ชายาเคียงหทัย 359-2 เป่ยจิ้งวุ่นวำยขึ้นแล้ว
ใบหน้างดงามของราชินีเห่อหลันขรึมลงทันใด กล่าวด้วยน้ าเสียงเย็นชาว่า “คนแซ่อวิ๋นอย่างเจ้าช่างน่า ไม่อายเสียจริง! เหรินฉีหนิง นายของเจ้า อาศัยบารมี สถานะของท่านพี่และท่านลุงข้าถึงได้ขึ้นเป็นเป่ยจิ้งอ๋อง และยังท าให้ตาเฒ่าอย่างพวกเจ้ามีชีวิตดีๆ ได้ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ได้ผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่ง กระท าการต่อต้านชาวเป่ยจิ้งของพวกเรา ทุกครั้งที่เกิด สงครามก็ให้บุรุษเป่ยจิ้งของเราอยู่แนวหน้า ส่วนพวกเจ้า เอาเปรียบไปอยู่ทัพหลัง บุรุษเป่ยจิ้งกว่าเจ็ดแสนนายของ พวกข้าที่ต้องเข้ากองทัพไป บัดนี้เหลืออยู่ไม่ถึงสามแสน แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่เห็นใจ คอยกีดกัน กดหัวพวกเราไว้ ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก มิน่าผ่านไปกี่ร้อยปี พวกเจ้าก็ยัง ไม่อาจฟื้นฟูแคว้นขึ้นมาได้เสียที เห็นชัดแล้วว่าสวรรค์มี
书呆子
ตา รู้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดเป็นคนชั่วช้าเลวทราม แล้วจะให้ พวกเจ้าสร้างแคว้นขึ้นใหม่ส าเร็จได้อย่างไร!”
ระหว่างที่มหาเสนาบดีอวิ๋นถูกราชินีเห่อหลันพูด ต าหนิซึ่งๆ หน้า สีหน้าของเขาประเดี๋ยวก็เขียว ประเดี๋ยว ก็ม่วง การที่เหรินฉีหนิงก่อตั้งแคว้นเป่ยจิ้งขึ้นมา ประเด็น ที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันมาที่สุดก็คือการที่เขาใช้ ประโยชน์จากอ านาจของคนเป่ยจิ้ง หน าซ้ ายังมิใช่ว่าเขา รบชนะชาวเป่ยจิ้งแล้วใช้เพื้นที่ของพวกเขาสร้างเมือง หากแต่มาจากการสืบทอดต าแหน่งต่อจากพ่อตาของเขา หลังจากแต่งงานเข้ามาที่เป่ยจิ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วยัง อยากปกครองและวางรากฐานด้วยสถานะของคนจง หยวน จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมในทันที แม้แต่รัช ทายาทที่ก าเนิดจากราชินีองค์ก่อนก็ยังต้องสืบทอดสกุล ของชาวเป่ยจิ้ง เช่นนั้นแล้วจะท าให้ขุนนางเก่าแกเหล่านี้ อดทน ท าใจให้กว้างได้อย่างไร ทว่า การก่อตั้งแคว้นใน
书呆子
เป่ยจิ้งจ าเป็นต้องพึ่งพาชาวเป่ยจิ้งโดยแท้จริง นี่จึงเป็น เหตุให้ขุนนางเก่ามีท่าทางแปลกประหลาด เดี๋ยวดีเดี๋ยว ร้ายต่อหน้าชาวเป่ยจิ้ง ด้านหนึ่ง พวกเขาก็ดูถูกเหยียด หยามชนเผ่าทางเหนือ แต่อีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ต้อง ยอมรับว่าพวกเขาได้รับใบบุญอันใหญ่หลวงจากชาวเป่ ยจิ้ง ความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนเช่นนี้ยิ่งท าให้คนที่ อ้างว่าตนปกครองโดยชอบธรรมเหล่านี้ ยิ่งไม่อาจปล่อย ชาวเป่ยจิ้งไปได้ คิดแต่จะหาวิธีไล่ชาวเป่ยจิ้งไปให้เร็ว ที่สุด ใจหนึ่งก็อยากจะฟื้นฟูสายเลือดดั้งเดิมของตระกูล หลิน อีกใจหนึ่งก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้ได้มาด้วยความใสสะอาด
“เฮอะ! ข้าไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับสตรีอย่างเจ้า หรอก!” มหาเสนาบดีอวิ๋นที่ถูกราชินีเห่อหลันพูดแทงใจ ด า กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย
书呆子
ราชินีเห่อหลันพูดด้วยท่าทางรังเกียจ “ต้องบอกว่า สตรีอย่างข้าต่างหากที่ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับตาเฒ่าอย่าง เจ้า ถึงจะถูก”
ทุกคนที่อยู่ข้างๆ พากันกระตุกมุมปากอย่างอด ไม่ได้ เยี่ยหลีกลั้นหัวเราะและถามว่า “ราชินีเห่อหลัน เหตุไฉนเจ้าถึงมาเร็วเพียงนี้เล่า” ราชินีเห่อหลันโบกมือ และพูดว่า “ข้าจับคนของเหรินฉีหนิงจ านวนมากที่อยู่ใน เมืองเอาไว้หมดแล้ว พวกที่ยังจับไม่ได้อย่างไรก็หนีไป ไหนไม่รอด นอกเมืองยามนี้ก็เกิดการต่อสู้ขึ้นเช่นกัน พระชายาติ้งอ๋อง คนของเจ้าจะชนะได้หรือไม่”
เยี่ยหลีพูดเรียบๆ ว่า “ตัดค าว่าหรือไม่ออกไปเถิด ในเมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ที่จวน แต่ ออกมาที่นี่เล่า”
ราชินีเห่อหลันถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าในจวน ตาเฒ่าคนนี้ซ่อนคนไว้จ านวนไม่น้อยเพื่อจัดการเจ้า หาก
书呆子
ข้ารู้ว่าเจ้ามีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่มาแล้ว เช่นนั้น ข้ากลับก่อนล่ะ” ภายในวังเองก็เกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน ราชินี เห่อหลันมาเร็วอย่างไรก็กลับไปเร็วอย่างนั้น หลังจากได้ ด่าทอมหาเสนาบดีอวิ๋นไปชุดหนึ่งและปลดปล่อยความ เจ็บแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอกออกไปแล้ว ราชินีเห่อหลันก็ เดินฉิวจากไปราวกับมีลมหอบ
การที่ราชินีเห่อหลันคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เช่นนี้ ท าให้สีหน้าของมหาเสนาบดียิ่งแย่ลงไปอีก เยี่ยหลี ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนาง ก็มองดูมหาเสนาบดีอย่างสงบครู่ หนึ่ง แล้วพบว่าใบหน้าของเขาราวกับแก่ขึ้นอีกสิบปี จากนั้นเยี่ยหลีก็พูดเรียบๆ ว่า “ท่านมหาเสนาบดีอวิ๋น ข้าไม่ได้คิดอยากจะฆ่าฟันอันใดท่าน ได้โปรดสั่งให้ ลูกน้องของท่านหยุดเถิด ทุกคนล าบากมาหลายปีเพียงนี้ แล้ว แล้วใยถึงไม่ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งเหล่านั้นแล้ว รักษาชีวิตยามแก่ไว้เล่า”
书呆子
มหาเสนาบดีอวิ๋นพูดเย้ยหยันว่า “ได้ยินมานาน แล้วว่า หน่วยกิเลนของต าหนักติ้งอ๋องลึกลับและคาดเดา ยาก ไม่มีใครสามารถหยุดได้ เวลานี้จวนของข้า มหา เสนาบดีผู้ต่ าต้อย ตกอยู่ใต้การควบคุมของพระชายาติ้ง อ๋องแล้ว ไฉนพระชายาถึงยังต้องท าทีเสแสร้งเช่นนี้อีก เล่า”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ ไม่พูดแก้ตัวอันใด แล้วโบกมือให้ คนน าตัวเขาลงมา
เมื่อเมืองชางชิ่งสู้กันวุ่นวาย ราชินีเห่อหลันจึงมี ค าสั่งให้ปิดประตูวัง ไล่จับกุมขุนนางเก่าของเหรินฉีหนิง หลายคน พร้อมปิดประตูเมือง ส่วนทางด้านนอกของ เมือง ทหารและม้าที่เหอซู่ควบคุมก าลังต่อสู้กับกองทัพ เก่าของเหรินฉีหนิง บัดนี้ ทั้งภายนอกและภายในเมือง ชางชิ่งล้วนเต็มไปด้วยความโกลาหล ขณะเดียวกัน ข่าว ความวุ่นวายของจงหยวนในชางชิ่งก็แพร่กระจายออกไป
书呆子
ถึงกองทัพเหรินฉีหนิงในด่านจื่อจิงที่อยู่ไกลๆ อย่าง รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหรินฉีหนิงจะมีทหารและม้า เกือบล้านนายมาล้อมด่านจื่อจิง และคู่ต่อสู้ยังคงเป็น เหลิ่งไหว แต่ครั้งนี้สถานการณ์เลวร้ายกว่าครั้งก่อน เพราะในการเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย ไพร่พลของเหลิ่งไหว คือทหารและม้าของต้าฉู่ หน าซ้ ายังต้องปะทะกันเป็น เวลาหลายเดือน พอมาตอนนี้กลายมาเป็นกองทัพตระกูล ม่อที่มีชื่อเสียงเรื่องความองอาจกล้าหาญ
ขณะเดียวกัน เหลิ่งไหวและเหรินฉีหนิงก็มี ความแค้นเรื่องสังหารบุตรเป็นการส่วนตัว ตอนที่เหรินฉี หนิงจู่โจมฉู่จิงเมื่อปีก่อน เหลิ่งฉิงอวี่ บุตรคนโตของเหลิ่ง ไหว ก็เสียชีวิตในศึกสงคราม เป็นการสละชีพเพื่อแคว้น แล้วจะไม่ให้เหลิ่งไหวโกรธแค้นฝังลึกในใจได้อย่างไร กองทัพทั้งสองก่อศึกสงครามหน้าด่านจื่อจิงใหญ่เล็กไม่
书呆子
ต่ ากว่าสิบครั้ง แต่กองทัพเป่ยจิ้งกลับไม่เคยได้สัมผัสถึง ประตูด่านจื่อจิงเลย
ขณะที่ศึกสงครามทางนี้ไม่ได้เปรียบ ก็ยังได้รับ จดหมายเร่งเร้าจากเยียหลี่ว์เหยี่ยไม่ขาดสาย เนื้อความ ในจดหมายก็แสดงออกชัดเจนว่าต่อว่าและไม่พอใจในทัพ ใหญ่ของเป่ยจิ้ง ซึ่งท าให้เหรินฉีหนิงหัวร้อนมากพออยู่ แล้ว เมื่อได้รับข่าวความวุ่นวายภายในทัพใหญ่ที่ทิ้งให้ รักษาการณ์เมืองไว้อีก เหรินฉีหนิงจึงเดือดดาลจนภาพ เบื้องหน้ามืดมัวไปโดยสิ้น
“สารเลว!” เหรินฉีหนิงสะบัดจดหมายในมือ พลาง สบถออกมาด้วยความโกรธอย่างลืมตัว
แต่กระนั้น แม่ทัพในกระโจมกลับมีปฏิกิริยาต่าง ออกไป แม่ทัพที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญขาของเหรินฉีหนิงดู เป็นกังวลอย่างมาก ในขณะที่เหล่าแม่ทัพเป่ยจิ้งกลับมี ท่าทีเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองและหวังว่าจะได้
书呆子
เห็นเรื่องน่าขันของเหรินฉีหนิง เหรินฉีหนิงมีหรือจะไม่รู้ ความคิดของแม่ทัพเหล่านี้ แต่เขาต้องทนข่มความโกรธ เอาไว้แล้วบอกให้คนเหล่านั้นถอยออกไป
พวกแม่ทัพเป่ยจิ้งรู้ดีเช่นกันว่าเหรินฉีหนิงไม่พอใจ ตัวเอง แต่ก็ไม่สนใจ พากันลุกขึ้น แล้วหมุนตัวเดินออก จากกระโจมใหญ่ไป
ภายในกระโจมใหญ่เหลือเพียงแม่ทัพจงหยวนที่ ก าลังมองดูสีหน้าของเหรินฉีหนิง และถามด้วยความร้อน ใจ “ฝ่าบาท เมืองหลวงเกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เหริน ฉีหนิงกัดฟันและกล่าวว่า “กองทัพจงหยวนที่เฝ้า ประจ าการก่อกบฏ”
ทุกคนล้วนตกตะลึงไป บางคนถึงขนาดตั้งตัวไม่ทัน ไปชั่วขณะ หากบอกว่าเป็นทหารม้าเป่ยจิ้งที่ก่อกบฏ พวกเขายังพอจะเชื่อบ้าง แต่บอกว่าเป็นกองทัพจงหยวน ที่ก่อกบฏ…แต่จะว่าไปแล้ว ทหารและม้าเป่ยจิ้งที่
书呆子
เหลืออยู่ใกล้เมืองหลวงก็มีจ านวนไม่ถึงห้าหมื่น หากคิด จะก่อกบฏเกรงว่าคงจะไม่ส าเร็จ แต่คนเป่ยจิ้งเหล่านั้น ไม่ได้ก่อกบฏ หากแต่เป็นทหารของพวกตัวเองที่ก่อกบฏ เสียเอง ช่างเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจริงๆ
“ฝ่าบาท หรือว่าจะมีคนเล่นเล่ห์พ่ะย่ะค่ะ” มีคน พูดขึ้นอย่างสงสัย
เหรินฉีหนิงยกมือขึ้นไปกดลงหว่างคิ้วที่ปวดตุบๆ “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เมืองหลวงเกี่ยวข้องกับชีวิตของ กองทัพเรา กองทัพใหญ่ที่เอยู่ที่นั่นมีสองแสนกว่านาย หากพวกเขาโจมตีกองทัพของเราจากด้านหลังถึง เวลา นั้นคงถูกเหลิ่งไหวขนาบตีจากทั้งสองข้าง กองทัพของเรา ก็จะตกที่นั่งล าบากจนไม่มีบ้านให้กลับอีก”
“หรือว่าจะเป็นคนของต าหนักติ้งอ๋องที่ก่อเรื่องพ่ะ ย่ะค่ะ”
书呆子
เหรินฉีหนิงแสยะยิ้ม “เกิดขึ้นได้ประจวบเหมาะ เพียงนี้ หากไม่ใช่ต าหนักติ้งอ๋องแล้วจะเป็นผู้ใด สมกับ เป็นติ้งอ๋อง สมกับเป็นกองทัพตระกูลม่อ…” ทุกคนที่นั่ง อยู่ต่างมองหน้ากัน สีหน้าพวกเขาเผยความกังวลออกมา พวกเขาปิดล้อมด่านจื่อจิงมานานกว่าหนึ่งเดือนด้วยกอง ทหารหลายล้านนายแต่กลับไม่เห็นลงมือใดๆ ได้ ถ้าหาก เมืองชางชิ่งตกไปอยู่ในมือของต าหนักติ้งอ๋องอีก เช่นนั้น พวกเขาคงได้จบเห่แล้ว ยังไม่ต้องพูดสิ่งอื่น แค่เรื่อง เสบียงอาหารของทหารและม้ากว่าหนึ่งล้านนายก็ท าให้ พวกเขาปวดหัวมากพอแล้ว พวกเขาต้องอดตายกันหมด ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือนเป็นแน่
“ฝ่าบาท แม้จะส่งคนไปขอความช่วยเหลือที่เมือง หลวงแล้ว แต่เกรงว่าจะต้านเอาไว้ไม่ไหว พวกเราต้องรีบ กลับไปจัดการกับพวกกบฏถึงจะถูกนะพ่ะย่ะค่ะ” แน่นอนว่า การร่วมมือกับเป่ยหรงเพื่อจู่โจมด่านจื่อจิง
书呆子
เป็นเรื่องส าคัญ แต่ก็ไม่ส าคัญเท่ากับอาณาเขตของตัวเอง ถ้าเมืองหลวงของพวกเขาถูกพวกกบฏยึดครองไปจริงๆ พวกเขาก็จะไม่มีอะไรเหลือเลย ถึงตอนนั้น แม้ว่าเหลิ่ง ไหวจะปล่อยด่านจื่อจิงให้พวกเขาเข้าไปได้ แต่พวกเขา เข้าไปแล้วจะท าอะไรได้ ไปเป็นผู้ลี้ภัยหรือ
Comments