ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 394 (ตอนพิเศษ) เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ 2
ตอนที่ 394 (ตอนพิเศษ) เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ 2
ตอนที่ 394 (ตอนพิเศษ) เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ 2
ข้าถือตัวอวดดีมาก แม้คนตรงข้ามจะตัวสูงกว่าข้าถึงหนึ่งศีรษะ ทว่าข้าได้ยกระดับความฮึกเหิมอวดดีของตนให้สูงขึ้น ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย
ข้าเอ่ยคำรุนแรงจบก็ได้ยินผู้ชมข้างล่างพากันฮือฮาตกใจ แถมยังมีคนเยาะเย้ยข้าว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำด้วย
พี่สาวอย่างข้าจะเป็นคนประเภทปล่อยให้คนด่าแล้วไม่ด่ากลับหรือ?
ตอนนั้นเองข้าได้โต้กลับอย่างไม่ลังเล “ข้าบินไม่ได้หลบหนีไม่เก่ง ย่อมไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ? ทำไม? พวกเจ้ารู้หรือ? เช่นนั้นพวกเจ้าก็บอกสิ่งที่เป็นรูปธรรมมาให้ข้าสิ!”
ตามคาด คนเหล่านั้นถูกข้าโต้กลับจนเป็นใบ้พูดไม่ออก ทำให้ข้ายืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิ และรู้สึกมีความสุขอย่างมาก
ทว่าสหายเก่าฝั่งตรงข้ามกลับหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็เผยรอยยิ้มบางแสดงความไม่เห็นด้วย พอหนนี้เขาส่งเสียงหัวเราะออกมา สายตาที่มองข้าประหนึ่งมองสัตว์ร้าย สรุปคือไม่ได้มองว่าเป็นคนสักนิด!
ข้าโกรธมาก จึงส่งสายตากลับไปเหมือนแบบเดียวกัน มองเขาเป็นแค่หนูขาวตัวใหญ่พิลึกพิลั่นตัวหนึ่ง
อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวที่ห่อหุ้มกายนั่น ทำให้เขาเป็นแค่หนูตัวโตสีขาวตัวหนึ่งมิใช่หรือไร!
แต่เมื่อหลายปีผ่านไป จู่ๆ ข้าก็จำเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ จึงหยิกเนื้อเขาถามว่าเหตุใดตอนนั้นถึงได้มองข้าเช่นนั้น
เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่าข้าในตอนนั้นเหมือนหมูสีชมพูตัวน้อยที่แย่งอาหารได้สำเร็จแล้วก็ทำท่าลำพองใจ
นั่นประไร ชายคนนี้มองข้าเป็นสัตว์ร้ายจริงๆ ด้วย!
หลังจากประจัญบานกันสั้นๆ เราก็เริ่มต่อสู้กัน
ในสายตาคนนอก เขาเป็นสุภาพบุรุษมาก มือหนึ่งไพล่หลัง ใช้แค่เพียงมือเดียว และถือพัดในมือมาต่อกรกับข้า
ทว่าในสายตาข้า นี่มันเป็นการเสแสร้งชัดๆ สหายเก่าคนนี้น่ารำคาญมาก เห็นทีข้าต้องสั่งสอนให้เขาเป็นคนหน่อยแล้ว!
ทว่าผลก็คือ…
เหมือนกับว่าข้าถูกสั่งสอนให้เป็นคนเสียเอง
ข้าโอ้อวดตัวเองว่าเก่งที่สุดในยุทธภพแล้ว ทว่าหมาบ้าตัวนี้กลับจัดการข้าได้อย่างง่ายดาย แถมยังแกล้งข้าสารพัดอย่างอีกด้วย
ข้าเฆี่ยนเขาด้วยแส้ แต่แส้เส้นเล็กของข้าดูเหมือนจะไม่ฟังคำสั่งเมื่อปะทะกับเขา ไม่เพียงถูกเขาแย่งแส้ไป แต่ยังถูกแกล้งอีกด้วย
เขาเรียกข้าว่าสหายตัวน้อยอีกครั้ง แม้ข้าจะโกรธเหมือนปลาปักเป้าพองลมก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่เห็นใจข้าเลยแม้แต่น้อย แถมยังเอาเกลือมาโรยบนแผลของข้า
เขาพูดว่า “สหายตัวน้อย เจ้าเก่งมาก แต่สู้กับข้าแล้วเจ้ายังต้องฝึกอีกเยอะ”
ในตอนที่เขาเอ่ยคำพูดนี้ เขากำลังยิ้ม แม้จะสวมหน้ากากอยู่ ทว่าดวงตาของเขากลับเป็นประกายแวววาว พร้อมกับมุมปากที่วาดโค้งขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังยิ้มอยู่!
วันนั้นข้าเสียหน้าอย่างใหญ่หลวงมาก ศักดิ์ศรีนางมารสีชมพูถูกเจ้าหมาบ้าคนนี้เขวี้ยงลงกับพื้นและเหยียบย่ำเละเทะไม่เป็นชิ้นดี
ตำแหน่งผู้นำที่ได้มาก็หายไปด้วยประการฉะนี้ และทำให้ข้าโกรธมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาสามวัน ที่สำคัญที่สุดคือ แส้เส้นน้อยที่อยู่กับข้ามากว่าสิบปีถูกเขาฉกฉวยไป มันคือแส้ที่บิดาทำให้ข้านะ!
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าก็กลายเป็นศัตรูกับผู้นำยุทธภพคนใหม่ ชายที่เป็นเจ้าสำนักเขาจันทร์กระจ่างอะไรนั่นแน่นอนว่าเป็นเพียงศัตรูที่ข้าคิดอยู่ฝ่ายเดียว แถมเจ้าหมาบ้านั่นก็ดูมีความสุขมากที่ได้พบข้า
เมื่อใดก็ตามที่เขากับข้าปรากฏตัวในที่เดียวกัน จะต้องเป็นอันต่อสู้จนวุ่นวายเดือดร้อนไปทั่วทุกที
และทุกครั้งล้วนเป็นข้าที่พ่ายแพ้!
ทว่าพี่สาวคนนี้หาใช่คนที่แพ้ไม่ได้ เมื่อสู้แพ้ก็แค่สะบัดตูดหนีไป คราวหน้าค่อยสู้ใหม่!
เมื่อสู้กันหลายครั้ง วรยุทธข้าก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อก่อนต้านเขาได้แค่สิบกระบวนท่า ไม่นานข้าก็ค่อยๆ ต่อสู้ได้นานกว่าครึ่งชั่วยาม
ข้าโอ้อวดตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ แต่หลังจากพบสหายเก่าคนนี้ ความมั่นใจของข้าก็ถูกตัดไปเป็นพักๆ
แต่ข้าปลอบใจตัวเองเก่งมาก เหตุที่เขาแข็งแรง คงเป็นเพราะเขาแก่แล้วแน่ๆ เขากินข้าวมากกว่าข้าไปหลายปี เมื่อข้าอายุถึงเขา จะต้องแข็งแกร่งกว่าเขาเป็นแน่!
เราต่อสู้กันหลายสิบครั้ง ทว่าข้ายังไม่รู้จักชื่อของเขา และไม่รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าเขามีเสียงไพเราะมาก
วันนั้น เราสองคนสู้กันอีกสามร้อยรอบ พอสู้กันเสร็จ ข้าก็หิว เขาเลยชวนข้ากินข้าวดื่มเหล้า
ข้ามีความมั่นใจในฝีมือตัวเองมาก จึงตามตูดคนที่ข้าถือว่าเป็นศัตรูไป
สำหรับมื้อแรก เขาซื้อไก่ย่างกับเหล้าองุ่นหนึ่งเหยือกให้ข้า ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นของโปรดของข้า
ข้าคิดว่าเขาซื้อมันโดยบังเอิญ แต่กลับมารู้ทีหลังว่าเขาวางแผนไว้นานแล้ว
ไก่ย่างซื้อมาจากร้านสาขาที่มารดาเปิด ตั้งแต่เด็กจนโตข้ากินไม่เคยเบื่อเลย เหล้าองุ่นก็เป็นสินค้าจากโรงงานของท่านแม่
ยามท่องเที่ยวไปในต่างแดน สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ข้าคลายความคิดถึงบ้าน
คืนนั้น เราสองคนนั่งอยู่บนหลังคา กินดื่มสำราญ แหงนหน้าชมจันทร์ ใจก็สงบสุขกว่าที่เคย
สหายเก่าคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจนัก เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ข้าฟังมากมาย เหมือนที่บิดาเล่าเรื่องให้ข้าฟังตอนเด็ก ดังนั้นเขากับข้าจึงกลายเป็นสหายกันจริงๆ
แม้เขาจะแย่งตำแหน่งผู้นำยุทธภพของข้าไป ทว่าข้าเป็นองค์หญิง จึงไม่เอาความสหายเก่าอย่างเขา
คืนนั้น เขาก็บอกชื่อของเขาให้กับข้า
เขาว่า “ข้าชื่อกู้หยวน ที่มาจากฉืออวี่ซือกู้หยวน*”
(*池鱼思故渊 มาจากกลอน 羁鸟恋旧林,池鱼思故渊 หมายถึง นกในกรงหวนระลึกไพรพนา ปลาในน้ำหวนนึกถึงสระลึก)
ข้าถูกสายตาเร่าร้อนนั่นจ้องมองจนดวงหน้าแดงปลั่ง รู้สึกว่าในคำพูดเขามีนัยแอบแฝง เหมือนกับสะกดจิตเจ้าปลาอย่างข้าให้กระโดดลงไปในสระลึกของเขา
ทว่าพี่สาวคนนี้จะเป็นภรรยาผู้ควบคุมดูแลทุกอย่าง ไม่ยอมถูกกักขังให้ตายอยู่ในสระน้ำนี้หรอก เป้าหมายของข้าเป็นทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเท่านั้น!
แม้ความแข็งแกร่งของสระน้ำนี้จะดีมาก สอดคล้องกับเกณฑ์หาสามีของข้า ทว่าอายุมากไปหน่อย เป็นสระน้ำที่แห้งผากไปแล้ว!
อย่าถามข้าว่ารู้อายุของสระน้ำนี้ได้อย่างไร ที่ถามนั่นล้วนเป็นเรื่องของยุทธภพ อย่าถามเรื่องไร้สาระ
ผู้คนในยุทธภพกล่าวว่า เจ้าสำนักเขาจันทร์กระจ่างแค่อาศัยตัวเองทำให้ชื่อเสียงสำนักเขาจันทร์กระจ่างโด่งดังขึ้นมาเมื่อสิบปีก่อน และกลายเป็นจุดสุดยอดของยุทธภพ
มีคนว่ากันว่าตอนนั้นได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเขากับตาตัวเอง เป็นหนุ่มหล่ออายุยี่สิบห้ายี่สิบหกคนหนึ่ง ยามนี้ผ่านมาสิบปีแล้ว เมื่อคิดคำนวณก็น่าจะอายุสามสิบห้าขึ้นไปแล้ว
อีกทั้งเขามักจะสวมหน้ากากบ่อยๆ ไม่แน่อาจจะหน้าตาไม่ดี หรือไม่ก็อาจมีริ้วรอยที่ตัวเองทนดูไม่ได้ ถึงได้ปิดบังใบหน้า
เมื่อมีความเข้าใจนี้ ข้ามักจะมองหน้ากากของสระน้ำคนนี้อย่างเหม่อลอย คนดีๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงหน้าตาไม่ดีนะ!
ข้าท่องเก็บประสบการณ์อยู่ในยุทธภพ เจ้าสระน้ำนี้อยู่เป็นเพื่อนข้าตลอด ราวกับเขาที่เป็นผู้นำยุทธภพไม่มีงานอะไรทำ และมาทำงานเป็นผู้ติดตามข้า ในขณะที่ข้าก็เข้าไปพักอยู่ในสำนักเขาจันทร์กระจ่างอันโอ่อ่า มองที่นั่นเป็นบ้านไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เราทั้งสองยังคงประลองกันอยู่บ่อยๆ เริ่มแรกยังมีคนมาดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง สุดท้ายพวกเขาก็นำม้านั่งกับเมล็ดแตงโมออกมาแทะอย่างเคยชิน และดูอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็ปรบมือร้องว่าเยี่ยม
เจ้าสระน้ำเหม็นคนนี้เกลี้ยกล่อมสาวไม่เป็นเลยสักนิด ไม่รู้จักยอมอ่อนข้อให้ข้าเลย จะต้องสู้ให้ข้าแพ้อยู่ร่ำไป
เมื่อแพ้มาหลายหน ข้าก็รู้สึกชินชา ในตอนที่ข้าจะยอมรับชะตากรรม เรื่องก็เกิดพลิกขึ้นมา
วันนั้น ข้านัดเขามาต่อสู้ พวกเราสู้กันข้างสระบัวในสำนักเขาจันทร์กระจ่าง สู้กันจากข้างสระจนไปถึงบนสะพาน จากบนสะพานลงมายังใต้สะพาน
ข้าสู้อย่างจดจ่อแน่วแน่ ไม่ได้สังเกตว่าจี้คาดเอวกำลังสั่นคลอนตกลงมา
อาวุธของเจ้าบ้าสระน้ำนี่เป็นพัดอันหนึ่ง เขาจู่โจมข้ามา ข้าบิดตัวหลบ หลังจากจี้คาดเอวสั่นไหวอย่างแรง ก็หลุดออกมาจากเอว ร่วงลงสู่สระบัว
จี้ห้อยเป็นเชือกถักรูปโดเรม่อน ซึ่งมารตาเป็นคนถักให้ หน้าตาดูน่าเกลียดเล็กน้อย ใบหน้าก็บิดเบี้ยวไปหน่อย แต่ข้าก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่ามาตลอด แถมยังเอามาจับคู่กับจี้หยกด้วย
จี้หยกที่มีโดเรม่อนติดอยู่ด้วยจมลึกลงไปใต้สระบัว ไม่เห็นร่องรอยอีกเลย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อายุห่างกันเยอะไปเปล่าอะ เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างนี่มันเข้าวัยท่านอาแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)
Comments