ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 83 วิชาออดอ้อน สามีภรรยาประลองกัน
ตอนที่ 83 วิชาออดอ้อน สามีภรรยาประลองกัน
ตอนที่ 83 วิชาออดอ้อน สามีภรรยาประลองกัน
มู่ฉินเจินนั่งจัดการงานราชกิจทหารอยู่ในกระโจมทั้งวัน นั่งจนร่างกายแข็งค้างไปหมดแล้ว ระหว่างคิ้วก็ปวดระบม เขาวางสมุดพับในมือลง พลางปิดเปลือกตา วางมือค้ำศีรษะ ปล่อยให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย
เมื่อเฉียวเยี่ยนมาถึงค่ายทหาร นางก็ไม่ให้ใครไปรายงาน นางมาที่นี่เป็นครั้งแรกจึงไม่คุ้นทาง ทว่าเด็กทั้งสองเป็นแขกประจำ จึงคุ้นเคยทางเป็นอย่างดีและหากระโจมหลักเจอ
วินาทีที่นางแยกม่านออก มู่ฉินเจินก็ลืมตาขึ้น คิดว่าเป็นคนอื่นเข้ามาใกล้ จึงแผ่ไอเยือกเย็นบนร่างออกมา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเฉียวเยี่ยน เขาชะงักไปอย่างชัดเจน ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าทันที
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
เฉียวเยี่ยนยิ้ม พลางยกกล่องข้าวในมือขึ้นมา “มาส่งข้าว”
ทั้งสองส่งยิ้มให้กันและกัน สายตาประสานกัน ซึ่งมันดูสนิทสนมมากกว่าเมื่อก่อนโดยไม่รู้ตัว
เด็กน้อยทั้งสองที่ถูกละเลยเรียกร้องความสนใจโดยโผเข้าใส่อ้อมกอดผู้เป็นพ่อ อยากจะกอดเขาไว้
มู่ฉินเจินยิ้มอย่างมีความสุขและอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นมา หอมคนละหนึ่งฟอด ในใจพ่องโต และอิ่มเอมใจกับทั้งสามแม่ลูก
ขณะสามพ่อลูกกำลังเล่นอยู่ด้วยกัน เฉียวเยี่ยนจึงนำกล่องข้าวไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วนำข้าวที่อยู่ข้างในออกมา
หม้อดินสามหม้อถูกห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา พอหยิบออกมาก็ยังร้อนอยู่ เมื่อเปิดฝาหม้อออก กลิ่นหอมเตะจมูกก็ลอยโชยออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ฉินเจินได้เห็นข้าวที่ส่งมาพร้อมหม้อ จึงรู้สึกอดอยากรู้ไม่ได้ ส่วนเด็กทั้งสองเมื่อได้กลิ่นหอมก็วิ่งไปใกล้มารดา ดวงตากลมโตเป็นประกายเอาแต่จ้องมองหม้อดินสามใบนั้น
เฉียวเยี่ยนดูออกว่าพวกเขาอยากรู้ จึงเอ่ยอธิบาย “นี่เรียกว่าข้าวอบหม้อดิน รีบมาชิมเร็วว่ารสชาติดีหรือไม่”
ท่านอ๋องที่จัดการงานราชกิจทหารมาทั้งวันก็อยากอาหารขึ้นมา ก่อนจะเดินไปล้างมือที่อ่างน้ำด้านข้าง แล้วนั่งอยู่ข้างโต๊ะเริ่มทานอาหาร
ข้าวสวยฉ่ำไปด้วยรสของไส้กรอกกับน้ำปรุงรส ชั้นนอกสุดเป็นข้าวดังที่เหลืองเกรียมเล็กน้อย ซึ่งมีความกรอบมาก พอกินข้าวไปหนึ่งคำคู่กับไส้กรอก รสชาติก็ถือว่าใช้ได้เลย
หม้อดินสามหม้อ มู่ฉินเจินกับเฉียวเยี่ยนกินคนละหนึ่งหม้อ ส่วนลูกทั้งสองกินหม้อที่เหลือด้วยกัน เด็กทั้งสองสวมเอี๊ยมน้อย ศีรษะน้อยๆ ชนใกล้กัน ถือช้อนตักข้าวเข้าปาก กินอย่างเอร็ดอร่อยยิ่ง
ทว่าข้าวหม้อหนึ่งพวกเขาทานไม่หมดหรอก ข้าวที่เหลือจึงตกไปอยู่ในท้องของมู่ฉินเจิน
พวกทหารสองสามคนที่เฝ้าอยู่นอกกระโจมได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากข้างในก็หิวจนท้องร้องออกมา แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน จึงทำได้เพียงสูดกลิ่นและนึกถึงว่าวันนี้ฝ่ายทำอาหารทำของอร่อยอะไร
หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเด็ก ๆ ก็ไปเล่นกับพวกลุงทหาร พวกนายพลเฒ่าสองสามคนชอบอุ้มเด็กน้อยทั้งสองไปเดินเล่นทั่วทุกที่ในค่ายทหาร และชอบคุยโม้กับพวกทหารใหญ่คนอื่นเป็นที่สุด
ภรรยากับลูกก็มากันหมดแล้ว มู่ฉินเจินก็ไม่มีความคิดจะทำงานต่อ และพาเฉียวเยี่ยนไปเดินเล่นย่อยอาหาร
เฉียวเยี่ยนเผลอยิ้มออกมา และเอ่ยถาม “ท่านไม่ทำงานล่วงเวลาต่อแล้วหรือ?”
มู่ฉินเจินไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาพานางออกมาจากกระโจม และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วมาก ทว่าจริงจัง “งานราชกิจทหารไม่ได้สำคัญมากกว่าเจ้า”
เฉียวเยี่ยนหน้าแดงอีกครั้ง พลางมองค้อนเขา “คนกะล่อน”
ครั้นนึกถึงเรื่องพระราชโองการ นางจงใจตีหน้าขรึม แสร้งเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ก่อนหน้านี้เหตุใดท่านถึงได้มอบพระราชโองการปลอมมาและบอกข้าว่าเป็นรางวัลของเสด็จพ่อด้วย?”
“ท่ายรู้หรือไม่ว่าการมอบพระราชโองการปลอมมีโทษอันใด? มีโทษตายเชียวนะ”
มู่ฉินเจินชะงักไป เรื่องมันนานมาแล้ว เขาลืมไปหมดแล้ว และเขาก็ไม่ได้บอกตาเฒ่าล่วงหน้า
เขาสำรวจท่าทางของเฉียวเยี่ยน เห็นนางเหมือนจะโกรธจริง จึงลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
“เจ้าอย่าโมโหไปเลย ตาเฒ่านั่นไม่ทำอะไรข้าหรอก…”
เฉียวเยี่ยนมองท่าทางลุกลี้ลุกลนกับสำนึกผิดของเขาแล้ว ก็ใจอ่อน เหตุใดนางต้องโกรธ นางเอาอะไรมาโกรธเขาได้
นางส่งเสียงหัวเราะออกมา มองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดุจดอกไม้ มู่ฉินเจินนิ่งอึ้งไปทันที ก่อนได้สติกลับมาว่าเจ้าท่อนไม้แกล้งโกรธเขา
เขาดีดหน้าผากนางอย่างจนใจ และเอ่ยอย่างหลงใหล “เจ้านี่นะ แกล้งข้าให้ตกใจมันสนุกขนาดนั้นเชียวรึ?”
เฉียวเยี่ยนกุมหน้าผาก และแลบลิ้นใส่เขา พลางเชิดดวงหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่สน ต่อไปท่านห้ามโกหกข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ทำอาหารให้ท่าน ปล่อยให้ท่านหิวโซ แล้วก็จะพาลูก ๆ หนีไปด้วย!”
ท่าทางเย่อหยิ่งนั้นตกอยู่ในสายตาของมู่ฉินเจิน ซึ่งมันน่ารักยิ่งนัก เขาโค้งตัวคำนับอย่างกับทำเป็นเรื่องใหญ่ “รับทราบขอรับ ฮูหยินของข้า”
คำว่า ‘ฮูหยิน’ ที่มีทั้งความหยอกล้อและแฝงไปด้วยความตามใจนั้น ทำให้เฉียวเยี่ยนแก้มร้อนผ่าว นางหมุนตัวกลับของลนลาน ก่อนวิ่งไปดูพวกทหารที่กพลังฝึกกันอยู่
ช่วยด้วย! ชายคนนี้มักจะจี้จุดให้นางสะดุ้งโดยไม่รู้ตัวเลย!
มู่ฉินเจินมองแผ่นหลังลนลานหลบหนีของนาง ก็ส่งเสียงหัวเราะบางเบาออกมา ก่อนยกเท้าก้าวเดินตามนางไป
ในลานสนามพวกทหารกำลังจัดการแข่งขันต่อสู้กันอยู่ สองฝ่ายต่อสู้กัน ผู้ชนะจะเข้าสู่การแข่งขันครั้งต่อไป ส่วนผู้แพ้จะถูกลงโทษ ทำเช่นนี้ค่อย ๆ คัดออกทุกรอบ สุดท้ายก็เลือกคนที่มีความสามารถดีที่สุดออกมา
เฉียวเยี่ยนมองอย่างสนใจ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝึกหมัดมวย ยามนี้เห็นภาพดุเดือดเลือดพล่านเช่นนี้ ก็รู้สึกจั๊กจี้หัวใจ อยากจะหาใครมาประลองด้วย
ครั้นเห็นมู่ฉินเจินเดินเข้ามา ดวงตาทั้งสองของนางพลันเปล่งประกาย “เราสองคนมาประลองกันสักรอบหน่อยไหม?”
มู่ฉินเจินขมวดคิ้วมุ่น “เด็กดี ไม่ก่อเรื่อง”
เขาจะลงมือกับเจ้าท่อนไม้ได้ลงคอได้อย่างไร
เฉียวเยี่ยนมุ่ยปาก เหมือนสหายน้อยโมโห “พูดมาสิ! ท่านดูแคลนข้าใช่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่สู้กับข้า!”
มู่ฉินเจินจนใจอย่างสุดขีด เขารู้สึกว่าเฉียวเยี่ยนในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก และงอนเขาเป็นแล้ว เขาชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ของนาง ถึงขั้นหวังว่านางจะไม่เกรงใจอีก ในยามที่นางไม่เป็นกังวลต่อหน้าตัวเอง ก็แสดงว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในหัวใจนางแล้ว
ครั้นเฉียวเยี่ยนเห็นว่าการแกล้งโมโหใช้ไม่ได้ผล ก็นึกถึงท่าทางออดอ้อนของเจ้าปลาอ้วน จึงดึงชายเสื้อของมู่ฉินเจินไว้ เผยนัยน์ตาแวววาวออกมา และมองเขาอย่างน่าสงสาร พลางส่ายชายเสื้อเขาเบา ๆ
“แค่ต่อสู้กันรอบหนึ่งเอง ไม่ได้หรือ”
มู่ฉินเจินรู้สึกว่าตัวเองลอยไปแล้ว ลอยเพราะถูกกระสุนเคลือบน้ำตาลของเฉียวเยี่ยนระเบิดใส่ ก็แค่ต่อสู้เอง สู้ก็ได้! นางอยากจะสู้อย่างไรก็สู้อย่างนั้น!
เขายิ้มเอาใจ “ก็ได้ หมดปัญญากับเจ้าแล้วจริง ๆ ”
เมื่อแผนการสำเร็จ เฉียวเยี่ยนก็รีบเก็บท่าทางดัดจริตนั่นทันที มิน่าเล่าผู้หญิงหลายคนถึงชอบทำตัวร่านแรด ที่แท้ผู้ชายล้วนชอบเช่นนี้นี่เอง!
นางแอบจำท่าทางออดอ้อนในวันนี้ไว้ในใจ ไม่แน่วันหน้าอาจจะยังได้ใช้อีก
ทหารที่อยู่รอบบริเวณได้ยินว่าท่านอ๋องกับหวางเฟยจะแลกเปลี่ยนความรู้กัน ดวงตาแต่ละคนก็เปล่งประกายเร่าร้อนดุจดวงอาทิตย์ นี่คือสิ่งที่สามารถดูได้โดยที่พวกเขาไม่ต้องจ่ายเงินหรือ?
คนกลุ่มหนึ่งอยากร่วมความสนุก สุดท้ายจึงหยุดการแข่งขันต่อสู้ลง พวกทหารนั่งประจำที่ รอดูท่านอ๋องกับหวางเฟยประลองฝีมือกัน
ท่านอ๋องต่อสู้ไม่น่าแปลกหรอก ทว่าท่านอ๋องถูกโต้กลับนั้นหาดูได้ยากนัก!
ดูจากระดับการติดเมียของท่านอ๋อง เขาย่อมต้องอ่อนข้อให้หวางเฟย จนสุดท้ายก็ถูกจับมัดห้อยเฆี่ยนตี!
การแข่งขันของทั้งคู่ก็ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเสียงโห่ร้องของเหล่าทหาร ลูกน้อยทั้งสองกลายเป็นกองหนุน แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ทีมไหน สุดท้ายก็อยู่ตรงกลาง ตะโกนท่านแม่สู้ ๆ ที ท่านพ่อสู้ ๆ ที ซึ่งเป็นไปอย่างยุติธรรม และไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวกอย่างแน่นอน
วันนี้เฉียวเยี่ยนสวมอาภรณ์รัดกุม สะดวกต่อการต่อสู้ นางบีบหมัดแน่น และเอ่ยกับมู่ฉินเจิน “อย่าอ่อนข้อให้ข้านะ การเก็บพละกำลังไว้เป็นการไม่เคารพต่อคู่ต่อสู้!”
การประลองเริ่มขึ้น เฉียวเยี่ยนเริ่มบุกโจมตีก่อน พลางแกว่งหมัดไปทางมู่ฉินเจิน
ทั้งสองไม่ได้ใช้อาวุธ สู้กันด้วยมือเปล่า เฉียวเยี่ยนโจมตีอย่างดุดัน ในขณะที่มู่ฉินเจินรับทุกการเคลื่อนไหว โดยไม่มีความตื่นตระหนกใด ๆ เมื่อตกอยู่ในอันตราย ทั้งสองรุกรับกันไปมา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนหอบเสียงลมมาด้วย
พวกทหารมองจนมึนงง ไม่คิดเลยว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงที่ดูงดงามนิ่มนวลขนาดนั้น จะมีพละกำลังแข็งแกร่งเช่นนี้ จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เห็นใครที่สามารถรับมือท่านอ๋องได้เกินสิบกว่ากระบวนท่าเลย!
อะไรนะ? ท่านอ๋องอ่อนข้อให้หวางเฟยรึ?
จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่เห็นหมัดนั้นของหวางเฟยที่ชกจนเป็นหลุมออกมารึ? หากท่านอ๋องกล้าอ่อนข้อให้ ต้องถูกชกไปแล้วเป็นแน่!
มู่ฉินเจินรู้ว่าเฉียวเยี่ยนเก่งกาจ หลังจากต่อสู้กับนางเขาก็ตั้งอกตั้งใจมาโดยตลอด ไม่ได้ประเมินศัตรูต่ำเลยแม้แต่น้อย กระบวนท่าของนางนั้นแปลกมาก และเขาก็รู้ว่านางไม่มีกำลังภายใน ทว่านางกลับโจมตีได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และดุดัน ท่าทางสู้ยิบตานั้น หากเขากล้าประเมินศัตรูต่ำก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแน่
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหล่าทหารจะได้เห็นท่านอ๋องแพ้เมียหรือเปล่าน้า แต่ที่แน่ๆ ท่านอ๋องแพ้ใจเฉียวเยี่ยนไปแล้ว
ไหหม่า(海馬)
Comments