรียกตนว่าเปิ่นกง มีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่เรียกตัวเองอย่างนี้

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลง เอ่ยถามพลางตัวสั่น “จะ…เจ้าเป็นใคร?”

เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กเปรตตกใจกลัวแล้ว องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก่อนคำรามอย่างดุดันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บังอาจนัก! ริอาจดูหมิ่นองค์รัชทายาทกับไท่จื่อเฟย ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีหัวแล้วสินะ!”

ตอนนี้บุตรชายอันหยางปั๋วรู้สึกหวาดกลัวอย่างขีดสุด ก่อนตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นด้วยขาอันสั่นเทา และวิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล

“หยุด!”

เฉียวเยี่ยนเรียกเขาให้หยุด ทำให้เขาตกใจ และหันกลับมาอย่างงกงัน

เฉียวเยี่ยนหัวเราะเยาะ และเอ่ยต่อ “อาศัยบารมีพ่อนั้นนับว่าเป็นความภาคภูมิอย่างหนึ่งของเจ้า แต่อย่ารังแกเด็กที่ยากไร้ และอย่าดูถูกคนอื่น คนที่เจ้าดูถูกในวันนี้ อาจเป็นคนที่เจ้าเทียบไม่ได้ในอนาคตก็ได้”

“เจ้าหนุ่มน้อย ตั้งสติหน่อย ด้วยนิสัยอันเลวร้ายของเจ้าแล้ว ไม่ช้าก็เร็วทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษสะสมไว้จะถูกเจ้าทำลายไปจนหมดสิ้น!”

บุตรชายอันหยางปั๋วฟังสิ่งที่นางพูดแล้วก็กริ้วโกรธอย่างมาก แต่เนื่องด้วยสถานะของอีกฝ่าย เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันวิ่งหนีไป

ครั้นเด็กชายสองคนที่ถูกช่วยเหลือไว้รู้ว่าคู่สามีภรรยาตรงหน้าคือองค์รัชทายาทกับไท่จื่อเฟย ก็ตกตะลึงค้างอยู่กับที่ ก่อนถูกเฉียวเยี่ยนลูบหัว ถึงได้มีสติกลับมา

พวกเขาพากันคุกเข่าลงกับพื้น และโค้งคำนับให้เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจิน “โม่จื่อเฟย/โม่จื่อหาน ขอบพระทัยองค์รัชทายาท ไท่จื่อเฟยที่ช่วยชีวิตไว้”

สองพี่น้องมีอายุครบแปดขวบในปีนี้ พวกเขาเป็นฝาแฝดกันก็จริง ทว่าหน้าตากลับไม่เหมือนกันเลย แต่ละคนต่างมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

เฉียวเยี่ยนชอบสองพี่น้องคู่นี้มาก แม้จะเพิ่งรู้จักกันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่านางกลับรู้ว่าเด็กสองคนนี้นิสัยดี เพราะดวงตาไม่สามารถหลอกลวงผู้คนได้

ดวงตาสดใสเด็ดเดี่ยว ทว่าถึงพร้อมด้วยวุฒิภาวะ ไม่สมกับอายุที่ยังน้อยอยู่

นางบอกให้เด็กทั้งสองลุกขึ้น ก่อนหยิบเงินยี่สิบตำลึงจากถุงเงินออกมามอบให้โม่จื่อเฟย “ข้าช่วยอะไรพวกเขามากไปกว่านี้ไม่ได้ พวกเจ้าต้องพึ่งพาตัวเอง หาสำนักศึกษาเอกชนธรรมดาๆ ที่น่าเชื่อถือ เงินยี่สิบตำลึงนี้น่าจะพอสำหรับค่าเล่าเรียนในหนึ่งปีของพวกเจ้า”

มอบข้าวหนึ่งถุงรำลึกเป็นบุญคุณ เพิ่มข้าวหนึ่งกระสอบกลับนำมาซึ่งความแค้น[1] แม้นางจะมีความสามารถที่จะให้เด็กทั้งสองได้เรียนในโรงเรียนที่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วทางเดินเป็นของพวกเขาเอง และพวกเขาต้องเดินด้วยตัวเอง

เงินหนักยี่สิบตำลึงถูกยัดไว้ในมือโม่จื่อเฟย เขารู้สึกว่ามันร้อนมาก จึงรีบยัดเงินกลับเข้าไปในมือของเฉียวเยี่ยน ทว่ามู่ฉินเจินพานางกลับไปแล้ว

เขาไล่ตาม และพูดอย่างร้อนรน “ขอบพระทัยไท่จื่อเฟยที่มีน้ำใจ ทว่าเงินพวกนี้พวกข้าน้อยรับไว้ไม่ได้ ได้โปรดรับกลับคืนไปเถิด”

เฉียวเยี่ยนหันไปยิ้มให้กับเขา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นเด็กดีถึงให้เงินแก่พวกเจ้า ดังนั้นตั้งใจเรียน อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”

องครักษ์ขวางทางโม่จื่อเฟยไว้ จวบจนเจ้านายทั้งสองขึ้นรถม้าแล้ว เขาถึงได้ขับรถม้าทะยานออกไป

โม่จื่อเฟยกับโม่จื่อหานจ้องมองรถม้าที่แล่นออกไปไกลด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทว่าในขณะเดียวกันก็มีความคิดเกิดขึ้นในใจของพวกเขา ‘เราต้องตั้งใจเรียน และไม่ทำให้ไท่จื่อเฟยผิดหวัง!’

[1] มอบข้าวหนึ่งถุง รำลึกเป็นบุญคุณ เพิ่มข้าวหนึ่งกระสอบ กลับนำมาซึ่งความแค้น หมายถึง เมื่อยื่นมือช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน แม้เป็นการช่วยเล็กน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งในบุญคุณ ทว่าเมื่อช่วยเหลือมากขึ้น จนอาจช่วยไม่ไหว อีกฝ่ายกลับรู้สึกโกรธแค้นแทน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จวนอันหยางปั๋วเตรียมตัวต้อนรับไท่จื่อเลยค่ะ ลูกชายไปทำเรื่องงามหน้าต่อหน้าราชวงศ์เข้าแล้ว

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด