ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 68 อยากซื้อป่าดอกท้อ

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 68 อยากซื้อป่าดอกท้อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 68 อยากซื้อป่าดอกท้อ

ตอนที่ 68 อยากซื้อป่าดอกท้อ

หมู่บ้านจิ่วหลีพัวตั้งชื่อตามดงดอกท้อที่ทอดยาวเป็นระยะทางเก้าลี้ แต่ต้นท้อเหล่านี้ล้วนเป็นท้อขนที่มีรสขมฝาด คนยากจนต่อให้หิวอย่างไรก็ไม่ยอมรับประทาน บนสันเขาทั้งสองด้านนอกจากต้นท้อแล้วก็ไม่มีต้นไม้ท้องถิ่นชนิดใดเติบโตอีก ดังนั้นหากพวกชาวบ้านในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวอยากจะสร้างบ้าน ก็ยังต้องออกไปซื้อไม้ที่ด้านนอก

แม้ต้นท้อจะเจริญเติบโตมากมาย แต่ก็เทียบป่าไม้รกทึบไม่ได้เลย สัตว์ต่าง ๆ ไม่สามารถซ่อนตัวได้ นานวันเข้าจึงไม่มีสัตว์ป่าตัวใดอาศัยอยู่ กระทั่งนายพรานยอดฝีมือมาอยู่ที่นี่ก็ยังอดตาย

เมื่อคนรุ่นหนึ่งยากจน คนรุ่นต่อ ๆ ไปก็ยากจน พวกชาวบ้านในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวใช้ชีวิตปกป้องป่าท้อมาหลายชั่วอายุคน และเคยคิดอยากทำลายเผาป่าท้อให้สิ้นซากเพื่อปลูกต้นไม้อื่น ๆ แทน ทว่าต่อให้พวกเขาจะพยายามปลูกพืชแค่ไหน มันก็ยังดูโล่งเตียน ชั้นดินบาง พอใช้จอบขุดลงไปล้วนเต็มไปด้วยหิน หว่านเมล็ดข้าวโพดไปมันก็แคระแกร็นเหมือนวัชพืช

หลังฟังมู่ฉินเจินอธิบายแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก พวกเขามีทรัพยากรดีอยู่ในมือเพียงแต่ไม่รู้จะนำไปใช้อย่างไรเท่านั้น!

ต้นท้อเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วมีอายุหลายปี สามารถออกผลได้นานแล้ว หากหากิ่งพันธุ์ของท้อที่มีรสชาติดีมาทำการทาบกิ่ง ภายในหนึ่งหรือสองปีก็จะได้ต้นท้อต้นใหม่!

ได้ครอบครองป่าดอกท้อหลายลี้เช่นนี้ ยังกลุ้มใจว่าจะไม่มีเงินอีกหรือ?

ยิ่งคิดเฉียวเยี่ยนก็ยิ่งหวั่นไหว หากนางสามารถซื้อป่าท้อผืนนี้ไปได้ มันคงจะดียิ่งนัก!

เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทาบกิ่งคือฤดูใบไม้ผลิ ในเวลานี้ต้นไม้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา อัตราการรอดของการทาบกิ่งก็ยิ่งสูงมากขึ้น หากตอนนี้สามารถทาบกิ่งได้ ก็จะทาบกิ่งเสร็จสิ้นก่อนฤดูร้อนพอดี

มู่ฉินเจินเห็นสายตาเปล่งประกายของเฉียวเยี่ยนก็รู้ว่านางต้องมีความคิดแผลง ๆ อะไรบางอย่าง จึงถามอย่างจนใจ “เจ้าจะทำอะไรอีกล่ะ?”

เฉียวเยี่ยนหัวเราะคิกคัก “ท่านว่าหากข้าอยากซื้อป่าท้อผืนนี้ จะต้องใช้เงินเท่าไหร่หรือ?”

มู่ฉินเจินรู้สึกประหลาดใจ อยู่ดี ๆ จะซื้อป่าท้อไม่มีประโยชน์ผืนนี้ไปทำไมกัน

“โดยปกติ ซื้อที่ดินรกร้างหนึ่งหมู่อาจต้องใช้เงินสามหรือสี่ตำลึง แต่ป่าท้อผืนนี้มีมูลค่าการใช้ประโยชน์ต่ำ น่าจะไม่มีราคามากขนาดนั้น ป่าท้อเก้าลี้ น่าจะมีเนื้อที่ประมาณพันกว่าหมู่…”

เฉียวเยี่ยนฟังอย่างตั้งใจ ในใจก็คิดแผนการ ดังนั้นนางแค่ต้องจ่ายเงินประมาณห้าพันตำลึงก็จะครอบครองป่าท้อหลายลี้นี้ได้?

นี่มันทำให้คนหวั่นไหวเกินไปแล้ว!

นางเริ่มครุ่นคิดอย่างหนักแล้วว่าจะจัดการป่าไม้ผืนนี้อย่างไร พอกลับไปเมืองหลวง นางจะไปหาว่าใครมีต้นท้อพันธุ์ดีบ้าง จะได้ตัดกิ่งมาบางส่วนเพื่อใช้ทาบกิ่ง

ใต้ต้นท้อก็มิควรปล่อยว่างให้เสียเปล่า สามารถใช้รั้วมาล้อมรอบเนินเขาทำเป็นที่เลี้ยงไก่ หมูพื้นเมือง และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ แบบปล่อยทุ่งได้ การเลี้ยงสัตว์แบบปล่อยให้หากินตามอิสระจะทำให้มันมีรสชาติที่อร่อยเป็นพิเศษ

หลังจากฤดูหนาวสิ้นสุดลง ผักต่าง ๆ ของพวกเกษตรกรก็เริ่มออกสู่ตลาด กิจการของหอฮวาอวิ๋นต้องมีวันที่ลดลง หากนางสามารถจัดหาไก่หรือหมูบ้านที่เลี้ยงแบบปล่อยรวมถึงผักพื้นบ้านต่าง ๆ ได้ ก็จะสามารถดึงดูดลูกค้า และชดเชยยอดขายส่วนที่ลดลงได้

ยิ่งไปกว่านั้น ทิวทัศน์ที่นี่สวยงามเช่นนี้ หากนางซ่อมแซมถนน สร้างบ้านเรือนเพิ่มเติม สนองความต้องการใช้จ่ายเงินมากมายของเหล่าคนมีเงินในเมืองหลวง ไม่เพียงแต่เป็นกิจการอย่างหนึ่ง…

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งตื่นเต้น และฉีกยิ้มกว้างจนเกือบจะถึงระบบสุริยะ สามพ่อลูกต่างจ้องมองที่นางยิ้มเหม่อลอยอย่างมึนงง แต่ไม่ได้รบกวนฝันกลางวันของนาง

จนกระทั่งจินตนาการของนางจบลง มู่ฉินเจินถึงได้ถามด้วยรอยยิ้ม”ในป่าท้อผืนนี้มีของล้ำค่าอะไรหรือ เจ้าถึงได้มีความสุขเช่นนี้?”

เฉียวเยี่ยนกระแอมในลำคอ และอุบเอาไว้เหมือนหมอดูทำนายชะตาข้างถนน “หากเปลี่ยนป่าท้อขนผืนนี้เป็นป่าท้อน้ำผึ้ง ท่านคิดว่ามันจะคุ้มค่าเท่าใด?”

มู่ฉินเจินไม่กล้าคิด ท้อน้ำผึ้งเก้าลี้แห่งนี้สามารถผูกขาดตลาดในหลาย ๆ เมืองได้ ทว่าท้อขนเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นท้อน้ำผึ้งได้อย่างไร?

เฉียวเยี่ยนเห็นความสงสัยในท่าทางของเขา จึงเริ่มอธิบายวิธีการทาบกิ่งอันน่าอัศจรรย์ให้กับเขา วัฒนธรรมการทำไร่ไถนาของรัชสมัยเทียนลี่ค่อนข้างล้าหลัง นางค้นหางานเกษตรอันทรงเกียรติในปัจจุบันทั้งหมดแล้วก็ไม่เคยมีใครกล่าวถึงวิธีนี้เลย

มู่ฉินเจินได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ เพียงนำกิ่งท้อน้ำผึ้งมาทาบกับต้นท้อขน ต้นท้อขนก็จะสามารถออกผลเป็นท้อน้ำผึ้งได้งั้นหรือ?

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะออกผลได้หรือไม่ได้ แค่มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ก็น่าจะเป็นคำถามแล้ว!

เมื่อเฉียวเยี่ยนยังเห็นว่าเขาไม่เชื่อ ก็มุ่ยปากบ่นอย่างไม่พอใจทันที “ท่านไม่ต้องเชื่อถือท่าทางข้าก็ได้ แต่ห้ามไม่เชื่อในฝีมือข้าเด็ดขาด!”

นึกย้อนกลับไปตอนที่นางยังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยการเกษตร ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญสอนพวกเขาทาบกิ่ง และใช้เวลาหลายวันกว่าจะลับมีดให้คม

หากอยากจะทาบกิ่งให้สำเร็จ เครื่องมือนั้นสำคัญมาก มีดทาบกิ่งที่พวกเขาใช้ก่อนหน้านี้ล้วนนำเข้ามาทั้งหมด แต่มีดที่ซื้อมาไม่ได้ลับคม ศาสตราจารย์จึงให้หินลับมีดเล็ก ๆ แก่พวกเขา และไปหามุมเพื่อลับมีด จนกว่ามีดจะคมพอเหมาะ ถึงจะเริ่มเรียนทาบกิ่งได้

มู่ฉินเจินเห็นท่าทางหงุดหงิดของนางก็ยิ้มออกมา ส่วนใหญ่แล้วนางจะสงบเย็นชา สำรวมสงบเสงี่ยม น้อยมากจะทำตัวหงุดหงิดเอาแต่ใจเหมือนตอนนี้

ทว่านางในตอนนี้กลับน่ารักเป็นพิเศษ เขาอดยกมือขึ้นไปบีบหน้าเนียนของนางไม่ไหว “เอาล่ะ เจ้าอยากจะครอบครองภูเขาเราก็มาทำกันเถอะ ข้าจะส่งองครักษ์ไปเจรจากับหัวหน้าหมู่บ้าน”

ภรรยาเขาอยากเล่นก็ให้นางเล่นไป หากขาดทุน เขาจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง

เฉียวเยี่ยนถูกเขาบีบแก้มจนหน้าแดงเรื่อ แม้นางจะอายุเพียงสิบเก้าปี รอจนเดือนห้าปีนี้ก็จะอายุยี่สิบปีเต็ม แต่เนื้อแท้วิญญาณของนางเป็นหญิงวัยยี่สิบห้ายี่สิบหกปีแล้ว จะไร้เดียงสาเหมือนอย่างสาวน้อยได้อย่างไร?

ทันทีที่มาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน เฉียวเยี่ยนเห็นชาวบ้านหลายคนมารออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านแล้ว แต่ละคนยื่นหน้าออกมา ชะเง้อมองรถม้าของพวกเขา

นางได้ส่งองครักษ์ไปแจ้งแก่หัวหน้าหมู่บ้านล่วงหน้าแล้ว บางทีอาจจะรู้เรื่องสัญญาที่ดินในหมู่บ้านม่านเซียง พวกชาวบ้านจึงมารอที่ปากทางเข้าหมู่บ้านอย่างตื่นเต้น

พวกเขาเฝ้ารักษาป่าท้อขนผืนนี้กระทั่งยากจนเต็มทนแล้ว พอเมื่อวานได้ยินว่าพวกชาวบ้านในหมู่บ้านม่ายเซียงทำสัญญาเช่าที่ดินกับซู่หวางเฟยเพื่อปลูกผัก หนึ่งหมู่ต่อเงินสองตำลึง พวกเขาก็อิจฉาจนอยากจะร้องไห้ออกมา

แต่เช้าวันนี้หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าซู่หวางเฟยกำลังจะมาเยือนที่หมู่บ้านจิ่วหลีพัวของพวกเรา ผู้คนจึงตื่นเต้นมากจนไม่สนใจงานในทุ่งนา และมายืนรอตาปริบ ๆ ที่ทางเข้าหมู่บ้าน

ขั้นตอนทุกอย่างเหมือนกับเมื่อวาน หลังอธิบายเนื้อหาทั้งหมดในสัญญาให้ทุกคนทราบก็ลงนามเช่าที่ดินตามที่ต้องการ เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาจากหมู่บ้านม่ายเซียง ทุกคนจึงได้เตรียมใจไว้แล้ว และประทับตราโดยไม่คิดอะไรมาก

การลงนามในสัญญาวันนี้เร็วกว่าเมื่อวานมาก หลังจากจัดการเรื่องที่ดินเพาะปลูกเสร็จแล้ว เฉียวเยี่ยนถึงได้ถามหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องป่าดอกท้อขึ้นมา

หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านจิ่วหลีพัวเป็นชายวัยกลางคนอายุสามสิบปี มีรูปร่างสูงกำยำ แต่เห็นแล้วกลับดูซื่อสัตย์จริงใจ ยามพูดด้วยรู้สึกได้ถึงความเรียบง่าย

เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินว่าเฉียวเยี่ยนอยากรับผิดชอบป่าท้อขนของพวกเขา ก็พลันตื่นตะลึง จะเอาป่าท้อขนที่มีรสเปรี้ยวฝาดนั้นไปทำอะไร? ต่อให้บุกเบิกไถที่เพื่อปลูกผักก็ปลูกไม่รอดหรอก!

พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ซู่หวางเฟยยังดูแลพวกเขา ให้เงินพวกเขา ดังนั้นจึงมิควรหลอกลวงนาง!

หัวหน้าหมู่บ้านคุยเรื่องป่าท้อขนที่ทำให้พวกเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชังอย่างตรงไปตรงมากับเฉียวเยี่ยน ยิ่งพูดก็ยิ่งเดือดดาลจนอยากจะร้องไห้

ท่านเอ๋ย อย่ามองดอกท้อว่ามันดูดีเลย มันดูดีได้แค่สองสามเดือนก็ร่วงหมดแล้ว ถึงตอนนั้นแต่ละต้นออกผลมาทั้งฝาดทั้งแข็ง แม้แต่หมูก็ไม่กิน

หมู่บ้านจิ่วหลีพัวของพวกเขาขยาดกลัวป่าท้อผืนนี้นัก หากมีต้นไม้อื่นงอกออกมาได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้อไม้จากด้านนอกมาสร้างบ้านแล้ว!

หลายปีมานี้พวกเขาก็อยากตัดต้นท้อพวกนี้มาทำฟืนเหมือนกัน แต่ยิ่งออกผลมาก ก็ยิ่งมีเมล็ดมากขึ้น พอถึงฤดูใบไม้ผลิต้นอ่อนก็งอกขึ้นมา ตัดเท่าไรก็ตัดไม่หมด

ดังนั้นท่านอย่าคิดจะดูแลเนินเขาที่ไร้ประโยชน์ลูกนี้เลย มันไร้ประโยชน์จริง ๆ !

เมื่อเฉียวเยี่ยนได้ฟังคำพูดเขา ก็คิดว่าชายคนนี้ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาน่ารักมาก เมื่อตอนที่เขาพูดนางก็ไม่อาจแทรกคำใดได้เลย เพราะกลัวว่าตัวเองจะหัวร้อนทำอะไรโง่ ๆ ออกมาจริง ๆ

แต่นางต้องการครอบครองยอดเขาแห่งนี้จริง ๆ แม้ในสายตาคนอื่นมันจะเป็นตาปลาบนฝ่าเท้า แต่ในสายตานางมันคือไข่มุก และมีที่ให้ใช้ประโยชน์มากมาย

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

สามีโบ้ผู้นี้มันไม่ได้ดั่งใจสินะเฉียวเยี่ยน เลยออกอาการงอนหนักขนาดนี้

เดี๋ยวก็รู้ว่าเฉียวเยี่ยนจะเปลี่ยนท้อฝาดให้กลายเป็นท้อหวานได้ยังไง

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *