ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 94 งานประลองผัก
ตอนที่ 94 งานประลองผัก
ตอนที่ 94 งานประลองผัก
นอกจากตำหนักอ๋องที่ดื่มด่ำความสุขไปกับการเก็บเกี่ยวแล้ว ในพระราชวังเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ตั้งแต่สร้างเรือนกระจกปลูกผักในพระราชวัง ภายในวังก็จัดหาผักได้อย่างอิสระ ซึ่งประหยัดค่าซื้อผักในหนึ่งปีไปได้มากโข
นอกจากประหยัดค่าผักแล้ว พวกขันทีกับนางข้าหลวงใน และพวกเหนียงเหนียงสนมในวังต่างก็ประพฤติตัวดีกันไม่น้อย
นอกจากพวกขันทีกับนางข้าหลวงจะทำงานของตัวเองได้ดีแล้ว ยังรับผิดชอบดูแลผักในสวนด้วย ซึ่งใช้ชีวิตได้เต็มอิ่มมากทุกวันจนไม่มีเวลามาตีสนิทและซุบซิบนินทากัน
ส่วนพวกสนมนางบำเรอเหล่านั้นต่างเอาอกเอาใจฮ่องเต้เฒ่า เนื่องด้วยเขาหลงใหลในการปลูกผัก จึงแสร้งทำเป็นปลูกผักตามด้วย
แต่การปลูกผักในคราวนี้กลับหยุดไม่ได้แล้ว เพราะมีการเปรียบเทียบกันทุกที่ในวังหลัง เมื่อใดที่เหนียงเหนียงคนไหนปลูกผักได้เติบโตดี นางสนมคนอื่นๆ ก็ไม่พอใจ พยายามดูแลที่ดินของตัวเอง และพยายามทำให้ผักของตัวเองเติบโตดีกว่าอย่างคนอื่น
ด้วยเหตุนี้ พวกนางสนมที่แสร้งปลูกผักในคราวแรกก็หลงใหลในการปลูกผักเข้าจริงๆ ทุกวันต่างนำจอบน้อยไปที่แปลงผักเพื่อพรวนดินและกำจัดวัชพืชให้กับพวกผัก
พูดตามตรงแล้วสตรีในพระราชวังก็น่าสงสารยิ่งนัก เมื่อได้เข้ามาอยู่ในพระราชวังก็ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง วันๆ หนึ่งนอกจากคอยเอาอกเอาใจบุรุษคนหนึ่งแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นอะไรให้ทำเลย
เหตุใดถึงได้มีสงครามนางในน่ะหรือ?
ก็เพราะว่าว่างน่ะสิ หากหาอะไรให้พวกนางทำเสียหน่อย ให้พวกนางเหนื่อยจนยืดเอวตรงไม่ได้ ยังจะมีใจทำสงครามกันไปมาอยู่อีกหรือ?
ดังนั้น ตอนนี้พวกเหนียงเหนียงทุกตำหนักจึงรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเต็มอิ่มมากแล้ว ในสายตาพวกนาง กล้าผักในแปลงพวกนั้นหาใช่เป็นแค่ผัก แต่ยังเป็นที่พึ่งทางใจของพวกนางด้วย
สองสามวันมานี้ฮ่องเต้เฒ่ามีความสุขอย่างมาก เขาโยนสาส์นไปให้พระราชโอรสจัดการ และหลังเลิกว่าราชกิจก็ถือเคียวถือตะกร้าไปเก็บผักกับฮองเฮา
ศาลาที่เฉียวเยี่ยนสั่งให้คนสร้างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเถาแตง แตงแต่ละลูกห้อยอยู่กลางอากาศ และบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปแล้ว จนแลคล้ายกับโคมไฟห้อยระย้า
ฮ่องเต้เฒ่าดูแลแตงพวกนี้เหมือนดูแลลูก และกลัวว่าขั้วผลแตงจะรับน้ำหนักแตงไม่ไหวตกลงมาแตกเน่าเสีย จึงรับสั่งให้คนทำถุงตาข่ายหุ้มผลแตงไว้
ฮองเฮาได้เรียนการทำบะหมี่ตุ๋นซี่โครงถั่วกับเฉียวเยี่ยนมา ช่วงนี้จึงชอบเก็บถั่วฝักยาวไปตุ๋นบะหมี่ให้ฝ่าบาทเสวยในห้องเครื่อง
ผลไม้แดงกับพริกที่ปลูกในพระราชวังล้วนสุกหมดแล้ว ซึ่งผลไม้แดงต่างๆ เฉียวเยี่ยนเป็นคนเพาะเลี้ยงออกมาเองหมด มีขนาดผลใหญ่มากและฉ่ำน้ำ เก็บมาล้างผลหนึ่งแล้วก็นำมารับประทานเป็นผลไม้ได้เลย
เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรผลแตงสุกงอมในสวนแล้ว ก็ทรงตัดสินพระทัยจัดงานประลองผักครั้งใหญ่ และใช้งานเลี้ยงครั้งนี้เฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง พลางถือโอกาสนี้อวยพรให้กับทุกคน
ในช่วงเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี พวกชาวบ้านจะจัดพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ซึ่งเทียบเท่ากับเทศกาลเก็บเกี่ยว ถวายเครื่องเซ่นแด่เทพแห่งธรณี เฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว ฮ่องเต้เองก็จัดพิธีบวงสรวงเทพเจ้าในพระราชวังเช่นกัน เพื่ออธิษฐานให้ผู้คนรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
ฮ่องเต้เฒ่าอยากจัดงานประลองผัก เพื่อให้ขุนนางข้าราชบริพารในราชสำนักได้สัมผัสกับความสุขของการเก็บเกี่ยวในฤดูสารท
หลังจากมีความคิดเช่นนี้ เขาก็เรียกขุนนางคนสำคัญที่คอนช่วยเหลือตนเข้าวังมาหารืออย่างไม่รีรอทันที หลังจากได้รับการสนับสนุนจากชายชราสองสามคนนั้นแล้วก็ออกพระราชโองการกำหนดวันจัดงานประลองผักขึ้นในวันที่ยี่สิบสามเดือนเก้า และเมื่อถึงเวลานั้นก็ให้ขุนนางแต่ละคนพาครอบครัวมาเข้าร่วมงานเลี้ยง
เมื่อบอกว่าเป็นงานประลองผัก ก็ต้องมีการ ‘ประลอง’เกิดขึ้น ดังนั้นฝ่าบาทจึงรับสั่งให้ขุนนางทุกคนนำผักที่ตัวเองปลูกมาด้วยในตอนที่มาร่วมงานเลี้ยง และเอามาเปรียบเทียบกัน
หลังจากได้รับข่าวนี้ ก็มีขุนนางไม่น้อยที่รู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก จึงรีบถือโอกาสก่อนเก็บเกี่ยวนี้รดน้ำใส่ปุ๋ยให้ผักของตัวเอง และตั้งตารอให้มันเติบโตใหญ่กว่านี้อีกหน่อย
ส่วนพวกขุนนางที่ไม่ได้ปลูกผักก็อึ้งไป พวกเขาจะไปหาผักที่ไหนมาประลอง และหากปลูกในยามนี้สักต้นหนึ่งมันจะทันรึ?
เฉียวเยี่ยนเองก็ได้รับพระราชโองการเช่นกัน นางไม่เพียงแต่ต้องเข้าร่วมงานประลองผัก แต่ยังต้องรับหน้าที่เตรียมอาหารสำหรับงานประลองผักในครานี้ด้วย เพราะฮ่องเต้เฒ่ามีรับสั่งให้นางพาพวกพ่อครัวหลวงทำอาหารให้เข้ากับหัวข้อหลักการประลองผัก
นางถือพระราชโองการด้วยอาการอึ้งค้าง ฝ่าบาทโยนงานมาให้นางทำแบบไม่บอกไม่กล่าวเลยสักนิด แม้แต่โอกาสเตรียมตัวก็ยังไม่ให้นาง
วันนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนเก้าแล้ว ห่างจากวันงานประลองผักอีกห้าวัน เหลือเวลาให้นางได้เตรียมตัวน้อยมาก มู่ฉินเจินเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็อุทานออกมาว่าตาเฒ่าทำเรื่องอุกอาจเกินไปแล้ว รู้จักใช้งานแต่ภรรยาเขา
เขาดึงเฉียวเยี่ยนเข้ามาในอ้อมกอด พลางลูบศีรษะนาง และเอ่ยปลอบโยน “ไม่ต้องห่วง รองานเลี้ยงจบเมื่อใด ข้าจะขอพระราชทานเงินรางวัลจากตาเฒ่ามาให้เจ้า”
เฉียวเยี่ยนพิงอยู่บนแผ่นอกเขา มันช่างรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมาก นางยื่นนิ้วไปจิ้มๆ แผ่นอกแน่นของเขาอย่างขบขัน “ท่านเข้าข้างข้าเช่นนี้ ไม่กลัวเสด็จพ่อจะลงโทษท่านหรือ”
มู่ฉินเจินกระชับอ้อมแขนให้นางแนบชิดกับตัวเองยิ่งขึ้น และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่กลัว เชิญทำเต็มที่เลย ”
สองสามีภรรยานั่งกอดกันอยู่ที่ศาลาในสวนอยู่ตลอดเวลา เมื่อพวกข้ารับใช้เดินผ่านมาเห็นภาพนี้เข้าก็ปิดปากแอบยิ้ม
ช่วงนี้ระบบตัวน้อยกินน้ำตาลหวานจนแสบคอไปหมดแล้ว นางหวังว่าโฮสต์กับพี่มู่คนหล่อจะมีอะไรเร้าใจมากกว่านี้ เอาแต่กอดกัน หอมกันแบบไร้เดียงสาเช่นนี้ มันดูไม่พอเลย!
อย่างน้อยก็จูบแบบฝรั่งเศส หรือไม่ก็เครื่องฟิตสตาร์ทติดไวอะไรทำนองนั้นออกมาหน่อย
เฉียวเยี่ยนรู้ทันความคิดของเด็กน้อยก็รู้สึกเอือมระอา นี่คือสิ่งที่เด็กซนคนหนึ่งควรคิดหรือ?
ส่วนเด็กน้อยทั้งสองใช้ชีวิตในวันหยุดได้มีความสุขมาก ทุกวันหากไม่เดินเล่นไปทุกที่ตามเฉียวเยี่ยนก็ไปค่ายทหารกับมู่ฉินเจินเพื่อไปเล่นกับพวกลุงทหารเหล่านั้น บางครั้งก็ไปเล่นบ้านสหาย มีความสุขอย่างมากทุกวัน
ไก่ที่เลี้ยงปล่อยในป่าท้อก็โตขึ้นมาแล้ว ซึ่งแต่ละตัวมีน้ำหนักถึงหกเจ็ดชั่ง เฉียวเยี่ยนจึงหาช่างจักสานมาหนึ่งคน ให้เขาสร้างกรงไก่ขนาดใหญ่อันหนึ่งที่พอจะสามารถวางไว้ในเกวียนวัวหรือรถม้าได้
เมื่อจับไก่ได้แล้ว ก็เอาไก่ใส่ไว้ในกรง แล้วขนส่งมายังหอฮวาอวิ๋น ช่วงนี้หอฮวาอวิ๋นได้เปิดตัวอาหารที่เกี่ยวกับเนื้อไก่จำนวนมาก และการตอบรับก็ไม่เลวเลย
ไก่ที่ปล่อยเลี้ยงในภูเขา เนื้อของมันหาใช่ไก่ที่เลี้ยงในบ้านจะเทียบได้ เมื่อนำมันมาต้มเป็นน้ำแกงก็ทั้งสดอร่อยและไม่เลี่ยนมาก
สองสามวันมานี้เฉียวเยี่ยนเอาแต่คิดเรื่องอาหารในงานประลองผัก ครั้นนึกถึงไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยของนาง ในหัวก็มีแสงสว่างวาบปรากฏออกมา
นางสามารถใช้ผักต่างๆ ที่อยู่ในพระราชวังมาเป็นวัตถุดิบหลัก แล้วเพิ่มไก่เลี้ยงแบบปล่อยของนางเข้าไป ทำเป็นอาหารพื้นบ้านได้
อย่ามองว่าอาหารพื้นบ้านหน้าตาไม่ดี ชื่อไม่น่าฟัง ทว่ารสชาติของมันใครได้กินก็จะรู้ว่าไม่แพ้อาหารเหลาในภัตตาคารเหล่านั้นแน่นอน
อาหารพื้นบ้านเน้นส่วนผสมง่ายๆ ไม่หรูหรา แต่ปริมาณกับรสชาติพอเหมาะ เวลายกอาหารออกไปจะใช้ถาดใหญ่ กินข้าวต้องใช้ชามใหญ่ และหม้อ เตาที่เอามาผัดผักก็ต้องเป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่กับเตาดิน
ในยุคปัจจุบัน เมื่อเตาไฟฟ้าเป็นที่นิยม เตาดินเผาก็เริ่มมีน้อยลงเรื่อยๆ แต่ถึงแม้มันจะสะดวก อาหารที่ผัดออกมาจากเตาไฟฟ้าก็ไม่อร่อยเท่าอาหารที่ผัดออกมาจากเตาฟืน
ทว่าในยุคโบราณนี้ไม่มีปัญหาในเรื่องนั้น แม้แต่ห้องเครื่องหลวงยังใช้เตาดินเผาใหญ่ขนานแท้เลย
เฉียวเยี่ยนเขียนรายการอาหารที่ตัวเองคิดได้ออกมาก่อนล่วงหน้า แล้วก็เข้าวังไปหารือกับพวกพ่อครัวหลวง แม้นางจะทำอาหารเป็น แต่ไม่เคยจัดงานเลี้ยงมาก่อนเลย เมื่อถึงคราวสำคัญ นางก็ยังต้องฟังความเห็นของพวกพ่อครัวหลวง
ทั้งตัดทั้งลด สุดท้ายก็กำหนดอาหารที่ดีที่สุดออกมา และเพื่อรับประกันว่าจะสำเร็จ เฉียวเยี่ยนกับพวกพ่อครัวจึงพากันทำล่วงหน้าก่อนหนึ่งรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด
สองสามวันมานี้ผู้ที่รับผิดชอบลองชิมอาหารมีความสุขอย่างมาก ได้ชิมจนอิ่มท้องทุกมื้อ
ห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่ยี่สิบสามเดือนเก้าก็มาถึง ครอบครัวของเฉียวเยี่ยนเข้าวังมาล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ในตอนเช้าตรู่ เฉียวเยี่ยนก็ตื่นนอนไปทำอาหารในห้องเครื่องหลวงกับพวกพ่อครัว
บ้านคนอื่นผู้ชายออกไปทำงานข้างนอก ผู้หญิงอยู่บ้าน แต่พอมาถึงคู่ของเฉียวเยี่ยนมันกลับตาลปัตร เฉียวเยี่ยนตื่นเช้าไปทำงาน แต่ท่านอ๋องกลับรับผิดชอบดูแลลูก
เมื่อถึงเวลา เขาก็ตื่นนอนปลุกเด็กทั้งสองตื่น และสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าให้พวกเขา แถมยังต้องมัดผมจุกให้เจ้าปลาอ้วนด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะผู้ชายโบราณไว้ผมยาว ท่านอ๋องจึงหวีผมได้เก่งนัก หลังจากลองหวีมาสองครั้ง เขาก็ชำนาญในการหวีผมให้ลูกแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
กลายเป็นรัชสมัยที่สงบสุขไปเลย สาวๆ วังหลังมัวแต่ปลูกผักจนลืมทำสงครามนางใน
งานหนักอีกแล้วเฉียวเยี่ยน แต่ก็ถึงเวลาที่ตัวแม่จะแสดงฝีมือแล้วเหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)
Comments