ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 356 มีแค่เด็กน้อยที่กินลูกกวาด

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 356 มีแค่เด็กน้อยที่กินลูกกวาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 356 มีแค่เด็กน้อยที่กินลูกกวาด

ตอนที่ 356 มีแค่เด็กน้อยที่กินลูกกวาด

เฉียวเยี่ยนรู้ว่าเมื่อนางไม่อยู่ ทั้งคู่จะช่วยนางดูแลเรือนแห่งนี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่เนืองๆ เลยพูดคุยกับพวกเขาสักพัก

หลิวซื่อได้ยินว่านางกำลังจะทำอาหาร ก็บอกว่าในบ้านนางยังมีเส้นบะหมี่ทำมืออยู่เล็กน้อย เพิ่งรีดเสร็จเมื่อบ่ายวันนี้ และรีดไว้มากไปหน่อย พวกเขาสองคนจึงกินไม่หมดและยังเหลืออีกมาก

“ท่านไม่ต้องหุงข้าวแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะกลับไปเอาเส้นบะหมี่มาให้ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากมาก เวลาป่านนี้แล้วหากยังหุงข้าวอยู่ คืนนี้ก็ไม่ต้องนอนกันแล้ว”

สองคู่รักกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เฉียวเยี่ยนจึงมิอาจปฏิเสธได้ เลยทำได้เพียงแต่ตอบตกลง และมอบผักในครัวให้พวกเขาไปเล็กน้อย

หลิวซื่อถนัดทำอาหารประเภทเส้นมาก เส้นบะหมี่ที่นางรีดออกมาล้วนเป็นเส้นสวยงาม แป้งที่ใช้ล้วนเป็นของชั้นดี

เดือนหกอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว เฉียวเยี่ยนอยู่ในห้องครัวได้ครู่หนึ่ง หลังก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อมองไปที่จานเส้นบะหมี่ทำมือขนาดใหญ่แล้ว ก็คิดจะทำบะหมี่เย็น

การทำบะหมี่เย็นนั้นง่ายมาก เพียงนำเส้นบะหมี่ลงไปต้มในน้ำร้อน ตักออกมาสะเด็ดน้ำให้แห้ง ราดน้ำมันลงไปเล็กน้อยให้เส้นไม่ติดกัน จากนั้นก็ปล่อยให้บะหมี่เย็นลง

หั่นแตงกวาเป็นชิ้นเล็กๆ และลวกถั่วงอกเล็กน้อยไว้เป็นเครื่องเคียง ก่อนปรุงทำซอสในชามโดยการใส่กระเทียมสับ ผักชี น้ำมันพริก น้ำมันงา น้ำส้มสายชู ซีอิ๊ว แล้วนำน้ำมันร้อนราดลงบนน้ำซอสเพื่อกระตุ้นให้หอม สุดท้ายโรยถั่วลิสงคั่วลงไปอีกชั้น

สวีอิงกำลังนั่งรับลมอยู่ในลานบ้าน ดวงตาก็มองคนที่วุ่นอยู่ในครัว บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

วันนี้เขาไม่พอใจสตรีคนนี้เล็กน้อย แต่ตอนนี้เห็นนางทำอาหารให้ตัวเองแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองใจแคบเกินไป

เขาไม่เข้าใจหญิงคนนี้จริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นไท่จื่อเฟยผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแบกจอบลงนาได้ แถมยังสามารถสนทนากับคนที่มีสถานะแตกต่างจากนางได้อย่างดีด้วย

ตอนนี้นางสวมชุดกันเปื้อนวุ่นอยู่กับเตาอีกครั้ง ท่าทางที่ชำนาญและคล่องแคล่วนั้นดูเหมือนกับนางใช้ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน

แต่มันเพราะเหตุใดกัน?

เห็นๆ อยู่ว่านางครอบครองอำนาจสูงส่งอยู่แล้ว นางอยากได้อะไร เพียงเอ่ยปากบอกก็จะมีคนหามาส่งตรงหน้านาง เหตุใดต้องลงมือทำเองด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาผู้ใช้ชีวิตมาสิบสี่ปีได้สัมผัสกับบุคคลแปลกใหม่อย่างเฉียวเยี่ยน ทั้งคาดเดาไม่ได้ และคิดไม่ออก

ในขณะที่เฉียวเยี่ยนผสมน้ำซอสอยู่ ก็มีเสียงดังออกมาจากนอกบ้าน คราวนี้เป็นเสียงเกือกม้า

นางมองไปทางประตูลานบ้านด้วยความแปลกใจ ก่อนเห็นองค์รัชทายาทของนางเดินจูงม้าเข้ามา ตรงหน้าอกยังมีเสี่ยวอวี่เป่าห้อยอยู่ด้วย

เบื้องหลังเขามีเด็กทั้งสี่จูงม้าแคระของตัวเองเข้ามาในลานบ้านด้วยความยากลำบาก

โรงเรียนอยู่ห่างจากเมืองพอสมควร เขามาคนเดียวคงถึงนานแล้ว แต่เป็นเพราะต้องดูแลเด็กๆ ด้วย พวกเด็กๆ ขี่ม้าค่อนข้างช้า ทำให้เมื่อมาถึงโรงเรียนก็มืดแล้ว

เฉียวเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจอย่างมาก พลางเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนลวกๆ พุ่งออกไปกอดมู่ฉินเจินและหอมแก้มเขาเบาๆ จากนั้นก็หอมเสี่ยวอวี่เป่าอย่างตื่นเต้น ก่อนเข้าไปกอดลูกทั้งสี่

หลังจากกอดกันครบหมดแล้ว นางถึงได้ถามอย่างตื่นเต้น “เหตุใดพวกท่านถึงมาที่นี่กันหมดล่ะ?”

มู่ฉินเจินถูกหอมไปหนึ่งทีก็มีความสุขมาก ก่อนตอบอย่างออดอ้อนเล็กน้อย “เจ้าอยู่ที่ไหน พวกเราย่อมตามไปอยู่ที่นั้นอยู่แล้ว”

พวกลูกๆ ก็พยักหน้าตาม ใช่ พวกเขาเป็นผู้ติดตามของมารดา มารดาอยู่ที่ไหน พวกเขาก็อยู่ที่นั่น

หัวใจของเฉียวเยี่ยนพลันอบอุ่น มองลูกทั้งสี่ที่ยังคงจูงม้าแคระอยู่ ทั้งรู้สึกภูมิใจและปวดใจ

“เด็กๆ เก่งจังเลย ขี่ม้ามาไกลขนาดนี้ได้ ระหว่างทางมาพวกเจ้ากลัวกันหรือเปล่า?”

พวกเด็กๆ ต่างเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ พวกเขาไม่กลัวหรอก พวกเขาเป็นเด้กที่กล้าหาญ!

ในบรรดาลูกทั้งสี่ ทักษะการขี่ม้าของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์นั้นดีที่สุด ตลอดทางที่ขี่มาไม่รู้สึกเมื่อยสักนิด เสี่ยวฉวนเอ๋อร์กับระบบตัวน้อยก็ขี่ได้ไม่เลวเช่นกัน ทว่ารู้สึกเมื่อยขานิดหน่อยเท่านั้น

เสี่ยวอันอันค่อนข้างสุภาพสงบเสงี่ยม จึงตามพวกพี่ๆ ไม่ค่อยทันในแง่ของศิลปะการต่อสู้กับการขี่ม้า ดังนั้นตลอดทางที่ขี่มา ตอนนี้ขาน้อยของนางยังสั่นเล็กน้อย

เฉียวเยี่ยนกอดคนตัวเล็กอย่างเจ็บปวดใจ และนวดขานางเบาๆ “วันนี้อันอันเก่งมาก แต่ครั้งหน้าหากเจ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้พ่อพาเจ้าขี่ม้าดีหรือไม่?”

เสี่ยวอันอันพยักหน้า ทว่าท่าทางที่แสดงออกกลับเด็ดเดี่ยวมาก “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าอดทนได้!”

ครอบครัวเจ็ดคนของเฉียวเยี่ยนอบอุ่นน่ารักมาก ทิ้งสวีอิงที่นั่งหัวโด่อยู่ในลานบ้านเป็นเหมือนตอไม้ท่อนหนึ่ง

เมื่อครู่เขาเพิ่งเห็นอะไรไปนะ?

ไม่คิดเลยว่าเขาจะเห็นองค์รัชทายาทกับไท่จื่อเฟยจูบกัน นี่คือสิ่งที่เขาก็ดูได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินหรือ?

มู่ฉินเจินช่วยเด็กๆ ผูกม้า ถึงได้สังเกตว่ายังมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในลานบ้าน ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่เฉียวเยี่ยน

เฉียวเยี่ยนดึงเขาเข้าไปในครัว พลางเล่าเรื่องวันนี้ให้เขาฟังด้วยรอยยิ้ม

มู่ฉินเจินไม่ได้คิดมากกับเจ้าเด็กซนที่ภรรยาเขาสั่งสอนอยู่นัก แต่เมื่อได้ยินว่านางกำลังทำอาหารให้เขา ในใจพลันรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที

เขาหน้าตึงขึ้นทันที ใช้น้ำเสียงดุดันที่สุดเอ่ยถ้อยคำน่าสงสารที่สุดออกมา “วันนี้ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลยเหมือนกัน!”

พวกเขาต่างก็เป็นคู่สามีภรรยากันมานานหลายปีแล้ว เฉียวเยี่ยนจะไม่เข้าใจความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร จึงคล้อยตามเขาทันที

“ได้ ความผิดข้าเอง ข้าจะทำให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละ”

ได้ยินคำพูดของภรรยา องค์รัชทายาทผู้เย่อหยิ่งก็มีความสุขขึ้นมาทันที ทำให้เขาดูโง่งมไปพอสมควร

พวกเด็กๆ เล่นกันอยู่ในลานบ้าน คนที่พวกเขาเล่นด้วยก็คือน้องชายคนสุดท้องนั่นเอง

เสี่ยวอวี่เป่าเพิ่งเดินเป็น สิ่งที่พวกพี่ๆ ชอบที่สุดคือแกล้งน้องชายให้เดินไปเดินมา แล้วมองเขาเดินเตาะแตะโยกตัวไปมาเหมือนเป็ดน้อย

เสี่ยวอันอันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับสวีอิงและดูพวกเขาเล่นอยู่ด้วยกัน

สวีอิงมองพวกเด็กซนที่เล่นกันเสียงดัง และมองไปยังคู่รักที่กำลังทำอาหารด้วยกันอยู่ในครัว ในใจก็เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา

เขาเกิดมาก็เป็นนายน้อยแล้ว ไม่ขาดเงิน ไม่ขาดฐานะ แต่ดูจะไม่เคยมีความสุขเหมือนอย่างพวกเขาเลย

ตอนยังเด็ก พ่อแม่ล้วนบีบบังคับให้เขาเรียน อยากให้เป็นเหมือนพี่ชายของเขา ทว่าเขาไม่สนใจหนังสือน่าเบื่อเหล่านั้นเลย จึงมักจะเรียนไม่ค่อยได้

พ่อแม่มักจะพูดเสมอว่า เหตุใดเจ้าถึงไม่ตั้งใจเรียนเหมือนอย่างพี่ชายเจ้า คุณชายบ้านนั้นบ้านนี้ได้รับคำชมจากอาจารย์ในวันนี้ หรือไม่ก็พวกเขาทั้งหมดสอบเข้าได้แล้ว แต่เจ้ากลับยังรู้จักตัวอักษรได้ไม่กี่ตัว…

คำพูดพวกนี้เขาฟังมาไม่รู้ตั้งเท่าใแล้ว เขายังจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเขาเคยถูกบิดาดุอย่างรุนแรง เขาเองก็อยากมุมานะต่อสู้ให้เข้มแข็งเกรียงไกรขึ้น ให้พวกเขาได้มองเขาอย่างประหลาดใจสักครา

ในช่วงไม่กี่เดือนนั้น เขาไม่ได้ซนเกเรเลย งานที่อาจารย์มอบหมายมาก็ทำเสร็จตรงเวลา จนเปลี่ยนจากอันดับท้ายสุดของชั้นเรียนขึ้นมาเป็นรองอันดับท้ายสุดของการสอบ

แม้จะพัฒนาขึ้นมาแค่ระดับเดียว แต่นั่นก็เป็นผลมาจากการพยายามมาอย่างเนิ่นนานของเขา

เขาคิดว่าพ่อแม่จะชมเชยเขา แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นการดุด่าอีกครั้ง ชี้ไปที่กระดาษแก้ไขข้อผิดพลาดให้เขา และเปรียบเทียบเขากับเด็กคนอื่นๆ อีก

ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่อยากพยายามอีกต่อไป อย่างไรเสียพยายามไปก็ไม่มีใครเห็น เขาเองก็ไม่อยากเชื่อฟังแล้ว ต่อให้เขาจะเชื่อฟัง พวกเขาก็ยังจับผิดเขาอยู่ดี

เขาจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นแขนก็ถูกดึงเบา ๆ เมื่อเขารู้สึกตัวกลับมา ถึงได้เห็นว่าเด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้างเขากำลังดึงแขนเสื้อเขาอยู่

เสี่ยวอันอันเปล่งเสียงถามอย่างแผ่วเบาว่า “พี่ชาย เหตุใดท่านถึงร้องไห้ล่ะ? เช่นนั้นข้าเลี้ยงลูกกวาดท่าน ท่านไม่ร้องไห้แล้วได้หรือไม่?”

เด็กน้อยพูดพลางล้วงลูกกวาดรสนมออกมาจากถุงเสื้อเล็กๆ ของตัวเองหนึ่งเม็ด นี่คือลูกกวาดที่พี่ถงถงมอบให้นาง เป็นลูกกวาดรสนมอร่อยมาก แต่ว่าท่านแม่ให้กินได้แค่วันละสองเม็ด กินมากไปจะทำให้ปวดฟันเอาได้

วันนี้นางกินไปแล้วหนึ่งเม็ด เหลือแค่เม็ดเดียวแล้ว

เด็กน้อยยื่นมือขาวนุ่มของตัวเองออกมา บนฝ่ามือมีลูกกวาดที่ห่อด้วยกระดาษสีแดงวางอยู่ และมองไปที่สวีอิงด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง

สวีอิงรู้สึกชะงักไปเล็กน้อย เขายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าตัวเองที่เปียกชื้น จนพบว่าเขากำลังร้องไห้โดยที่แม้กระทั่งตนเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ได้ร้องไห้แล้ว

สวีอิงรู้สึกอายเล็กน้อย ถูกเด็กน้อยเห็นความน่าอับอายของตัวเองกับตาเช่นนี้ก็นึกอยากดุเสี่ยวอันอันและไล่นางไป แต่เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังน่าเอ็นดูของนาง เขาพูดคำพูดรุนแรงออกมาไม่ได้จริงๆ

สุดท้ายก็เอ่ยพึมพำตรงริมฝีปาก “ข้าไม่กิน มีแค่เด็กน้อยที่กินลูกกวาดเท่านั้นแหละ เจ้ากินเองเถิด”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เข้าใจเลยว่าทำไมสวีอิงถึงปล่อยตัวปล่อยใจขนาดนี้ เป็นเพราะพยายามแล้วไม่มีใครเห็นค่านี่เอง ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้รับคำชม ก็เลยไม่ทำอะไรมันซะเลย นี่ก็เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของพ่อแม่เอเชียนะที่ชอบเอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่น สนใจแต่ผลลัพธ์ที่ตัวเองคาดหวังโดยไม่คิดเลยว่าลูกต้องพยายามมากขนาดไหน ผลลัพธ์คือลูกกลายเป็นคนไม่กล้าแสดงออก ไม่มั่นใจในตัวเอง

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด