ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 4 พ่อลูกพบกัน (รีไรท์)

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 4 พ่อลูกพบกัน (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 4 พ่อลูกพบกัน (รีไรท์)

ตอนที่ 4 พ่อลูกพบกัน (รีไรท์)

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์หัวเราะคิกคักออกมาอย่างมีความสุข ดวงตากลมโตโค้งหยีเป็นจันทร์เสี้ยว พลางถูไถใบหน้าเล็ก ๆ กับแม่ตัวเอง แต่เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ยังคงวางมาดเช่นเดิม ทว่าแอบหันหน้าไปอีกด้านพลางยกยิ้ม

เฉียวเยี่ยนมองดูลูกชายอย่างจนใจ นางรู้นานแล้วว่าลูกชายตนเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ

หลังจากล้อเล่นกันพอแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ปล่อยทั้งสองลง และมอบหมายให้งานพวกเขา

“เด็ก ๆ ไปเก็บผักมาได้หรือเปล่า ประเดี๋ยวแม่เก็บมันเทศเสร็จแล้วจะกลับไปทำกับข้าวให้พวกเจ้ากิน”

เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พลางตอบรับด้วยน้ำเสียงน่ารัก “ขอรับ/เจ้าค่ะ”

เฉียวเยี่ยนรู้สึกปลื้มใจ และไม่ลืมกำชับพวกเด็ก ๆ ว่า “ฉวนเอ๋อร์พาน้องไปก็ระวัง ๆ กันหน่อยนะ”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์วางมาดเคร่งขรึม จูงมืออวบอ้วนของน้องสาวแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

หลังจากส่งเด็กทั้งสองที่จูงมือหิ้วตะกร้าจากไปจนลับตาแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เท้าเอวถอนหายใจออกมา “ระบบ เวลาสามปีช่างผ่านไปเร็วเสียจริง เด็ก ๆ โตกันขนาดนี้แล้ว เวลาช่างไม่เคยเมตตาใครจริง ๆ”

ระบบตัวน้อยที่เอนกายนั่งกินขนมมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบอยู่บนเก้าอี้ได้ยินเช่นนี้ก็กลอกตาใส่โฮสต์ตัวเองอย่างน่ารัก [ขอเถิด ท่านโฮสต์ ปีนี้ท่านก็เพิ่งจะสิบเก้าเองมิใช่รึ ?]

เฉียวเยี่ยนอึ้งไป อ่า ข้าลืมไปเลยว่าร่างกายนี้ยังเด็ก ตอนที่นางข้ามเวลามาคลอดลูก ร่างกายนี้เพิ่งมีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ นางก็อยากด่าร่างเดิมนี้เหลือเกินว่าทำไมทำตัวแรดเช่นนี้ เจ้าเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง จะรีบร้อนอะไร แถมยังฝืนใจผู้ชายจนทำให้ตัวเองท้องป่องขึ้นมา และที่สำคัญที่สุดคือปล่อยให้นางต้องเจ็บปวดจากการคลอดลูก!

ครั้นเห็นเด็กทั้งสองไปถึงแปลงผักอย่างปลอดภัย เฉียวเยี่ยนจึงเก็บมันเทศอย่างคล่องแคล่ว ความจริงแล้วแปลงผักอยู่ไม่ไกลแปลงมันเทศเท่าใดนัก และอยู่ในขอบเขตสายตานาง นางถึงได้วางใจปล่อยให้เด็กทั้งสองไปเพียงลำพัง

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์จูงมือน้องสาวมาถึงแปลงผัก แล้วเด็กน้อยทั้งสองก็ก้มตัวลงโก่งก้นถอนผักออกมาอย่างตั้งใจ

ฉวนเอ๋อร์ถอนต้นหอมมาไว้ในตะกร้าสองสามต้น เห็นมืออวบเล็กของน้องสาวกอบกุยช่ายขึ้นมาหนึ่งกำมือ มุมปากก็พลันกระตุก พลางเอ่ยอย่างจนใจว่า “น้องสาว ท่านแม่ต้องการต้นหอม แต่ที่เจ้าถอนมันคือกุยช่าย”

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มองผักในมือตัวเองสลับกับมือพี่ชายแล้วก็รู้สึกสงสัย เห็น ๆ อยู่ว่ามันสีเขียวเหมือนกัน

ครั้นเห็นท่าทางนิ่งค้างของน้องสาว เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างวางมาดเป็นผู้อาวุโสกว่า “ช่างเถิด ถึงอย่างไรท่านแม่ก็นำมันมาทำเป็นอาหารที่อร่อยได้”

“อืม ได้เลย”

เมื่อได้รับอนุญาต เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก็ถอนกุยช่ายคล่องแคล่วขึ้นมาทันที

…..

เมืองหลวง

ตำหนักอ๋องซู่

มู่ฉินเจินกลับมาจากชายแดนอย่างรีบเร่ง ทันทีที่เข้าไปในตำหนัก ท่านลุงฉูพ่อบ้านชราก็รีบเข้ามาและยื่นพระราชโองการขึ้นมาด้วยสองมือ

แววแปลกใจฉายผ่านดวงตาเย็นชาของมู่ฉินเจิน เขารับมาเปิดอ่านโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ

พระราชโองการของจักรพรรดิเฒ่ายังคงยืดเยื้อ และมีวาทศิลป์งดงามเช่นเดิม ทว่าใจความสำคัญกลับมีเพียงประโยคสองประโยค เขาหาใจความสำคัญในบทความเยินยอทั้งหมดนั้น และเมื่อเห็นประโยคที่ว่า ‘รับหวางเฟย[1]กลับเมืองหลวง’ เขาก็กำมือแน่น รังสีเย็นเยือกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง!

ให้ไปรับสตรีนางนั้นกลับมาหรือ? ไม่มีทาง!

เพียงแค่นึกถึงตอนถูกวางยาในวันนั้น สตรีผู้นั้นไม่สนใจความสมัครใจของเขาเลยสักนิด และยังฝืนใจเขา…

เขาชิงชังจนขบกรามแน่น! รับนางกลับมาเมืองหลวง? ไม่มีทางเสียหรอก!

เขาไม่มีวันลืมความรู้สึกสิ้นหวังและไร้ความช่วยเหลือนั้นได้!

มู่ฉินเจินม้วนพระราชโองการเข้าด้วยกัน พลางย่างสามขุมออกจากตำหนัก พลิกตัวขึ้นคร่อมม้า และควบม้าไปยังพระราชวัง

ณ พระราชวัง

ตำหนักคุนหนิง

ฮ่องเต้และฮองเฮากำลังเกษมสำราญไปกับอาหารกลางวัน ครั้นได้ยินขันทีรายงานว่าพระโอรสมาถึง ร่างกายทั้งสองพลันสั่นขึ้นมาพร้อมกันทันที!

ฮองเฮารีบวิ่งไปที่ตั่งเตี้ยข้าง ๆ แล้วนอนลงอย่างรวดเร็ว พลางเอาผ้าห่มคลุมหน้าปรับท่าทาง และปรับสีหน้าสองสามครั้ง ก่อนจะรีบแสร้งทำเป็นอ่อนแรง

ส่วนฮ่องเต้เติมซุปจนเต็มถ้วยแล้วยกมาไว้ข้างตั่ง จากนั้นก็ป้อนให้ฮองเฮาทีละช้อน

มู่ฉินเจินเดินเข้าไปในตำหนัก ภาพที่เห็นคือพระมารดาของเขากำลังนอนร้องโอดโอยอยู่บนตั่งเตี้ย โดยมีพระบิดาของเขาคอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง

เขากวาดมองอาหารมากมายบนโต๊ะ แล้วมองสีหน้าแดงฝาดของพระมารดารวมถึงคราบน้ำมันตรงมุมโอษฐ์ที่ยังไม่ทันได้เช็ด ดวงตาพลันฉายแววเยาะเย้ยออกมา

เขาไม่สนใจการแสดงของคนทั้งสอง และส่งพระราชโองการให้พระบิดาตัวเอง “เก็บกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่มีทางรับนางกลับมา”

ฮ่องเต้รับกลับมาด้วยพระหัตถ์สั่นเทิ้ม พลางจ้องพระโอรสของตัวเอง สรุปแล้วใครเป็นฮองเต้กันแน่?

“คำสั่งของราชาหนักแน่นดุจภูผา จะคืนพระราชโองการได้อย่างไร! อีกอย่าง เราให้เจ้ารับหวางเฟยกลับมาก็เพราะหวังดีต่อเจ้า! แม่เจ้าป่วยก็เพราะเรื่องนี้!”

“หากจะไปรับ พระองค์ก็ไปเองเถิด ลูกขอถวายผลดีนี้แด่เสด็จพ่อ”

มู่ฉินเจินมีสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่านัยน์ตาเจือแววโทสะ เขาโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้ฮ่องเต้กริ้วจนแทบกระอักเลือด

ฮ่องเต้ทรงกริ้วจนไอขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลางชี้ไปยังชายหนุ่มด้วยพระหัตถ์อันสั่นเทา “ไอ้เจ้าเด็กสารเลว!”

ครั้นฮ่องเต้พ่ายแพ้ ฮองเฮาที่อยู่บนเตียงจึงพยายามอย่างไม่ลดละ

พระนางหยิกขาตัวเองอย่างแรง จนพระเนตรพลันมีหยาดน้ำสั่นระริกอยู่ในนั้นทันที และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ลูกแม่ เจ้ามีอายุยี่สิบห้าปีแล้ว เจ้าควรจะมีบุตรได้แล้วสิ”

“หวางเฟยถูกเจ้าเนรเทศไปอยู่บ้านไร่ตั้งสี่ปีแล้ว ควรจะหายโมโหได้แล้ว”

มู่ฉินเจินทำความเคารพ สีหน้ายังเรียบนิ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เสด็จแม่ ลูกไม่มีวันไปรับนางกลับมา เสด็จแม่ล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเถิด”

สิ้นเสียงนั้น เขาก็หมุนตัวจะเดินออกไป แต่กลับถูกฮองเฮาเรียกไว้

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

ฮองเฮากริ้วจนไม่อาจแสร้งทำเป็นอ่อนแรงได้อีกแล้ว พระนางลุกขึ้นจากตั่ง พลางมองพระโอรสอย่างเด็ดขาด “เจ้าลูกชาย จงพูดความจริงกับแม่มา เจ้าไม่ชอบสตรีใช่หรือไม่?”

ทั่วทั้งเมืองหลวงมีข่าวลือว่าพระโอรสของพระนางเป็นพวกตัดแขนเสื้อ[2] เริ่มแรกพระนางไม่เชื่อ แถมยังโมโหจนปวดพระทัยเพราะข่าวลือเหล่านั้น

แต่ดูจากท่าทางของพระโอรสในตอนนี้แล้ว พระนางก็รู้สึกเคลือบแคลงใจขึ้นมา ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เขาคงจะไม่พาพระสุณิสาที่เป็นผู้ชายมาให้จริง ๆ หรอกใช่ไหม?

มู่ฉินเจิน “…”

“เจ้าพูดสิ! เจ้าเป็นพวกหลงหยาง[3]ใช่หรือไม่?”

ฮองเฮาตรัสถามอย่างร้อนรนและจริงจัง ฮ่องเต้ที่ชมดูความครึกครื้นอยู่ข้าง ๆ นั้นก็รอคอยคำตอบของพระโอรสด้วยสายพระเนตรวาววับ

มู่ฉินเจินมีสีหน้าถมึงทึง มองบิดามารดาตนอย่างหมดคำจะพูด สุดท้ายก็เอ่ยประนีประนอมอย่างจนใจ “ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะไปรับนางพรุ่งนี้”

……

สามวันต่อมา บ้านไร่ในเจียงเฉิง

มู่ฉินเจินพาคนกลุ่มหนึ่งควบม้ามาถึงเขตด้านนอกของบ้านไร่

รั้วที่ลายพร้อย บ้านที่ชำรุดทรุดโทรม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความทรุดโทรมของบ้านไร่แห่งนี้

มู่ฉินเจินลงจากม้า โยนเชือกบังเหียนให้ผู้ติดตาม พลางก้าวขายาวแกร่งไปทางประตูบ้านไร่

ครั้นเดินผ่านกองใบสนนอกรั้ว มู่ฉินเจินก็หยุดไปชั่วขณะ พลางจ้องการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในกองใบสนด้วยสายตาเย็นชา

ใบสนเหล่านี้พวกชาวไร่ชาวสวนมักจะเอามาใช้เป็นเชื้อจุดไฟ หรือที่เรียกว่าเชื้อปะทุใบสน และพวกชาวไร่ชาวสวนมักจะเก็บไว้ที่บ้าน

องครักษ์เกาจัวหยวนที่จูงม้าตามหลังเขามองตามสายตาเจ้านาย เมื่อเห็นว่าในกองใบสนดูผิดปกติก็พลันหายใจสะดุด พลางชักกระบี่ยาวออกมา

“ใครอยู่ตรงนั้น?”

เกาจัวหยวนตะคอกออกมาอย่างเย็นชา ผู้ติดตามสองสามคนที่อยู่ข้างหลังต่างพากันชักกระบี่ออกมา

กระบี่แหลมคมถูกชักออกมาจากฝัก ส่งเสียงกำทอนเสียดแหลมขึ้นมา ทำให้สิ่งที่เคลื่อนไหวในกองใบสนนั้นตกใจ แกล้งทำเป็นตายไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ

มู่ฉินเจินใช้สายตาส่งสัญญาณ เกาจัวหยวนรีบถือกระบี่ก้าวไปตรวจสถานการณ์ทันที

เขาระมัดระวังมาก ก้มตัวลงแยกใบสนแห้งออกเล็กน้อย เผยให้เห็นสีชมพู…

และเมื่อแยกใบสนแห้งออกทั้งหมดได้ เกาจัวหยวนก็ชะงักไป ที่แท้เป็นเด็กคนหนึ่งนี่เอง!

[1] หวางเฟย คือพระชายาของอ๋อง

[2] พวกตัดแขนเสื้อ หมายถึง กลุ่มชายรักชาย มีที่มาจากเรื่องราวของพระเจ้าฮั่นอายตี้และตงเสียน สนมชายของเขา

[3] พวกหลงหยาง เป็นอีกคำหนึ่งของการเรียกกลุ่มชายรักชาย มาจากตำนานหลงหยาง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าของร่างเดิมแสบมากนะ ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ด้วย อ่านแล้วสงสารท่านอ๋องเลยที่โดนบังคับแต่งงานมีลูก

ท่านอ๋องมีปมในใจกับผู้หญิงต่างหาก ไม่ได้เป็นพวกตัดแขนเสื้อหรอก เสด็จแม่ก็คิดลึกไป

พ่อลูกเจอกันแล้วใช่ไหมนะ?

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *