ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 47 ปีใหม่ (รีไรท์)
ตอนที่ 47 ปีใหม่ (รีไรท์)
ตอนที่ 47 ปีใหม่ (รีไรท์)
เฉียวเยี่ยนหุบยิ้มบนใบหน้า แผ่รังสีแรงกล้า ไอสังหารเย็นเยือกแผ่ทั่วร่างดุจปีศาจจากขุมนรก!
นางยกเท้าถีบหน้าท้องแม่นมจางจนล้มลงบนพื้น และใช้เท้าเหยียบซ้ำบนข้อมือที่หักของนาง
“อยากตบข้ามิใช่รึ? ลุกขึ้นมาสิ”
พระสนมเต๋อเฟยกรีดร้องด้วยความตกใจ “ป่าเถื่อน! ป่าเถื่อนไปแล้ว!”
กลุ่มขันทีและนางข้าหลวงที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกใจจนเบิกตาอ้าปากค้าง ไม่คิดเลยว่าสาวงามโง่เขลาในข่าวลือจะเป็นนางปีศาจชั่วร้าย!
ข่าวลือทำร้ายคนแล้วสินะ!
ในขณะที่ไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน[1] ฮ่องเต้ก็เสด็จมา สองแม่ลูกสนมเต๋อเฟยเหมือนค้นพบที่พึ่งสำคัญในพริบตา จึงคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยน้ำตานองหน้า ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที
องค์หญิงเจียหนิงกุมมือที่ถูกพันแผลเอาไว้เหมือนกีบเท้าหมูพลางกรรแสงไปหาฮ่องเต้ ขณะที่เฉียวเยี่ยนยืนลอบยิ้มอยู่ด้านข้าง “ช่างน่าสงสารจริง ๆ น้องเจียหนิงร้องไห้อีกครู่หนึ่ง บาดแผลน่าจะหายสนิทแล้ว”
ฝ่ามือนางถูกหินบาดแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพียงแต่ในฐานะองค์หญิง ร่างกายทุกส่วนล้วนล้ำค่า เห็นเลือดนิดหน่อยก็ทำราวกับมีคนเสียชีวิต
ฮ่องเต้สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เฉียวเยี่ยนรายงานเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดและเป็นธรรมออกมา
เจ้าปลาอ้วนเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กอดขาเสด็จปู่ กะพริบตาปริบ ๆ อย่างน่าสงสาร และเงยหน้าขึ้นแสร้งทำเป็นน่าสงสาร “เสด็จปู่ นางยังด่าหลานว่าเป็นเด็กป่าเถื่อนด้วยเจ้าค่ะ หลานมีท่านพ่อท่านแม่ หาใช่เด็กป่าเถื่อนไม่”
แค่แสร้งทำเป็นน่าสงสารไม่ใช่รึ เจ้าก้อนแป้งเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จงใจทำตัวน่าสงสารให้คนเห็นใจได้ดีกว่าสองแม่ลูกพระสนมเต๋อเฟยไม่รู้ตั้งเท่าใด
แน่นอนว่าหลังจากฮ่องเต้ฟังจบ เขาก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างปวดใจ และเอ่ยกับสองแม่ลูกพระสนมเต๋อเฟยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พอได้แล้ว! เรื่องนี้เจียหนิงทำผิดก่อน ยังมีหน้ามาสร้างปัญหาอีกรึ กลับไปกักบริเวณสำนึกตนที่ตำหนักครึ่งเดือน หากไม่มีราชโองการจากเราก็ห้ามออกมา”
พระสนมเต๋อเฟยและองค์หญิงเจียหนิงถูกนำตัวออกไปจากตำหนักคุนหนิงอย่างไม่พอใจ ขณะที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเฉียวเยี่ยนอย่างช่วยไม่ได้ “วิธีจัดการของเจ้ามันรุนแรงเกินไปแล้ว”
ไม่ทันพูดไม่ทันจาก็ชิงลงไม้ลงมือก่อน เหมือนมู่ฉินเจินเจ้าเด็กคนนั้นจริง ๆ
เฉียวเยี่ยนยักไหล่ ไม่ได้ปฏิเสธใด ๆ แต่ก็หาได้ยอมรับ ในความคิดนางนั้น การปราบปรามด้วยกำลังดีกว่าวิธีการอื่นมาก การพูดไร้สาระมากมายนั้นเป็นแค่การเสริมให้สถานการณ์ดูดีขึ้นและเพิ่มความอึดอัดใจให้อีกฝ่ายมากขึ้นก็เท่านั้น
……
เวลาผ่านไปอย่างรวเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงสิ้นปีแล้ว มู่ฉินเจินและเด็กสองคนต่างก็ได้หยุดประจำปี
บรรยากาศปีใหม่ในเมืองหลวงค่อย ๆ คึกคักขึ้น พ่อค้าเร่บนถนนล้วนขายสินค้าฉลองปีใหม่ ทุกครัวเรือนต่างแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ไว้
เฉียวเยี่ยนเองก็สั่งให้ข้ารับใช้ไปซื้อโคมแดงขนาดใหญ่มาจำนวนไม่น้อย ทั่วทั้งตำหนักอ๋องกลายเป็นงานรื่นเริง นางสั่งไม่ให้ซื้อชุนเหลียน[2]มา และมอบหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ให้แก่มู่ฉินเจิน
ตัวอักษรที่ท่านอ๋องเขียนดูดีกว่าเหล่าบัณฑิตที่เขียนกลอนคู่บนถนนเสียอีก ลายมือประณีตงดงาม แรงที่ลงพู่กันดูมีพลัง เฉียวเยี่ยนดูจนตาพร่าด้วยความอิจฉาที่เขาเขียนตัวอักษรได้งดงามยิ่งนัก
วันที่สามสิบเดือนสิบสอง วันส่งท้ายปีเก่า
ตำหนักอ๋องซู่คึกคักอย่างมาก พวกบ่าวกำลังกำจัดหิมะและทำความสะอาด ส่วนลุงฉูกำกับคนสองสามคนติดชุนเหลียนและแขวนโคมแดง
เฉียวเยี่ยนพาสาวใช้สองสามคนไปเก็บผักในเรือนกระจก วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ต้องทำอาหารมื้อค่ำดี ๆ สักมื้อ
ผักในเรือนกระจกฤดูนี้ปลูกเร็วกว่าหมู่บ้านลวี่หลัว มันจึงเติบโตได้ที่แล้ว จนดูเหมือนผืนพรมสีเขียวแวววาวอวบน้ำทั่วผืน
เฉียวเยี่ยนตัดต้นหอมมาไม่น้อย วันนี้นางจะห่อเกี๊ยวไส้หมูต้นหอม นอกจากต้นหอมแล้ว อย่างอื่นเช่นผักกาดขาว กุยช่าย ผักกาดหอมต้น นางก็ขุดออกมาไม่น้อย
เถาถั่วและเถาแตงได้เลื้อยขึ้นไปบนชั้นวางของในเรือนกระจกแล้วและกำลังผลิดอก อีกทั้งแตงบางชนิดก็เริ่มออกผลเล็กขนาดเท่ากำปั้นเด็กแล้ว
เฉียวเยี่ยนเลือกดอกฟักทองที่ไม่สามารถออกผลได้กลับไปห่อแป้งแล้วทอด ดอกฟักทองที่ทอดออกมามีรสชาติอร่อยอย่างมาก
สาวใช้คนอื่น ๆ ได้เก็บผักที่สามารถเก็บได้ตามคำสั่งของเฉียวเยี่ยนแล้ว และใส่ไว้ในตะกร้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฉียวเยี่ยนตั้งใจจะมอบผักเหล่านี้ให้กับเหล่าขุนนางราชสำนักในนามของมู่ฉินเจิน
เพราะเหตุใดน่ะรึ?
เพราะเป็นการป่าวประกาศการปลูกผักในเรือนกระจก และการเปิดตัวกิจการหอฮวาอวิ้น!
ผักในเรือนกระจกที่หมู่บ้านลวี่หลัวน่าจะเก็บเกี่ยวได้ในอีกครึ่งเดือน ถึงครานั้นผักของนางมีชื่อเสียงในเมืองหลวงและคอยให้หอฮวาอวิ้นเปิดตัวเมื่อใด จะต้องมีลูกค้ามากหน้าหลายตาจำนวนไม่น้อยแน่
ในช่วงที่หนาวที่สุดในเหมันต์ฤดู แม้เหล่าคนมีอำนาจจะมีเงิน แต่กลับซื้อผักที่สดใหม่ไม่ได้ และบางทีพวกเขาอาจจะเบื่อกับการกินผักกาดขาวที่ผ่านการถนอมอาหารในแบบต่าง ๆ ทุกวันบ้างแล้ว
เฉียวเยี่ยนไม่เพียงแต่วางแผนจะขายอาหารปรุงสุกในหอฮวาอวิ้นเท่านั้น แต่ยังตกแต่งแผงหน้าร้านเพื่อขายผัก เตรียมผักสดขายออกสู่ตลาดอีกด้วย
ทว่าค่าใช้จ่ายในการปลูกผักเรือนกระจกค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นราคาของผักจึงสูงตามไปด้วย ฉะนั้นกลุ่มลูกค้าจึงเป็นผู้บริโภคระดับกลางและระดับสูง
หลังจากเก็บผักเสร็จ เฉียวเยี่ยนก็ส่งลุงฉูนำผักไปมอบให้เหล่าคนใหญ่คนโตในจวนต่าง ๆ ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ป่าวประกาศสิ่งที่จะทำในภัตตาคารแทนนาง
เฉียวเยี่ยนเตรียมอาหารค่ำส่งท้ายปีอยู่ในตำหนักอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เหล่าคุณชายและฮูหยินในจวนอื่น ๆ มองตะกร้าผักสีเขียวและจมอยู่ในภวังค์
หิมะตกหนักเช่นนี้ยังมีผักสดอยู่อีกรึ? หรือว่าในตำหนักอ๋องซู่มีเทพเจ้า?
ทันใดนั้นพวกเขาก็หวนนึกถึงเรื่องที่ซู่หวางเฟยสร้างเรือนไว้ปลูกผักก่อนหน้านี้พร้อมกับมีสีหน้าตกใจ หรือว่านี่คือผักที่ซู่หวางเฟยปลูก?
ตกใจก็ส่วนตกใจ หลาย ๆ จวนต่างยากที่จะเห็นผักสดเขียวฉ่ำในตะกร้าแบบนี้ ทุกวันนี้กินแต่ผักกาดขาวจนจะอาเจียนออกมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันส่งท้ายปี ได้โอกาสเปลี่ยนรสชาติพอดี
แต่มีบางจวนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับมู่ฉินเจิน พวกเขามองตะกร้าผักอย่างครุ่นคิด อ๋องซู่คงไม่วางยาในนี้หรอกใช่ไหม?
องค์ชายใหญ่มู่ถิงเฉิงสั่งคนให้นำผักออกไปโยนทิ้งไกล ๆ ด้วยกลัวว่าในผักนั้นจะมีสิ่งปนเปื้อน ทำให้บ่าวที่รับผิดชอบทิ้งผักมีสีหน้าเจ็บปวด ผักดี ๆ ทั้งนั้นเลย ทั้งอ่อนทั้งสดใหม่
ด้วยเหตุนี้ บ่าวคนนั้นจึงนำตะกร้าผักกลับไปที่หลังห้องเครื่อง และเหล่าข้ารับใช้กลุ่มนั้นก็จุดเตาตั้งกระทะ นำผักทั้งตะกร้ามาปรุงกินกัน
ตลอดทั้งปี อาหารในวันส่งท้ายปีนั้นคงไม่พ้นมีมากหน่อย เฉียวเยี่ยนให้ห้องเครื่องใหญ่เหลือเพียงคนรับผิดชอบทำอาหารให้เหล่าข้ารับใช้กินก็พอแล้ว ส่วนนางก็ไปทำอาหารให้มู่ฉินเจินและลูกทั้งสองที่ห้องเครื่องเล็ก
ตัวเอกของวันนี้คือเกี๊ยว เฉียวเยี่ยนเตรียมไส้สองสามอย่างเอาไว้ห่อ มีเนื้อหมูสดบดละเอียด เพิ่มหอมซอยเข้าไป จากนั้นก็สาดน้ำมันร้อนใส่ และใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มรสชาติ
นอกจากไส้หมูต้นหอมแล้ว นางยังทำไส้ไข่ผัดกุยช่ายและไส้สามสหาย
ตอกไข่ลงในหม้อผัดจนสุก และคลุกเคล้ากับผักกุยช่ายที่หั่นแล้ว ส่วนไส้สามสหายก็คือผักกาดขาว ถั่วเหลือง หัวไชเท้าหั่นละเอียด เทเกลือใส่เพื่อเอาน้ำออก จากนั้นก็ปรุงรส
ขณะที่เฉียวเยี่ยนกำลังห่อแป้ง มู่ฉินเจินก็พาลูกสองคนมาหานางที่ห้องเครื่อง พวกเด็ก ๆ สวมอาภรณ์ใหม่สีแดงสด ทั้งสดใส ทั้งน่ารัก ประหนึ่งเด็กน้อยในภาพวาดสิริมงคลก็ไม่ปาน
เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่าน่ารักอย่างมาก อยากเข้าไปขยี้ด้วยความมันเขี้ยว ทว่ามือนางเปื้อนไปด้วยแป้ง ทำได้เพียงก้มตัวลงไปหอมแก้มนุ่มนิ่มของลูกน้อยทั้งสอง
มู่ฉินเจินมองเฉียวเยี่ยนหอมแก้มเด็กทั้งสอง สายตาก็ดูไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อใดเขาจะได้ทำเช่นนี้บ้างหนอ?
แน่นอนว่าเฉียวเยี่ยนไม่ได้สังเกตท่าทางเขา หลังจากหยอกล้อลูกน้อยเสร็จก็ห่อแป้งต่อ
มู่ฉินเจินนึกถึงความคิดของตัวเองเมื่อครู่ และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กเล็กก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเดินไปอยู่ข้าง ๆ เฉียวเยี่ยน
“ให้ช่วยอะไรหรือไม่?”
ลูกน้อยเงยหน้ามองเช่นกัน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็กเล็ก “ท่านแม่ พวกลูกก็ช่วยได้”
เฉียวเยี่ยนมองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองด้วยความรู้สึกว่าน่ารักเล็กน้อย จึงหัวเราะออกมา “ในเมื่ออยากจะช่วยกัน เช่นนั้นก็มาช่วยกันห่อเกี๊ยว”
นางเช็ดโต๊ะให้สะอาด โรยผงแป้งลงบนนั้น และรีดแป้งสองสามแผ่น ก่อนจะสอนพวกเขาห่อเกี๊ยว
สามพ่อลูกเรียนรู้กันอย่างตั้งใจ เพียงเฉียวเยี่ยนทำให้ดูสองชิ้น พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำเป็นแล้ว
เฉียวเยี่ยนรีดแป้งเป็นแผ่นให้พวกเขา จากนั้นก็ดูสามพ่อลูกห่อเกี๊ยว ท่านอ๋องนั่งหลังตรง มือล้ำค่าคู่นั้นจับตะเกียบคีบไส้หมูมาใส่ลงบนแผ่นแป้งแล้วเริ่มห่อ
การเคลื่อนไหวงดงามยิ่งนัก ท่าทางก็ถูกต้อง ทว่าผลลัพธ์…
แป้งเกี๊ยวแตก และไส้เนื้อก็ตกลงมากองอยู่บนโต๊ะ
[1] ไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน หมายถึง เหตุการณ์วุ่นวายจนไก่และหมาวิ่งหนีกระเจิง
[2] ชุนเหลียน (春联) คือ คำขวัญคู่ที่ใช้ติดหน้าประตูในเทศกาลตรุษจีน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
องค์ชายใหญ่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว พวกบ่าวเลยได้กินของดี ๆ เลย
อีกนานค่ะอ๋องโบ๋กว่าจะโดนเมียหอมแก้มเหมือนลูก ๆ บ้าง หนี้แค้นสี่ปีนี้ช่างยาวนานนัก
เหนื่อยหน่อยนะคะเฉียวเยี่ยน สอนเด็กสามคนห่อเกี๊ยวโดยมีคนหนึ่งเป็นเด็กโข่ง
ไหหม่า(海馬)
Comments