ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 41 ย่างแพะทั้งตัว และย่างซาลาเปา (รีไรท์)

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 41 ย่างแพะทั้งตัว และย่างซาลาเปา (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 41 ย่างแพะทั้งตัว และย่างซาลาเปา (รีไรท์)

ตอนที่ 41 ย่างแพะทั้งตัว และย่างซาลาเปา (รีไรท์)

มู่ฉินเจินตัวแข็งทื่อไปในเสี้ยววินาที สัมผัสได้ถึงสองมือที่โอบเอวเขาไว้ จากนั้นก็คลายออก และขยับยุกยิกอยู่ด้านหลัง

เขาเหลือบมองผ้ากันเปื้อนเนื้อหยาบบนเอวซึ่งดูไม่เข้ากับชุดคลุมผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีขาวแสงจันทร์เลยสักนิด ทว่ากลับรู้สึกว่าดูสบายตา ในใจก็อุ่นซ่านขึ้นมา

“สีเสื้อผ้าท่านอ่อนเกินไป ก็เลยต้องผูกผ้ากันเปื้อนให้ท่าน ชุดจะได้ไม่เปื้อนสกปรก”

เฉียวเยี่ยนไม่ได้คิดมาก หลังจากผูกผ้ากันเปื้อนให้เขาเสร็จก็ไปวุ่นอยู่หน้าเตาต่อ

ทว่ารอยยิ้มในแววตาของมู่ฉินเจินแข็งค้างไปแล้ว นางเป็นห่วงเสื้อผ้า ไม่ได้เป็นห่วงเขา!

ตัวเขายังเทียบกับอาภรณ์ชุดหนึ่งไม่ได้เลยหรือ?

จากนั้นท่านอ๋องขี้งอนก็เอาโทสะทั้งหมดไปลงกับการล้างผลไม้แดง ขัดล้างผลไม้แดงไม่หยุด ประหนึ่งว่าอยากขยี้พวกมันให้เละ

เฉียวเยี่ยนเห็นน้ำในกะละมังกระเซ็นเป็นสายก็หันไปมองมู่ฉินเจิน ถึงได้เห็นว่าตอนนี้เขากำลังขัดขยี้ผลไม้แดงสองสามลูกอยู่ นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันใด

“ไม่ต้องล้างให้สะอาดขนาดนั้นหรอก อีกเดี๋ยวก็ต้องปอกเปลือกมันออกอยู่แล้ว”

ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือแววตาไม่พอใจของท่านอ๋องผู้นี้

เป็นห่วงเปลือกผลไม้แดง ไม้ได้เป็นห่วงเขา!

ฮึ! หญิงผู้นี้ เจ้ามันไร้ความรู้สึก!

เฉียวเยี่ยนถูกมองจนรู้สึกแปลก ๆ จึงยกมือขึ้นลูบจมูก

นางยั่วโมโหเขาแล้ว?

เฉียวเยี่ยนที่คิดไม่ออกก็เรียกระบบ “ระบบ มู่ฉินเจินเป็นอะไรรึ? ข้าตรึกตรองดูแล้วก็ไม่มีอะไรนะ”

ระบบตัวน้อยกำลังหมกมุ่นอยู่กับการดูละครสงครามนางในสุดคลาสสิกในรอบสิบปี จึงไม่มีเวลาคุยกับโฮสต์ตัวเอง

[บุรุษย่อมมีรอบเดือนในทุกเดือน ท่านโฮสต์ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจเขา]

เฉียวเยี่ยน “…”

ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!

เฉียวเยี่ยนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ ทว่าเสี้ยวเดียวก็เบนความสนใจไปที่มะเขือเทศลูกเล็กในหม้อทันที ไม่สนใจท่านอ๋องที่กำลังอารมณ์เสียอีก

นางต้มมะเขือเทศลูกเล็กในน้ำเดือดสองนาที ก่อนจะตักขึ้นใส่ลงในน้ำเย็น แล้วลอกเปลือกออก

เฉียวเยี่ยนวางมะเขือเทศลูกเล็กที่แช่ในน้ำเย็นไว้ตรงหน้ามู่ฉินเจิน และสั่งอย่างสบายใจว่า “ลอกเปลือกออก แล้วเอาเนื้อมันใส่ลงในถาด”

มู่ฉินเจินถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ และเริ่มปอกเปลือกผลไม้แดงโดยไม่บ่นสักคำ เขารู้แล้วว่าในใจของหญิงคนนี้ หมาแมวที่ไหนก็ล้วนมีความสำคัญมากกว่าเขา!

เฉียวเยี่ยนไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงถอนหายใจ จากนั้นก็ไปล้างน้ำที่ต้มมะเขือเทศในหม้ออย่างฉับไว แล้วเทเสวี่ยปี้ที่เตรียมไว้เมื่อครู่ลงในหม้อต้มให้เดือด เสร็จแล้วก็เติมบ๊วยเชื่อมกับน้ำตาลกรวดสีเหลืองลงไปสองสามเม็ด

หลังจากต้มเนื้อบ๊วยเชื่อมจนอ่อนร่วนแล้ว ก็นำน้ำต้มเดือดเทลงในอ่างดินเผาขนาดใหญ่ แล้วใส่มะเขือเทศที่ปอกเปลือกแล้วลงไปแช่ จากนั้นก็ปล่อยไว้ให้เย็น

“เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่มีน้ำแข็ง หากได้แช่เย็นสักหน่อยก็จะยิ่งอร่อยมาก”

เฉียวเยี่ยนถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย

“ในพระราชวังมีคลังเก็บน้ำแข็ง หากเจ้าต้องการ ข้าจะส่งคนไปเอามาให้”

แม้ว่ามู่ฉินเจินจะยังไม่สบายใจเล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจของเฉียวเยี่ยนก็เปิดปากกล่าวออกมา

“จริงรึ?”

เฉียวเยี่ยนดีใจจนแววตาเป็นประกาย พลางมองเขาอย่างตื่นเต้น

มู่ฉินเจินคิดว่าครู่เดียวตัวเองก็ดีขึ้นแล้ว จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ภายในพระราชวังมีห้องมืดเก็บน้ำแข็ง ซึ่งเก็บรักษาน้ำแข็งในฤดูหนาวเอาไว้ ก่อนจะมอบให้เหล่าชนชั้นสูงในวังนำไปดับร้อนในฤดูร้อน”

เฉียวเยี่ยนจิ๊ปาก มิน่าล่ะนางถึงไม่เคยได้ยิน ที่แท้ก็เป็นสิทธิพิเศษของทางราชสำนักนี่เอง

ทว่าด้วยระดับเทคโนโลยีในสมัยนี้ การสร้างห้องมืดเก็บรักษาน้ำแข็ง อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง

“เช่นนั้นก็ได้ ท่านให้คนช่วยไปขนมาให้ข้าสักหน่อย”

เมื่อต้มมะเขือเทศเชื่อมบ๊วยเสร็จแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เริ่มต้มซวนเหมยทัง วิธีทำซวนเหมยทังนั้นง่ายมาก ต้มน้ำในหม้อให้เดือด ใส่บ๊วยเค็ม ซานจา[1]แห้ง น้ำตาลกรวดเหลืองในปริมาณพอเหมาะ ต้มในน้ำร้อน สุดท้ายทิ้งไว้ให้เย็นก็เสร็จแล้ว

เมื่อต้มซวนเหมยทังจนเสร็จสิ้น เฉียวเยี่ยนก็ไปที่ห้องเครื่องใหญ่ มู่ฉินเจินเองก็ตามนางไปประหนึ่งเป็นองครักษ์

นางเหลือบมองก้อนแป้ง เมื่อเห็นว่าขึ้นฟูได้ที่แล้วก็เริ่มทำซาลาเปา

ซาลาเปาในวันนี้พิเศษมากตรงที่ไม่ใช่นำไปนึ่งแต่นำไปย่าง เป็นซาลาเปาย่างไส้เนื้อแพะ เนื้อแป้งด้านนอกกรอบ เนื้อแพะสดหอมกรุ่น รสชาติอร่อยอย่างยิ่ง

คลึงแป้งเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าบาง ๆ ตักไส้เนื้อแพะใส่ไปหนึ่งช้อนใหญ่ และพับครึ่งประกบกัน ห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้ววางซาลาเปาที่ห่อแล้วลงบนถาดอัดขนมทาน้ำมัน แป้งด้านนอกทาไข่ทับลงไป จากนั้นก็โรยปิดท้ายด้วยงาขาว

นางไม่มีเตาอบหรือเตาเผา จึงทำได้เพียงใส่ลงในถาดอัดขนมย่าง และย่างจวบจนผิวซาลาเปาเป็นสีทองและกรอบ ครั้นไส้ข้างในเริ่มมีน้ำมันไหลออกมาก็เป็นอันใช้ได้

กลิ่นหอมชวนหลงใหลลอยอบอวลไปทั่วห้องเครื่อง เหล่าพ่อครัวต่างเข้ามารุมล้อม และน้ำลายไหลให้กับซาลาเปาย่าง

เฉียวเยี่ยนแบ่งแป้งที่ย่างเสร็จแล้วให้พวกเขา และไล่พวกเขาให้กลับไปทำอาหารต่อ แม้แต่มู่ฉินเจินที่ถูกนางใช้งานอย่างคุ้มค่าก็ยังถูกผลักให้ไปคุมไฟถาดอัดขนม

การใช้ถาดอัดขนมทำขนมและการคุมไฟล้วนเป็นงานทางเทคนิค หากไฟแรงเกินไปก็จะไหม้ได้ง่าย ซึ่งเรื่องการควบคุมไฟก็ไม่ใช่งานยากสำหรับท่านอ๋องที่ช่วยเฉียวเยี่ยนจุดไฟเป็นประจำ ตอนนี้เขาจึงมีทักษะควบคุมไฟที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างขาดลอยหากให้เขาเป็นคนก่อไฟในค่ายทหาร

มู่ฉินเจินย่างซาลาเปาด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็จับคีมคีบถ่าน มองแผ่นหลังเฉียวเยี่ยนที่วุ่นอยู่กับเขียงอย่างครุ่นคิด

เขาคุ้นเคยกับเจ้าซาลาเปาย่างนี้เป็นอย่างดี ในตลาดนอกเขตที่พักกองทหารซีเป่ย มีร้านมากมายขายเจ้าสิ่งนี้อยู่ และเขาเคยกินไปไม่น้อยเลยทีเดียว

แล้วเฉียวเยี่ยนรู้ได้อย่างไร?

จากข้อมูลของนางที่เขารู้ นางเคยไปไกลที่สุดแค่บ้านไร่ในเจียงเฉิง ในเมืองหลวงก็ไม่มีที่ไหนขายซาลาเปาย่าง แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่ามีของสิ่งนี้อยู่ แถมยังทำได้อย่างชำนาญด้วย?

ในใจเขามีสิ่งที่ไม่เข้าใจมากมาย เฉียวเยี่ยนให้ความรู้สึกเหมือนหมอกหนาทึบก้อนหนึ่ง มองได้ไม่ชัดเจน และยังสัมผัสไม่ได้ แต่ก็อยากรีบรุดเข้าไปใกล้ และมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง

เฉียวเยี่ยนหันหลังให้เขา จึงมองไม่เห็นสายตาเร่าร้อนของเขา ทว่าเหล่าพ่อครัวและแม่นม[2] ที่อยู่รอบ ๆ ต่างส่งสายตาให้กัน ในดวงตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเจ้านายอารมณ์ดี ชีวิตพวกเขาก็สบาย ไม่เหมือนจวนอื่นที่มีเหล่าอนุภรรยาเป็นกองและตบตีกันทุกวัน พวกเขาที่เป็นข้ารับใช้ก็ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ หากยืนผิดข้างก็มีแต่ตายสถานเดียว

หลังจากห่อซาลาเปาได้พอประมาณแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ให้เหล่าข้ารับใช้ก่อถ่านไฟและเริ่มย่างเนื้อแพะ โดยใช้แท่งไม้มากางเป็นแท่นวางเนื้อแพะ ย่างอยู่บนไฟพลิกกลับไปมา ไม่นานนักกลิ่นหอมเผ็ดชาก็ลอยฟุ้งไปทั่วตำหนักอ๋อง

หลังจากฮ่องเต้และฮองเฮาทอดพระเนตรเรือนกระจกจนพอแล้ว ก็จูงมือเด็กทั้งสองกลับไปที่ลานหลัก ระหว่างทางได้กลิ่นหอมเนื้อและน้ำมันโชยมาเป็นระลอก ๆ

เมื่อเข้าไปในลานหลัก กลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้น เนื้อแพะที่อยู่บนกองไฟร้อนถูกย่างจนมีน้ำมันซึมออกมา ส่วนเนื้อด้านนอกก็เป็นสีเหลืองน้ำตาลแล้ว

ในขณะที่ฮ่องเต้สูดกลิ่นหอมก็หวนนึกไปถึงอดีต เนื้อแพะย่างที่เขากินเมื่อก่อนเป็นแบบนี้เช่นกัน แต่เนื้อแพะที่เฉียวเยี่ยนทำกลับดูน่าอร่อยและน่าดึงดูดกว่าหลายเท่า

เนื่องจากยังต้องย่างเนื้อแพะต่อไปอีกพักหนึ่งถึงจะสามารถรับประทานได้ เฉียวเยี่ยนจึงให้คนยกซาลาเปาย่างออกไปก่อนเพื่อกินรองท้อง

ครั้นฮ่องเต้เห็นซาลาเปาย่างสีเหลืองทองนั้น แววตาก็ยิ่งลุกวาว

ไม่นึกเลยว่าจะมีสิ่งนี้ด้วย! นี่คือสิ่งที่เขาชอบที่สุดในตอนที่เขาออกนำทัพ!

เขาหยิบขึ้นมากัดคำหนึ่งอย่างทนไม่ไหว และไม่สนใจจะรักษามาดของฮ่องเต้อีกต่อไปแล้ว ส่วนฮองเฮาเพิ่งเห็นซาลาเปาย่างเป็นครั้งแรก จึงยกซาลาเปาขึ้นมาพิจารณาอย่างสงสัย

ซาลาเปาเนื้อแพะรสชาติเลิศรส เนื้อซาลาเปาด้านนอกกรอบ แถมยังมีกลิ่นหอมไหม้จากการย่างไฟ ส่วนไส้เนื้อแพะข้างในเต็มไปด้วยต้นหอม ชุ่มฉ่ำน้ำ อร่อยจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ทำให้ผู้คนเอาแต่ก้มหน้ารับประทาน

เด็กน้อยทั้งสองน้ำลายไหลเมื่อได้กลิ่นหอม แต่ก็ยังไปล้างมือให้สะอาดอย่างเชื่อฟังก่อนถึงจะเริ่มรับประทาน เมื่อกัดเข้าไปหนึ่งคำก็มีความสุขจนตาหยี เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยัดเข้าไปทั้งลูกจนเต็มปากน้อย ๆ เหมือนดั่งเจ้าปลาอ้วนน้อยน่ารัก

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรับประทานกันอยู่นั้น ก็มีเสียงโหวกเหวกของมู่เวินเหยียนดังขึ้นมาจากด้านนอก

“พี่สี่ ท่านมันไร้น้ำใจ! กินของอร่อยทั้งทีก็ไม่เรียกข้า!”

หลังจากมู่เวินเหยียนเลิกเรียนในวันนี้ เขาก็ตรงมากินข้าวที่ตำหนักอ๋องซู่ทันที ทันทีที่มาถึงตำหนักก็ได้กลิ่นเนื้อหอมโชยมาเตะจมูก และแอบด่าพี่สี่ว่าทำเกินไปแล้ว ได้กินของอร่อยก็ไม่เรียกอนุชาคนนี้

[1] ซานจา (山楂 ) คือ ฮอว์ธอร์นจีน

[2] แม่นม เป็นนางข้าหลวงอาวุโส และเป็นหัวหน้าเหล่านางข้าหลวงทั้งปวง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขำไหล่สั่นเลยค่ะ ว้ายยย ท่านอ๋องโบ้ เห็นหวางเฟยไม่สนใจตัวเองแล้วความมั่นหน้าลดฮวบเลยสินะ

องค์ชายหกจะมาร่วมวงกินข้าวด้วยเหรอ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *