ชายาเคียงหทัย 340-1 ไม่พบไม่รู้จัก
เมื่อมองดูเยี่ยอิ๋งจากไปอย่างไร้เยื่อใย ต่อให้เยี่ยเย่ว์คิดอยากตามไปรั้งนางไว้เพียงใด แต่ด้วยบาดแผลที่มีอยู่ทั่วตัวก็ทำให้นางเจ็บปวดจนไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้อย่างใจคิด ทำได้เพียงกอดบุตรชายที่สิ้นสติไปแล้วไว้ในอ้อมแขนพลางร้องไห้โฮออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ หากไม่ใช่เพราะนางไม่ยอมแพ้คิดอยากอาศัยม่อจิ่งหลีให้ได้ฐานะที่สูงส่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม นางจะมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร แต่กระนั้นต่อให้นางนึกเสียใจมากเพียงใดก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้อีกแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ภายในเรือนที่ห่างไกลที่สุดของจวนเยี่ยก็เกิดไฟลุกโหมกระหน่ำขึ้น
ที่เรือนหน้า เยี่ยเหวินหวา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและเยี่ยหวังซื่อกำลังยืนส่งม่อจิ่งหลีที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ ถึงแม้ใบหน้าเยี่ยเหวินหวาจะดูเกรงใจ แต่ในใจกลับอยากให้ม่อจิ่งหลีไม่ต้องมาปรากฏตัวที่นี้อีกนับแต่นี้เป็นต้นไป เดิมทีการที่ม่อจิ่งหลีกลับไปแล้วย้อนกลับมาอีก ทั้งยังต้องการขอพบเยี่ยเย่ว์นั้น เขาไม่เห็นดีด้วย แต่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ยินยอม จะต้องให้หลีอ๋องไปพบหน้าเยี่ยเย่ว์อีกครั้งให้จงได้ ในตอนนั้นเมื่อได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลี กับท่าทางผิดหวังของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซื่อแล้ว เยี่ยเหวินหวาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดอีก
“นายท่าน แย่แล้วขอรับ! ไฟไหม้ที่เรือนหลังขอรับ!” ที่ด้านหลัง มีบ่าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาร้องเรียกด้วยความร้อนรน เยี่ยเหวินหวาอึ้งงันไป เอ่ยถามว่า “ไฟไหม้ที่ไหน”
บ่าวตอบว่า “ที่…เรือนที่เมื่อครู่หลีอ๋องกับพระชายาเพิ่งไปมาขอรับ” คำตอบเช่นนี้แปลกประหลาดมาก หากบอกว่าเป็นเรือนที่ขังคุณหนูรองอยู่ อาจจะยังไม่มีใครคิดโยงไปถึงตัวม่อจิ่งหลี แต่คำตอบที่ว่า เรือนที่หลีอ๋องกับพระชายาเพิ่งไปมาเช่นนี้ หลีอ๋องออกจากเรือนได้ไม่เท่าไร ไฟก็เกิดลุกขึ้นมาเสียแล้ว ต่อให้เป็นคนที่ซื่อบื้อเพียงใดก็ต้องรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลีอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนหันมองไป แล้วก็เห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากทางเรือนหลังจริงๆ
หวังซื่อกรีดร้องขึ้นมาว่า “เย่ว์เอ๋อร์”
เยี่ยเหวินหวาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยังไม่รีบให้คนไปดับไฟอีก!” พูดจบก็ไม่สนใจม่อจิ่งหลี หันไปประสานมือให้ม่อจิ่งหลีเร็วๆ ทีหนึ่งแล้วหมุนตัวออกไปทางเรือนหลังทันที หวังซื่อพอเรียกสติกลับมาได้ ก็วิ่งตามเยี่ยเหวินหวาไปที่เรือนหลัง ม่อจิ่งหลีที่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ที่หน้าประตู กวาดตามองเยี่ยอิ๋งที่อยู่ข้างกายตนทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงขรึมขึ้นว่า “กลับโรงพักม้า” เยี่ยอิ๋งพยักหน้าอย่างว่าง่าย “เพคะ ท่านอ๋อง”
ชั่วพริบตา ตรงปากประตูที่เดิมยังมีความคึกคักอยู่บ้างพลันเงียบเป็นเป่าสาก เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายังคงตั้งตัวไม่ถูก ได้อย่างไร…เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ข่าวที่จวนเยี่ยไฟไหม้แพร่ไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาเพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชา “ครานี้แน่ใจนะว่า ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่จัดฉากแกล้งตายอีก”
อาจิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตูพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋องโปรดวางใจ อาจิ่นไปตรวจสอบมาด้วยตนเอง เป็นเยี่ยเย่ว์แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ม่อซิวเหยายิ้มด้วยความพอใจ “ดีมาก เจ้าเพิ่งกลับมาก็ให้เจ้าไปทำเรื่องเช่นนี้เสียแล้ว ลำบากเจ้าแล้ว กลับไปพบอาม่อเถิด” อาจิ่นพยักหน้า แล้วหมุนตัวไปโดยไม่ถามอะไรให้มากความอีกเลย แล้วทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาดังตามหลังมาว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องไปบอกพระชายาล่ะ”
อาจิ่นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเดินต่อไป ท่านอ๋องคงคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานพระชายากระมัง
ภายในห้องหนังสือมีเพียงความเงียบสงัด ม่อซิวเหยามองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเผยรอยยิ้มยินดีออกมาให้เห็น
ในยามนี้ที่เรือนของเยี่ยหลีกำลังคึกคักอย่างมาก ไม่เพียงคณะของสวีฮูหยินรองกับฉินเจิงเท่านั้น แต่ยังมีสวีฮูหยินใหญ่ ฮว่าฮองเฮา และสหายรักที่มีมิตรไม่ตรีต่อเยี่ยหลีอย่างลึกซึ้งอย่างพวกมู่หรงถิงก็มารวมกันอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งยังมีม่อตัวน้อย เหลิ่งจวินหานและสวีจือรุ่ยที่มาร่วมสนุกไปกับเขา รวมถึงเด็กแฝดตัวน้อยที่เพิ่งอายุครบเดือนได้ไม่เท่าไรก็มารวมอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
อีกสองวันก็จะเป็นวันฉลองวันเกิดของท่านชิงอวิ๋น ภายในเมืองหลีสิ่งที่ควรจัดเตรียมก็จัดเตรียมไว้อย่างพรักพร้อมแล้ว เพื่องานนี้ คนของตำหนักติ้งอ๋องทั้งนายและบ่าวต่างยุ่งวุ่นวายกันอยู่นานพอสมควร แต่พอถึงคราวใกล้จะถึงวันงานขึ้นมาจริงๆ กลับว่างงานขึ้นมาเสียอย่างนั้น คณะสตรีทั้งหลายจึงพากันมารวมตัวที่เรือนของเยี่ยหลีเพื่อมาเยี่ยมเยียนซาลาเปาน้อยสองก้อน สวีฮูหยินทั้งสองในมือต่างอุ้มทารกอยู่คนละคน พอเห็นตุ๊กตาตัวน้อยที่เนื้อแน่นอมชมพู ก็ยิ่งเอ็นดูเสียจนไม่อยากวาง ตระกูลสวีรุ่นนี้จนถึงบัดนี้ยังมีเพียงสวีจือรุ่ยที่เป็นเด็กน้อยเพียงคนเดียว ฮูหยินทั้งสองพอได้มาเห็นทารกตัวน้อยจึงย่อมรักใคร่เอ็นดูเป็นที่ยิ่ง หนำซ้ำเด็กน้อยทั้งสองตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาก็ฉลาดเฉลียวว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ คนหนึ่งเห็นใครเป็นต้องยิ้มแย้ม ส่วนอีกคนถึงแม้จะนิ่งขรึมกว่า แต่กลับว่านอนสอนง่าย ถึงขั้นเลี้ยงง่ายกว่าตอนม่อตัวน้อยเล็กๆ เสียอีก แม้แต่ม่อซิวเหยายังจำต้องยอมรับว่า เด็กสองคนนี้รวมกันแล้ว ยังไม่ลำบากเท่าตอนม่อตัวน้อยเด็กๆ เลยด้วยซ้ำ
“เด็กดี…หลินน้อยของข้า หน้าตาเจ้านี่ช่าง…” สวีฮูหยินใหญ่เอ็นดูเสี่ยวหลินเอ๋อร์เป็นเพิเศษ เมื่อได้อุ้มแล้วเป็นไม่ยอมวางทุกคราไป ถึงแม้ยังเป็นเพียงเด็กตัวน้อย แต่กลับมองออกอย่างชัดเจนว่าเสี่ยวหลินเอ๋อร์หน้าตาค่อนไปทางบ้านตระกูลสวีมากกว่าอยู่เล็กน้อย สวีฮูหยินใหญ่ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้อุ้มหลานของตนเองเสียทีจึงย่อมเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้มากเป็นพิเศษ สวีฮูหยินรองก็เอ็นดูเสี่ยวซินเอ๋อร์ที่อยู่ในมือตนเช่นกัน ถึงแม้นางจะมีหลานให้อุ้มแล้ว แต่กลับยังไม่มีหลานสาว อย่าว่าแต่หลานสาวเลย ตระกูลสวียามนี้ไม่มีใครที่เป็นผู้หญิงเลยสักคน เมื่อได้มาเห็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มว่าง่ายเช่นนี้ สวีฮูหยินรองจึงรู้สึกเอ็นดูนางจับใจ
เยี่ยหลีมองเด็กน้อยตาโตที่อยู่ในอ้อมแขนของสวีฮูหยินทั้งสองแล้วจึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านป้าทั้งสองรักเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่เร่งพี่สามกับพี่สี่ให้รีบแต่งงานเล่าเจ้าคะ”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ฮว่าเทียนเซียงกับม่ออู๋โยวที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันหน้าแดงขึ้นมาทันที ม่ออู๋โยวหน้าแดงพลางหลบหลังฮว่าฮองเฮา ส่วนฮว่าเทียนเซียงกลับไม่มีที่ให้หลบ ทำได้เพียงถลึงตาใส่เยี่ยหลีทั้งหน้าแดงๆ ทีหนึ่ง “หลีเอ๋อร์ เจ้า…” ฉินเจิงปิดปากหัวเราะเสียงเบา “หลีเอ๋อร์พูดถูกแล้ว เทียนเซียง ข้ารอเจ้าแต่งเข้าตระกูลสวีมาเป็นเพื่อนข้าอยู่เชียวนะ”
มู่หรงถิงที่กอดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตนอยู่ พูดพลางยิ้มจนตาหยีว่า “ก็ใช่น่ะสิ จนจวินหานของข้าใกล้จะห้าขวบเต็มทีแล้วนะ”
“พวกเจ้า…พวกเจ้าช่างหน้าไม่อาย!” ฮว่าเทียนเซียงเขินอายจนกระทืบเท้า สวีฮูหยินรองพอใจกับลูกสะใภ้ในอนาคตคนนี้มาก พอเห็นนางขัดเขินก็รีบเอ่ยปากขึ้นว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าก็ มาพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าสตรีสาวได้อย่างไร ข้า ท่านลุงกับท่านตาของเจ้าพูดคุยตกลงกับหยางฮูหยินเรียบร้อยแล้ว กั๋วกงผู้เฒ่าสละชีพเพื่อชาติ จึงไม่อาจจัดงานแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ได้ จึงต้องเลื่อนงานแต่งงานออกไปเป็นปีหน้า ถึงตอนนั้นก็พอดีให้เทียนเซียงกับอู๋โยวแต่งเข้าตระกูลสวีมาพร้อมกัน เป็นฤกษ์ดีพร้อมกันไปเลย” อู๋โยวอายุยังน้อย แต่ฮว่าเทียนเซียงกลับอายุไม่น้อยแล้ว เดิมทีหากแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ได้ก็จะดี เพียงแต่ช่วงนั้นสวีชิงเฟิงก็ออกไปทำศึกที่ฉู่จิง อู๋โยวจึงจำต้องรอให้พ้นช่วงไว้ทุกข์หนึ่งปีไปก่อนค่อยว่ากัน สวีฮูหยินรองเดิมทีเพียงนึกกังวลว่าจะหาลูกสะใภ้ที่เหมาะสมไม่ได้ ยามนี้เมื่อได้ตัวเลือกมาแล้ว จึงไม่ร้อนใจเช่นนั้นอีก อีกทั้งไว้รอให้งานวันเกิดของท่านชิงอวิ๋นจัดเสร็จสิ้นดีแล้ว ค่อยเริ่มเตรียมงาน ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ จนถึงปีหน้าก็น่าจะใกล้เรียบร้อยพอดี
ฮว่าฮองเฮามองหลานสาวและบุตรสาวที่หน้าแดงด้วยควาเอ็นดู การได้ดองกับตระกูลเช่นตระกูลสวีนั้น สำหรับพวกนางแล้วถือเป็นวาสนาที่หาได้ยากยิ่ง นางจึงวางใจได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้ชื่อเสียงตระกูลฮว่าจะยิ่งใหญ่ ชาติตระกูลก็สูงส่ง แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลังจากสิ้นฮว่ากั๋วกง ตระกูลฮว่าก็ถือว่าตกต่ำแล้ว ต่อให้มีหลานที่ได้เรื่องได้ราว แต่ภายในสิบหรือยี่สิบปีก็เกรงว่าคงจะยังกลับมายิ่งใหญ่ไม่ได้ ตระกูลสวีคนไม่มาก ทั้งยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องชาติตระกูลนัก ฮว่าเทียนเซียงกับอู๋โยวแต่งเข้ามาจึงย่อมไม่ถูกรังเกแต่อย่างใด
ฮว่าเทียนเซียงยังดีหน่อย นางกับสวีชิงเฟิงต่างถูกใจกันและกันจึงถือว่าใจตรงกันทั้งคู่ ส่วนม่ออู๋โยวกับสวีชิงปั๋วเกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของสวีฮูหยินใหญ่เสียมากกว่า หนำซ้ำสวีชิงปั๋วยังไม่เหมือนกับสวีชิงเฟิงที่ไม่ว่าจะโกรธหรือยินดีล้วนแสดงออกทางสีหน้า หากคิดจะอ่านใจเขาให้ออกก็ถือว่ายากพอสมควร ม่ออู๋โยวอายุยังไม่ถือว่ามาก ต่อให้เป็นแรกริรัก แต่อย่างไรก็มีใจให้สวีชิงปั๋วอยู่บ้าง จึงถูกสองตระกูลจับให้หมั้นหมายกันไปแบบงงๆ ใช่ว่าถึงขั้นไม่ยินดี แค่เพียงยากที่จะไม่รู้สึกทำตัวไม่ถูกและงุนงงไปบ้างก็เท่านั้น
Comments