ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 76 เจอกันที่ป่าท้อ
ตอนที่ 76 เจอกันที่ป่าท้อ
ตอนที่ 76 เจอกันที่ป่าท้อ
ช่วงกลางเดือนห้า ดอกท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวร่วงโรยไปแล้วบางส่วน เพื่อให้กิ่งที่ออกผลมีสารอาหารเพิ่มมากขึ้น กิ่งของต้นท้อมากมายจึงถูกตัดออกไป และบนต้นไม้ก็เต็มไปด้วยแผ่นพลาสติกทาบกิ่ง
พวกชาวบ้านในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวต่างสงสัยว่าหวางเฟยพาคนมาทำอะไรกันแน่ จึงวิ่งขึ้นไปบนภูเขา ครั้นพวกเขาพบว่ากิ่งไม้กับยอดหน่อของต้นท้อพันธุ์อื่น ๆ ถูกมัดติดอยู่บนต้นท้อขนเหล่านี้ก็ตกใจยิ่ง หวางเฟยเหนียงเหนียงเป็นบ้าไปแล้วหรือ?
กล่าวกันตามหลักแล้ว เมื่อป่าท้อถูกขายให้กับหวางเฟย มันก็คือทรัพย์สินของหวางเฟย ต่อให้นางซื้อป่าผืนนี้มาเพียงเพื่อชมทิวทัศน์ พวกเขาก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่ใครขอให้หวางเฟยเหนียงเหนียงดีกับพวกเขาล่ะ? ป่าท้อขนผืนนี้ไม่มีใครต้องการ นางก็ยังจ่ายเงินซื้อมาสามพันกว่าตำลึง แถมพวกเขาทุกครัวเรือนยังแบ่งเงินกันคนละสิบกว่าตำลึงอยู่เลย!
เมื่อได้รับเงินส่วนแบ่งแล้ว หลายครัวเรือนก็เตรียมสร้างบ้านใหม่ อีกอย่างหนึ่งหวางเฟยมักจะใจดีกับพวกเขาเสมอ เมื่อเจอหน้ากันก็ยิ้มทักทายไม่มีวางมาดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผู้มีอำนาจในอำเภอยังวางมาดมากกว่านี้อีก
และเป็นเพราะหวางเฟยเหนียงเหนียงดีต่อพวกเขานี่เอง พวกเขาจึงมิอาจมองนางเสียเงินไปเปล่า ๆ ได้
ด้วยเหตุนี้ เกษตรกรชรากลุ่มหนึ่งที่กังวลใจแทนเฉียวเยี่ยนจึงมาเกลี้ยกล่อมนางไม่ให้ทำอะไรเรื่อยเปื่อยถึงที่
เฉียวเยี่ยนถึงกับหมดปัญญา นางพูดจนปากเปียกปากแฉะแล้วพวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่าวิธีของนางจะเป็นไปได้จริง ๆ จึงทำได้แต่รอจนกว่ากล้าทาบกิ่งชุดแรกจะสัมฤทธิ์ผล ถึงจะใช้ความจริงมาพูดได้
ในช่วงสองสามวันที่อยู่ในหมู่บ้านจิ่วหลีพัว นางมักจะตื่นตั้งแต่เช้าไปที่ภูเขา ตอนรับประทานอาหารก็จัดการในป่าท้อ ยุ่งตลอดทั้งวันจนถึงเย็นใกล้มืดถึงกลับที่พัก ยามนี้นางจึงดูซูบผอมลงไปมาก
วันนี้นางตื่นแต่เช้าเช่นเคย พร้อมกับแบกเครื่องมือการทาบกิ่ง สวมหมวก และปีนขึ้นเขาไป
ใกล้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แสงแดดจึงร้อนแรงมาก ทำให้นางร่างรูปมาแผ่นหนึ่งให้ฮุ่ยเซียงนำไปทำหมวกให้นาง ซึ่งมันเป็นหมวกกันแดดที่เห็นได้ทั่วไปในยุคปัจจุบัน ปีกหมวกมีขนาดใหญ่ ทั้งยังติดม่านรอบปีกหมวกที่สามารถคลุมกำบังใบหน้าไว้ได้
ฮุ่ยเซียงมีความชำนาญมาก เพียงคืนเดียวก็ทำหมวกออกมาได้สำเร็จ เฉียวเยี่ยนจึงนำไปสวมทำงานอยู่บนภูเขาทำให้ไม่ถูกแสงแดดแผดเผาจนผิวคล้ำ ครั้นเหล่าสตรีในหมู่บ้านเห็นหมวกใบนี้ก็ทำเลียนแบบตามและสวมใส่ด้วยเช่นกัน
ฮุ่ยเซียงทาบกิ่งไม่เป็น จึงได้รับหน้าที่ทำกับข้าวร่วมกับพวกป้า ๆ และช่วยส่งอาหาเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร
เมื่อเฉียวเยี่ยนขึ้นไปถึงภูเขา ดวงอาทิตย์ก็เพิ่งโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า นางยืนอยู่บนยอดเขาชมพระอาทิตย์ขึ้น โดยที่รอบ ๆ คือทะเลดอกท้อสีชมพู เป็นทิวทัศน์อันงดงามสุดจะพรรณนานัก
นางสูดหายใจเข้าลึก อากาศบริสุทธิ์ทำให้นางมีกำลังเป็นพิเศษ เหล่าทหารที่พักอยู่บนภูเขาได้เริ่มทำงานแล้ว เมื่อปีนขึ้นไปบนยอดไม้ สหายที่อยู่รอบ ๆ ก็ตะโกนร้องเพลงชาวเขาออกมา ประหนึ่งกอริลล่าร้องคำรามก็ไม่ปาน
ครั้นเห็นหวางเฟยมาแล้ว แต่ละคนต่างก็หัวเราะด้วยอาการโง่งม เฉียวเยี่ยนเองก็คล้อยตามพวกทหารน่ารักกลุ่มนี้ ขานเพลงรับออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขมาก
หลังจากคบค้าสมาคมมาสิบกว่าวัน พวกทหารล้วนศิโรราบให้กับเฉียวเยี่ยนกันทั้งสิ้น นอกจากท่านอ๋องแล้ว พระนางคือคนที่สองที่ทำให้พวกเขาเกิดความเชื่อมั่น
อย่ามองว่าหวางเฟยงดงามดุจนางฟ้าบนสวรรค์เป็นแจกันดอกไม้บอบบาง ยามนางทำงานขึ้นมาเมื่อใด บุรุษอย่างพวกเขายังเทียบนางไม่ได้เลย โดยเฉพาะเรื่องพละกำลังที่เพียงหมัดเดียวก็ฆ่าคนตายได้!
ไม่กี่วันก่อนหน้าได้เริ่มสร้างที่พัก และต้องขนไม้จากตีนเขาขึ้นมา เนื่องจากรถม้าขึ้นมาไม่ได้ จึงจำต้องให้คนงานแบกขึ้นมา พวกเขาสองสามคนที่เป็นบุรุษหามท่อนไม้เพียงท่อนเดียวก็เหนื่อยจนหายใจหอบแล้ว แต่แม่เจ้า…หวางเฟยเหนียงเหนียงแบกหามไม้ท่อนหนึ่งด้วยตัวคนเดียวกลับยังเดินปร๋อราวกับบินอยู่เลย!
พวกเขารู้แล้วว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้กลัวภรรยาเช่นนี้ เป็นเพราะยอมศิโรราบต่ออานุภาพของหวางเฟยสินะ!
ตะวันลอยขึ้นสูง อุณหภูมิก็เริ่มสูงขึ้น เหล่าคนที่วุ่นวายกับงานต่างปาดเหงื่อออกจากใบหน้า และจดจ่อกับงานที่ทำอยู่
ในระหว่างที่เฉียวเยี่ยนกำลังทาบกิ่งอย่างคล่องแคล่วแม่นยำนั้น ก็พลันได้ยินเสียงลูกทั้งสองตะโกนเรียกแม่ดังขึ้นข้างหู
นางหันไปมองรอบ ๆ ทว่าไม่เห็นใคร ก็นึกขบขันอยู่ในใจ ดูเหมือนนางจะหลอนไปเองเสียแล้ว
ระบบตัวน้อยเองก็ได้ยินเช่นกัน นางปลดปล่อยพลังแสกนค้นหา พบว่าเป็นเด็กทั้งสองมาดั่งที่คาดไว้จริง ๆ แถมพี่มู่คนหล่อยังอุ้มพวกเขาเดินมาทางนี้
นางกระโดดลิงโลดรายงายกับเฉียวเยี่ยน
[ท่านโฮสต์ พวกเด็ก ๆ มาแล้วจริง ๆ พี่มู่คนหล่อก็มาด้วย! ]
เฉียวเยี่ยนตกใจ แต่ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความสุข นางกระโดดลงจากต้นไม้อย่างราบรื่นรวดเร็ว และวิ่งไปยังทิศทางของเสียง
มู่ฉินเจินกับลูก ๆ ขึ้นไปบนภูเขาตั้งแต่เช้าแล้ว ทว่าป่าท้อนั้นใหญ่เกินไป ทั้งยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเฉียวเยี่ยน หลังจากค้นหาอยู่นาน ลูกทั้งสองก็เอาแต่ร้องหาแม่มาตลอดทาง
เสียงยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หัวใจของเฉียวเยี่ยนเองก็ยิ่งเต้นระรัว นางได้ยินถึงเสียงสะอื้นที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของพวกเด็กๆ พวกเขาต้องอยากเจอนางมากแน่
ในที่สุด เสียงที่ดังแว่วมาเป็นระลอก ๆ ก็ชัดเจนมากขึ้น ร่างของบุรุษกับเด็ก ๆ ปรากฏอยู่ในสายตาของนาง เด็กทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของมู่ฉินเจิน กำลังเสียใจจนน้ำตาเอ่อคลอ ขณะมู่ฉินเจินจ้องนางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มและร้อนผ่าว
เฉียวเยี่ยนทั้งรู้สึกเจ็บปวดและขมขื่น พร้อมกับความรู้สึกอุ่นซ่านเป็นระลอก ที่แท้พวกเขาก็คิดถึงนางมากเช่นกัน
นางวิ่งไปหา รับเด็กทั้งสองเข้ามาในอ้อมกอด ความรู้สึกที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กลั้นมาตลอดทางพลันระเบิดออกมาจนหมดสิ้น ร้องไห้ออกมาเสียงดัง มือน้อย ๆ จับชายผ้ามารดาไว้แน่น พูดพึมพำเสียงอู้อี้
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์เองก็ซุกศีรษะน้อยเข้าไปในอ้อมอกมารดา และแอบร้องไห้อย่างเงียบๆ
เฉียวเยี่ยนปวดใจอย่างยิ่งยวด หลั่งน้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่ไหว และเอื้อนเสียงอ่อนโยนปลอบเด็กๆ
มู่ฉินเจินจ้องมองเฉียวเยี่ยนด้วยดวงตาร้อนผ่าว ไม่เจอกันนาน นางผอมลงอีกแล้ว และดูซีดเซียวลงไปไม่น้อย คงจะเหนื่อยมากเลยสินะ
แต่พอเห็นสามแม่ลูกกอดกันร้องไห้ ใจเขาก็อ่อนลง ไม่ว่าจะเป็นสตรีตัวเล็กเก่งกาจแค่ไหน พออยู่ต่อหน้าลูก ๆ ก็ยังหลั่งน้ำตา
ฉับพลันใจเขาร้อนรุ่มระคนขมขื่น ก่อนยื่นมือออกไปกอดสามแม่ลูกไว้ในอ้อมแขน โดยพวกเด็ก ๆ ถูกหนีบไว้ระหว่างกลาง พลางใช้มือลูบหลังนางไว้
เขารูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง แผ่นอกผึ่งผาย กระทั่งโอบอุ้มสามแม่ลูกไว้ในอ้อมกอดได้
ท่าทางการกอดนี้ช่างแปลกประหลาด ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับรู้สึกอบอุ่นและสบายใจมาก นี่สินะอ้อมกอดของบุรุษ
นี่เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะเกิดขึ้น นางจึงมิได้ผลักเขาออกแต่อย่างใด ทั้งสี่คนโอบกอดกันและกันอยู่ในป่าท้ออย่างเงียบสงบ
ระบบตัวน้อยดึงกระดาษทิชชู่ออกมาสั่งน้ำมูกอย่างรุนแรง ดวงตาสองข้างเอ่อคลอน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจยิ่งนัก โฮสต์ของนางได้เข้าใจไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว!
เหล่าทหารที่ทำงานอยู่รอบด้านเห็นท่าทางของทั้งสี่คนแล้ว ก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรไปรบกวน ทว่ากลับรู้สึกเข็ดฟันเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเองก็อยากมีเมียมีลูกเหมือนกันนะ!
หลังกอดกันครู่หนึ่ง เด็กน้อยทั้งสองก็หยุดร้องไห้ ทำเอาเฉียวเยี่ยนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ก่อนผละกายออกจากอ้อมกอดมู่ฉินเจิน
ครั้นพบว่าในอ้อมกอดว่างเปล่า มู่ฉินเจินก็รู้สึกเสียดายยิ่ง หวนนึกถึงสัมผัสแสนอบอุ่นและอ่อนโยนเมื่อครู่ หากได้กอดนานอีกนิดคงดีไม่น้อย
ลูกทั้งสองไม่ได้เจอผู้เป็นมารดามาเนิ่นนาน จึงเอาแต่เกาะติดเฉียวเยี่ยนเหมือนหยกแขวน มือน้อยกำชายเสื้อนางแน่น ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
เฉียวเยี่ยนปวดใจยิ่งนัก จึงหอมแก้มจิ้มลิ้มของพวกเขา และไม่คิดจะทำงานต่อแล้วเช่นกัน หลังจากกำชับคนงานครู่หนึ่ง จึงพาสามพ่อลูกกลับไปยังหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านจิ่วหลีพัวจัดแจงลานบ้านส่วนตัวให้นาง เป็นบ้านใหม่ที่พวกชาวบ้านสร้างขึ้น ทั้งยังมิได้เข้าไปพัก เมื่อได้ยินว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงจะมา จึงยกบ้านให้ทันที อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่ในบ้านเก่าทรุดโทรมมากว่าครึ่งชีวิตแล้ว ตอนนี้จึงไม่ได้รีบร้อนนัก
ครั้นฮุ่ยเซียงเห็นท่านอ๋องมา นางก็ลอบถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ ทว่าเห็นแก่นายน้อยทั้งสองแล้ว นางจึงยอมใจกว้างไม่ตามไปเป็นก้างขวางคอทั้งสี่คน ก่อนไปคุยเล่นกับพวกป้า ๆ ในหมู่บ้านแทน ถึงจะสิ้นหวัง แต่ก็มิได้สิ้นหวังไปเสียหมดหรอก…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอ็นดูเด็กๆ สามคนจังเลยค่ะ แค่เฉียวเยี่ยนไม่อยู่บ้านครึ่งเดือนก็ร้องไห้งอแงกันแล้ว
สงสารฮุ่ยเซียง โดนท่านอ๋องแย่งความโปรดปรานจากหวางเฟยไปอีกแล้ว ต้องเข้าใจหมาไซบีเรียนฯติดเจ้าของนะคะ พอเจ้าของไม่อยู่ก็หอนระงมจนต้องตามหาเจ้าของถึงที่แบบนี้แหละค่ะ ๕๕๕+
ไหหม่า(海馬)
Comments