ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 39 ฮ่องเต้และฮองเฮามาร่วมเสวยด้วย (รีไรท์)

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 39 ฮ่องเต้และฮองเฮามาร่วมเสวยด้วย (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 39 ฮ่องเต้และฮองเฮามาร่วมเสวยด้วย (รีไรท์)

ตอนที่ 39 ฮ่องเต้และฮองเฮามาร่วมเสวยด้วย (รีไรท์)

เฉียวเยี่ยนหั่นเนื้อติดมันกับหมูสามชั้นเป็นชิ้นใหญ่ ซี่โครงก็สับเป็นชิ้นใหญ่เช่นกัน จากนั้นตั้งหม้อให้ร้อน นำเนื้อติดมัน เนื้อหมูสามชั้นลงไปผัดให้น้ำมันออกมา เสร็จแล้วก็เทซี่โครงลงไปทอดจนเป็นสีเหลืองน้ำตาล แล้วก็ใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ สุดท้ายเติมน้ำและตุ๋นเอาไว้ รอจนเกือบจะสุกก็ใส่มันฝรั่งและผักต่าง ๆ ลงไป

อาหารหม้อเดียวนี้ดูเรียบง่าย แต่มีโภชนาการเพียงพอและยังมีเนื้อมากมาย เมื่อน้ำแกงเดือดปุด ๆ กลิ่นหอมก็โชยออกมาจนเหล่าคนงานในเรือนกระจกได้กลิ่น

พี่สาวคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นสูดดมอย่างแรง “ทำไมมันหอมจังเลย นี่มันกลิ่นเนื้อนี่!”

ครอบครัวยากจนได้กินเนื้อไม่กี่ครั้งต่อปี ปกติผัดผักใส่น้ำมันมากเกินไปหน่อยก็ยังทำใจไม่ได้ พอมายามนี้ได้กลิ่นเนื้อหอมฟุ้งโชยมาเป็นระลอก จะไม่รู้สึกว่าหอมได้อย่างไร

พวกบ่าวและสาวรับใช้ที่มาจากตำหนักอ๋องรู้ว่าอาหารที่หวางเฟยทำนั้นอร่อยเพียงใด ก็ทำงานไปด้วย เล่าถึงรสชาติอาหารที่เฉียวเยี่ยนทำให้เหล่าคนงานฟังไปด้วย จนมีคนกลุ่มหนึ่งกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ

อาหารเกือบจะสุกแล้ว เหล่าคนงานยังไม่เลิกงาน แต่พวกเด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ด้านข้างกลับตามกลิ่นหอมมา

ภายใต้การนำของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เหล่าเด็กน้อยก็ตรงไปขออาหารที่เฉียวเยี่ยนในห้องครัว

เฉียวเยี่ยนเห็นมือเด็ก ๆ เต็มไปด้วยโคลนจึงพาพวกเขาไปล้างมือ หลังจากแน่ใจว่าทุกคนสะอาดแล้ว ก็หยิบชามและตะเกียบมาให้พวกเขารับประทานก่อน

จวบจนเหล่าคนงานทำงานเสร็จและออกมาเห็นลูกตัวเองกินข้าว พวกเขาก็รู้สึกทั้งขอบคุณและละอายใจ เดิมทีคิดว่าลูกยังเล็ก อยู่ที่บ้านไม่มีใครดูแล จึงพามาที่เรือนกระจก ไม่คิดเลยว่าจะได้กินอาหารของเจ้านายถึงหนึ่งมื้อ

เฉียวเยี่ยนไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรในใจ นางเรียกพวกเขามากิน แต่ละคนมีชามใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวขาวผสมข้าวโพด และตักเนื้อผักกับน้ำแกงช้อนใหญ่หนึ่งช้อน คลุกเข้าด้วยกัน ทำให้อาหารทั้งชามดูน่าอร่อยยิ่งขึ้น

แต่ละคนกินอย่างตะกละตะกลาม เหล่าคนงานหญิงก็ไม่สงวนท่าทางเช่นกัน ตักจ้วงข้าวไม่หยุด บางคนเหลือเนื้อเอาไว้ในชาม ส่วนตนกินแต่ข้าวกับผัก และคิดจะเอาเนื้อที่เหลือไว้กลับไปให้เด็ก ๆ ที่บ้าน

เฉียวเยี่ยนเห็นก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย ทุกคนล้วนมีลูกกันหมด นางรู้ว่าการเป็นพ่อแม่คนนั้นเป็นอย่างไร มีอะไรดี ๆ ก็อยากแบ่งปันให้ลูก ๆ

หมูครึ่งตัวที่นางซื้อมายังมีเหลืออยู่ อีกเดี๋ยวนางจะให้คนแบ่งให้คนงานแต่ละคนที่มาทำงาน

เหล่าคนงานมาทำงานครึ่งวัน ไม่เพียงแต่ได้กินอิ่ม แต่ยังได้เนื้อที่ถูกยัดมาให้ตอนกลับด้วย ต่อให้พวกเขาจะหน้าด้านแค่ไหนก็ยังเกรงใจ และเอ่ยขอบคุณเฉียวเยี่ยนจากก้นบึ้งหัวใจ วันต่อไปที่มาทำงานก็จะตั้งใจเป็นพิเศษ

ครั้นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ครอบครัวของเฉียวเยี่ยนก็ต้องกลับเข้าเมือง เด็กทั้งสองจึงได้บอกลาเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาทั้งวันอย่างไม่เต็มใจนัก

ระหว่างนั่งอยู่ในรถม้า เฉียวเยี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดแผ่นหลังที่ชุ่มเหงื่อของเด็ก ๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มสดใส “วันนี้ลูก ๆ เล่นกันสนุกหรือไม่?”

เจ้าปลาอ้วนเงยหน้าขึ้น เอ่ยตอบด้วยเสียงน่ารัก “สนุกเจ้าค่ะ”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไม่พูดอะไร ทว่าเห็นท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่าเขาอารมณ์ดีอย่างยิ่ง

ในขณะที่เฉียวเยี่ยนยิ้มก็นึกไปถึงระบบตัวน้อย หากนางสามารถเล่นสนุกด้วยกันเหมือนอย่างลูก ๆ นางได้ บางทีก็อาจจะมีความสุขเช่นกัน

“ระบบ รอปลูกผักฤดูนี้แล้ว ก็อาจจะเพิ่มระดับขึ้นได้ เจ้ารออีกหน่อย ข้าจะพยายามหาเงินให้เจ้าได้ออกมาเร็วที่สุด”

ระบบตัวน้อยสูดน้ำมูก ซาบซึ้งใจจนดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา โฮสต์ช่างดีกับนางจริง ๆ

นางเห็นเวทีโต้วาทีโดยบังเอิญในโลกของระบบ มีระบบบางคนน่าสงสารมาก หลังจากช่วยโฮสต์แลกคะแนนแล้ว โฮสต์กลับไม่ปล่อยให้ใช้คะแนน ไม่สามารถซื้อของว่างหรือซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ได้ เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็คิดว่าตัวเองช่างโชคดีจริง ๆ

ท่านโฮสต์ให้นางได้ซื้อของตามใจ บางครั้งก็ทุ่มให้ชนิดหมดหน้าตัก และยังได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่โฮสต์ทำอีก…

[ขอบคุณท่านโฮสต์ ความจริงข้างในนี้ก็สนุกเช่นกัน ระบบไม่รีบร้อน ท่านโฮสต์ก็ไม่ต้องรีบร้อนนะ]

เฉียวเยี่ยนถอนหายใจ เด็กน้อยอ่อนโยนหลอกง่ายขนาดนี้ โชคดีที่ติดตามนาง หากตามคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าจะถูกหลอกไปเท่าไร

มู่ฉินเจินสังเกตเห็นเฉียวเยี่ยนตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในหัว จึงกระแอมไอออกมาเบา ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของนาง

“วันก่อนเสด็จพ่อบอกข้าเรื่องที่จะให้ฉวนเอ๋อร์กับอวี๋เอ๋อร์ไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

กั๋วจื่อเจี้ยน?

เฉียวเยี่ยนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เด็ก ๆ อายุแค่สามขวบ ไม่เด็กเกินไปหน่อยหรือ?”

มู่ฉินเจินพยักหน้าเล็กน้อย พวกเขายังเด็กจริง ๆ หากทั้งสองเข้าเรียน พวกเขาจะกลายเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในกั๋วจื่อเจี้ยน

แต่แววตาเสี่ยวฉวนเอ๋อร์กลับเปล่งประกายเมื่อได้ยินคำว่ากั๋วจื่อเจี้ยน และมองไปที่มู่ฉินเจินทันที “ท่านพ่อ อาจารย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนนั้นเก่งมากใช่หรือไม่ขอรับ?”

นั่นต้องเก่งมากอยู่แล้ว อาจารย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนล้วนได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากศิษย์หลายพันคน ทั้งความรู้และศีลธรรม ล้วนหาใช่คนธรรมดาจะเอื้อมถึง

ครั้นเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกโหยหาอะไรบางอย่างเป็นครั้งแรก และกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกอยากไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”

เขาไม่พอใจกับการเรียนรู้แบบอิสระของมารดาอีกแล้ว เขาอยากได้คำชี้แนะของอาจารย์เก่ง ๆ

เฉียวเยี่ยนกุมหน้าผาก ลูกเอ๋ย เจ้าอายุแค่สามขวบ เราไม่ต้องรีบร้อนหรอก!

มู่ฉินเจินมองไปที่เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมา “ลูกคิดดีแล้วหรือ? ไปแล้วจะมาเสียใจไม่ได้นะ”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ลูกไม่เสียใจ”

มู่ฉินเจินลูบใบหน้าลูกชายอย่างภูมิใจ ฉวนเอ๋อร์คล้ายเขามากจริง ๆ ตอนนั้นเขาก็เข้าเรียนตอนอายุสามปี และผลการเรียนของเขาก็ชนะขาดเหนือศิษย์ทุกคนในกั๋วจื่อเจี้ยน

เฉียวเยี่ยนไร้ทางเลือก มองดูเจ้าปลาอ้วนที่นอนกินเนยแข็งแท่งอยู่บนพื้นพรม “ลูกรัก เจ้าอยากไปเรียนกับพี่ชายเจ้าหรือไม่?”

สิ่งที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กลัวที่สุดก็คือการเรียน เมื่อได้ยินว่าจะต้องไปเข้าเรียน ศีรษะน้อย ๆ ก็ส่ายรัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ลูกไม่ไป ไปเรียนไม่สนุก!”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์บีบมือน้อยของน้องสาว และเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจัง “น้องหญิง ในกั๋วจื่อเจี้ยนมีสหายมากมายมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้นะ”

เจ้าปลาอ้วนเชื่ออย่างสนิทใจ ดวงตากลมโตมีน้ำคลอ กลิ้งหลุน ๆ ไปที่เท้าเฉียวเยี่ยน และกล่าวด้วยเสียงเด็กเล็ก “ท่านแม่ ลูกจะไปเข้าเรียนกับท่านพี่ด้วย…”

มารดาปากกระตุก มองเด็กหญิงตัวจ้ำม่ำอย่างจนใจ หวังว่าถึงตอนนั้นนางจะไม่ร้องไห้นะ

……

กลางเดือนสิบเอ็ด หัวไชเท้าในตำหนักอ๋องซู่ก็เติบโตได้ที่แล้ว มันมีใบสีเขียวสดใสอวบเต่ง หลังจากนำใบอ่อนที่อยู่ด้านในสุดมาต้มจนสุกแล้วก็เอามาผัดพร้อมกับมันฝรั่งต้มสุก ผัดจนดูเหมือนมันบด ถึงหน้าตาจะดูไม่ดี แต่พอคีบน้ำมันพริกมาผสม มันก็จะอร่อยเป็นพิเศษ

นี่เป็นอาหารที่นางชอบมาตั้งแต่เด็ก กินมานานกว่ายี่สิบปีก็ไม่มีเบื่อ

หัวไชเท้าดิบสีขาวอวบใหญ่ หัวหนึ่งใหญ่มาก กินดิบก็ไม่แสบปาก ทั้งหวานทั้งฉ่ำน้ำ บ่าวและสาวใช้ในจวนไม่มีสิ่งใดทำก็มักจะชอบมาดึงหัวไชเท้าไปกิน หากไม่ใช่เพราะปลูกหัวไชเท้าไว้มาก เกรงว่าพวกเขาคงกินหมดโดยไม่ทันได้เก็บเกี่ยว

เฉียวเยี่ยนยังดองหัวไชเท้าไว้เป็นจำนวนมาก ตอนเช้าเอาไว้กินกับโจ๊กหรือกินแก้เลี่ยนก็ได้ มู่ฉินเจินคิดว่าฮองเฮาอาจจะชอบรสชาตินี้ จึงนำเข้าวังไปมอบให้พระนางไหหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้ย่ำแย่มาก ผู้เฒ่าสองคนจึงนัดกันออกจากวังเพื่อมารับประทานอาหารเย็นที่ตำหนักอ๋องซู่

พวกเขาเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดธรรมดาเสมือนคู่สามีภรรยาสามัญชน และออกจากวังไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงหวังกงกงและองครักษ์ลับสองสามคนไปด้วยเท่านั้น

เฉียวเยี่ยนกำลังดึงหัวไชเท้ากับเหล่าข้ารับใช้ และหั่นหัวไชเท้าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากตากให้แห้งก็เอามาทำเป็นผักดอง กำลังยุ่งวุ่นวายอย่างมาก ก็ได้ยินลุงฉูมารายงานว่าฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จมาเยือน

เฉียวเยี่ยนตกใจ รีบพาลูกและเหล่าข้ารับใช้ไปต้อนรับที่หน้าประตู

ฮ่องเต้และฮองเฮาได้เข้าตำหนักมาแล้ว ทันทีที่เข้ามาก็เห็นทุ่งหัวไชเท้าทีละแปลง ทั้งตกใจทั้งปีติยินดี เห็นราชอุทยานในพระราชวังจนเคยชิน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าทุ่งผักที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชนบทก็ดูไม่เลวเหมือนกัน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พอได้ยินว่าที่สำนึกศึกษามีเพื่อนเล่นนี่รีบบอกว่าจะไปเรียนเลยนะเจ้าปลาอ้วน

ตำหนักอ๋องซู่คงนับเป็นความแปลกใหม่ที่ทำให้สองผู้เฒ่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *