ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 32 เริ่มสร้างเรือนกระจก (รีไรท์)
ตอนที่ 32 เริ่มสร้างเรือนกระจก (รีไรท์)
ตอนที่ 32 เริ่มสร้างเรือนกระจก (รีไรท์)
อย่ามองว่าไข่ผัดซีอิ๊วหน้าตาดูไม่ค่อยดี เพราะรสชาติของมันอร่อยล้ำยิ่งนัก หากได้ฉีกฮวาจ่วนที่ดูดซึมน้ำแกงซี่โครงหมูแล้วทาไข่ผัดซีอิ๊วลงไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว รับรองว่าอร่อยอย่าบอกใครเชียว
ฮ่องเต้ไม่ได้เสวยพระกระยาหารจริงจังแบบนี้มานานแล้ว พระองค์จึงเสวยจนพระโอษฐ์เลอะไปด้วยน้ำมัน ทว่าซี่โครงหมูมีขนาดใหญ่เกินไป ใช้ตะเกียบคีบไม่สะดวกนัก จึงตัดสินใจแทะด้วยพระหัตถ์ จนดูเหมือนเด็กน้อยใส่เอี๊ยมกำลังแทะซี่โครง
อย่ามองว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่วัน ๆ เสวยแต่อาหารชาววัง น้ำแกงใสที่ดูน่ากินแต่ไม่อร่อยเหล่านั้น ใครกินเข้าไปก็จะรู้ว่ามันเทียบไม่ได้กับไข่ผัดซีอิ๊วที่เฉียวเยี่ยนทำ
ปกติแล้วฮองเฮามักจะเสวยอาหารรสชาติเบา ๆ แต่วันนี้พระนางตบะแตกเสียแล้ว
พระนางโปรดไข่ผัดซีอิ๊วเป็นพิเศษ จึงลงมือตักไข่ผัดซีอิ๊วราดลงไปบนข้าวหนึ่งช้อน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใช้ตะเกียบคีบผัดต้นกระเทียม ทั้งหอมทั้งอร่อย
ฮวาจ่วนชิ้นสุดท้ายถูกมู่ฉินเจินคีบไป ฮ่องเต้จึงกลอกพระเนตรใส่
เจ้ามีภรรยาทำให้กินทั้งคนแล้ว ยังจะมาแย่งข้ากินอีก มันใช้ได้หรือ?
มู่ฉินเจินแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาโกรธเคืองของชายชรา เขาใช้ตะเกียบฉีกฮวาจ่วนออกเป็นสองส่วน แล้วราดน้ำแกงซี่โครงหมูตุ๋นลงไป สุดท้ายก็ยัดเข้าปากด้วยท่วงท่าสง่างาม
สายพระเนตรที่ฉายความเคียดแค้นของฮ่องเต้เริ่มหนักข้อขึ้น พระองค์รีบคีบซี่โครงหมูสองชิ้นมาวางไว้ในจานของตัวเองทันที
ฮองเฮาไม่มีหน้าไปมองสองพ่อลูกที่ทำเหมือนเป็นเด็กแล้ว จึงเรียกเด็กน้อยทั้งสองกินข้าว
เด็กทั้งสองเป็นเด็กที่ทำให้คนไร้ความกังวลในยามกินข้าวมากที่สุดแล้วเท่าที่พระนางเคยเห็นมา ทั้งสองสวมเอี๊ยมตัวเล็ก นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารเล็ก ๆ และกินอาหารที่เฉียวเยี่ยนป้อนให้พวกเขาอย่างเชื่อฟัง
แก้มที่ยัดอาหารจนป่องนูนนั้นดูน่ารักและกระตุ้นความอยากอาหารให้ผู้พบเห็น
ไม่รู้ว่าเฉียวเยี่ยนสอนมาอย่างไร ไยจึงเชื่อฟังถึงเพียงนี้ แม้แต่ลูกชายนางตอนเด็กก็ยังไม่หมดห่วงเท่านี้เลย
ทุกคนรับประทานอาหารมื้อนี้กันอย่างสบายใจยิ่งนัก แม้กระทั่งระบบตัวน้อยยังลูบท้องที่นูนป่องและเอนกายอยู่บนเก้าอี้พลางเรอออกมา
เอิ้ก…อยู่กับโฮสต์ช่างมีความสุขจริง ๆ ไม่เพียงแต่จะได้กินอาหารอร่อย ๆ แต่ยังได้ซื้อกระโปรงสวย ๆ อีกด้วย
……
หลังจากพักอยู่ในวังมาสองวันแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ปล่อยพวกเขากลับไปอย่างไม่เต็มใจ
ครอบครัวเฉียวเยี่ยนกลับไปที่ตำหนักอ๋อง
ฝ่าบาทออกคำสั่งนับพันครั้งว่าให้เฉียวเยี่ยนพาเด็ก ๆ เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาสองเฒ่าบ่อย ๆ จนเกือบจะออกราชโองการแล้ว
แน่นอนว่านัยหนึ่งเป็นเพราะคิดถึงเด็กทั้งสอง และอีกนัยหนึ่งคืออยากรับประทานอาหารที่นางทำ
หลังจากเสวยอาหารที่เฉียวเยี่ยนทำมาสองวันแล้วเสวยอาหารที่ทำโดยห้องเครื่อง พวกเขาก็รู้สึกว่ามันช่างขาดรสชาติ และทำให้คนแก่ทั้งสองรู้สึกขมขื่นต่ออาหารหรูหราบนโต๊ะจนเสวยแทบไม่ลง
ข่วงนี้เฉียวเยี่ยนยุ่งมาก นางพากลุ่มข้ารับใช้ไปกำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ยกล้าหัวไชเท้าที่ปลูกในตำหนักทุกวัน
หัวไชเท้าที่หว่านกล้าไว้ก่อนหน้านี้งอกออกมาแล้ว เมื่อมองออกไปไกลก็จะเห็นผืนดินเขียวขจี ดูมีชีวิตชีวา และต้นกล้าน้อยแต่ละต้นก็งอกงามออกมาได้น่ารักเป็นพิเศษ
ตั้งแต่เหล่าข้ารับใช้ตัวแสบในตำหนักถูกขายออกไป เหล่าคนที่เหลือจึงเชื่อฟังเป็นพิเศษ และตามเฉียวเยี่ยนไปทำสวนอย่างตั้งใจทุกวัน
ยามนี้ได้เห็นต้นกล้าที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อของพวกเขาแล้ว แต่ละคนก็ตื่นเต้นมากกว่าเฉียวเยี่ยนเสียอีก
นอกจากหัวไชเท้าแล้ว ผักอื่น ๆ ที่เฉียวเยี่ยนปลูกก็แตกหน่อแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผักกาดขาว ผักชี และกุยช่าย…
อีกไม่นานก็จะได้กินผักที่ตัวเองปลูกแล้ว
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์และเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ในเวลานี้กำลังรดน้ำต้นไม้ในกระถางด้วยบัวรดน้ำขนาดเล็ก
เฉียวเยี่ยนมอบหมายงานให้กับเด็กน้อยทั้งสองเพื่อฝึกฝนทักษะการสังเกตของเด็ก ๆ แต่ละคนปลูกต้นไม้ในกระถางขนาดเล็ก และให้บันทึกกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การหว่านไปจนถึงการเก็บเกี่ยว
ลูก ๆ ทั้งสองชื่นชอบงานนี้มาก และเลือกเมล็ดหัวไชเท้าด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่เฉียวเยี่ยนให้พวกเขาหาใช่เมล็ดหัวไชเท้าขาวขนาดใหญ่ แต่เป็นหัวผักกาดแดงน่ารัก
นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่นางเพิ่งซื้อมาจากระบบ นางยังไม่เคยปลูก จึงเอามาให้ลูกทั้งสองฝึกมือ
ตอนนี้หัวผักกาดแดงงอกออกมาแล้ว ใบสีเขียวอ่อนเล็ก ๆ โผล่พ้นดินออกมาสองใบ ดูแล้วน่ารักยิ่งนัก
นอกจากดูแลต้นกล้าหัวไชเท้าในตำหนักแล้ว ช่วงนี้เฉียวเยี่ยนยังสำรวจหมู่บ้านสองสามแห่งใกล้เมืองหลวงของมู่ฉินเจิน เพราะอยากเลือกสถานที่เหมาะสมที่หนึ่งในการสร้างเรือนกระจก
นางวางแผนจะปลูกผักนอกฤดูในเรือนกระจก อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะซบเซา หากนางสามารถผลิตผักใบเขียวได้ ปริมาณที่ได้นั้นแค่คิดดูก็รู้แล้ว
หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าหมู่บ้านลวี่หลัวนอกชานเมืองเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุด มันอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ภูมิประเทศก็เป็นที่ราบ และที่สำคัญที่สุดคือใกล้กับตัวเมือง หากถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จะสะดวกในการขนส่งผัก
แต่ก่อนที่จะสร้างเรือนกระจกอย่างเป็นทางการ นางตั้งใจจะสร้างเรือนกระจกในตำหนักเพื่อทดลองเสียก่อน เพราะเทคโนโลยีในยุคนี้ล้าหลัง หลายสิ่งหลายอย่างล้วนเป็นการคาดเดาของนาง จะเป็นจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้
ลานด้านทิศตะวันตกยังเหลือพื้นที่ว่างอยู่ นางจึงตั้งใจจะกันไว้สร้างเรือนกระจก พอถึงเวลาก็สามารถปลูกผักผลไม้ไว้กินเองได้
นางวาดออกแบบภาพเรือนกระจกและให้ลุงฉูนำไปให้ช่างฝีมือ ทว่าลุงฉูหามาสองสามที่แล้วก็ไม่มีผู้ใดรับคำสั่งเพราะคิดว่ามันท้าทายเกินไป
เฉียวเยี่ยนมองภาพที่ตัวเองวาดขึ้นมาในกระดาษซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกท้อใจเล็กน้อย คิดหลายพันหมื่นตลบก็ไม่สามารถหาช่างฝีมือได้เลย
ช่วงบ่าย มู่ฉินเจินกลับมาจากค่ายทหาร ในระหว่างกินข้าวเขาก็รู้สึกว่าเฉียวเยี่ยนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย สุดท้ายจึงถามด้วยความเป็นห่วง
เฉียวเยี่ยนเล่าเรื่องให้เขาฟังพลางคอตก แต่มู่ฉินเจินกลับบอกด้วยรอยยิ้มว่าให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
เดิมทีเฉียวเยี่ยนยังสงสัยเล็กน้อย นางได้เตรียมพร้อมที่จะหาคนมาทำเองเมื่อมิอาจหาช่างฝีมือได้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ามู่ฉินเจินจะหาคนมาให้นางได้ในวันรุ่งขึ้น!
ทว่าคนผู้นี้มีฐานะไม่ค่อยธรรมดา!
เฟิงเฉียนอัน รองอธิบดีกระทรวงก่อสร้าง บรรพบุรุษเป็นช่างไม้ พอถึงรุ่นเขาไม่เพียงแต่สืบทอดงานฝีมืออันประณีตจากบรรพบุรุษเท่านั้น แต่ยังได้เป็นข้าราชการในราชสำนักอีกด้วย
ครั้นเฉียวเยี่ยนได้ยินว่าเขาหาข้าราชการมาให้ นางก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที
เอาคนรับราชการมาสร้างเรือนกระจกให้นาง จะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อไปหน่อย
ความจริงแล้วสาเหตุที่เฟิงเฉียนอันตกลงสร้างเรือนกระจกให้เฉียวเยี่ยน ด้านหนึ่งเป็นเพราะฐานะของมู่ฉินเจิน แต่สาเหตุสำคัญคือเขารู้สึกทึ่งกับภาพวาดออกแบบของเฉียวเยี่ยน เขาไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างแปลกใหม่เช่นนี้มาก่อนเลย
เรือนกระจกในสมัยปัจจุบันล้วนเป็นโครงเหล็กโค้งทั้งหมด และคลุมด้วยพลาสติกเพื่อรักษาความอบอุ่น ด้านบนสุดวางตาข่ายกันลมกันแมลงและหลบเลี่ยงฝน รวมถึงติดตั้งพัดลมกับที่ระบายอากาศ ที่ระบายอากาศนำมาใช้ปรับอุณหภูมิภายในเรือนกระจก และพัดลมก็นำมาใช้เปลี่ยนสภาพอากาศในโรงเรือน
แต่ในสมัยโบราณ ไม่ต้องเอ่ยถึงไฟฟ้า แม้แต่แผ่นพลาสติกธรรมดา ๆ ก็ไม่มี แม้สามารถซื้อในระบบได้ แต่หากเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน นั่นคงไม่พ้นหาเรื่องใส่ตัวเอง
ดังนั้น นางจึงเตรียมผ้าเนื้อหยาบสีขาวชุบน้ำมันแทนแผ่นพลาสติก ด้านนอกคลุมด้วยฟางอีกชั้นเพื่อรักษาความอุ่น และเปลี่ยนโครงเหล็กเป็นเสาไม้ไผ่ที่มีความเหนียว ส่วนพัดลมและที่ระบายอากาศคงต้องใช้คนงานเติมน้ำปล่อยลมเอาเอง
นอกจากสร้างโรงเรือนแล้ว นางยังให้ช่างไม้ปรับแต่งถาดเพาะกล้า กล่องปลูกผักไร้ดิน และแปลงเพาะหน่ออ่อนด้วย
ในยุคปัจจุบัน ถาดเพาะกล้าล้วนทำจากพลาสติกซึ่งมีน้ำหนักเบา มีต้นทุนต่ำ แต่ตอนนี้เฉียวเยี่ยนทำได้เพียงแค่ให้คนใช้แผ่นไม้ที่มีคุณภาพค่อนข้างเบามาเจาะรูทำเป็นถาดเพาะกล้า
หลังจากที่เฟิงเฉียนอันได้รับแบบภาพวาด เขาก็พบจุดที่ไม่สมเหตุสมผลหลายอย่างในการออกแบบของเฉียวเยี่ยน และหลังจากได้ฟังคำแนะนำของเขา เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกว่าที่เขาพูดมาค่อนข้างสมเหตุสมผล เมื่อทั้งสองสรุปแบบสุดท้ายจนเสร็จสิ้นก็ตกลงวันเริ่มสร้าง
……
วันที่ 18 เดือน 9 อากาศแจ่มใส และเป็นวันเริ่มก่อสร้างเรือนกระจกของเฉียวเยี่ยน
เฟิงเฉียนอันนำคนงานกลุ่มหนึ่งไปยังตำหนักอ๋องซู่ตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากคนเหล่านั้นเห็นตำหนักอ๋องซู่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแปลงผักก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
พวกเขาเคยไปเยือนจวนหลายแห่ง ทุกที่ล้วนแต่ปลูกพวกดอกไม้ให้เหล่าฮูหยินคุณหนูได้เชยชม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นแปลงปลูกผักเช่นนี้
พวกเขาเคยได้ยินมาแล้วว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าเรือนกระจกที่ซู่หวางเฟยให้พวกเขาสร้างก็นำมาใช้ปลูกผักเช่นกัน
ใช้ชีวิตมาก็หลายปี นี่เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ได้ยินว่าสร้างบ้านให้ผัก มันไม่ไร้สาระเกินไปหรือ!
แต่นายช่างเฟิงบอกแล้วว่าซู่หวางเฟยให้ค่าจ้างสูงมาก และยังจัดหาอาหารให้กินอิ่ม ส่วนพวกเขาขอแค่ให้ได้เงินก็พอแล้ว จะสนใจว่าเจ้านายสร้างไปเพื่ออะไรทำไมกัน ต่อให้จะสร้างเรือนทองปลูกผัก พวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เฉียวเยี่ยนคือผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเกษตรชัด ๆ ถ้าพ่วงตำนานไปด้วยก็คือเทพเจ้าองค์หนึ่งมาโปรดมนุษย์เลย
ไหหม่า(海馬)
Comments