ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรีย 209 สาว ๆ ก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน (Cordiria has a Date)

Now you are reading ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรีย Chapter 209 สาว ๆ ก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน (Cordiria has a Date) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ทนไม่ไหวแล้ว!!!”

          เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร

          ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ

          ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด

          แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย

 

“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ

“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?”

          กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน

          อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ

 

“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน

“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ… ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่องนั้น!” อลิซพูดพลางหงุดหงิด ส่ายหน้าพั่บ ๆ จนผมหางม้าสะบัดไปมา

“งั้นก็ไปกอดก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องที่อยากจะพูดสิจ๊ะ” ลิลิธที่นอนอยู่ใกล้ ๆ เสนอทางออกง่าย ๆ ให้

“อือ… ก็ได้” อลิซพยักหน้าทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะค่อย ๆ คลานเข้าไปซบอกกร 

          กรก็เลยรักษาคำพูดด้วยการกอดเธอกลับไปแน่น ๆ

          แล้วพออลิซเข้าไปซุกกร เธอก็ทำอย่างนั้นนานเกินกว่าห้านาทีเลยทีเดียว

 

“หาว… แล้วนี่มันเรื่องอะไรของเธอยะยัยติ๊งต๊อง”

“อ๊ะ!?”

          จนเมอร์ลินเอ่ยทักหลังหาวหวอดใหญ่ ทุกคนเลยยิ้มแห้งเพราะรู้ว่าอลิซลืมเรื่องที่จะพูดไปแล้ว

          และเพราะได้เมอร์ลินเตือน อลิซก็เลยคว้าหน้ากรดังหมับจนหันไปทางอื่นไม่ได้

 

“อยากไปเดทอ่ะ!”

          อลิซพูดแบบนั้นแล้วก็จ้องเข้ามาในตาของกรอย่างจริงจัง… จริงจังเหมือนเรื่องที่พูด

          และเพราะมันเป็นเรื่องที่จริงจังที่สุด สาว ๆ ที่งัวเงียกันอยู่ทุกคนถึงตาตื่นกันหมดเพราะได้ยินเรื่องนั้นเข้า เรียกว่าแทบจะคว้าผ้ามาห่มกันไม่ทันเลยทีเดียว

 

“วัน ๆ นายก็เอาแต่ทำงาน พอว่างก็ยังต้องคิดแผนสู้อีก! แบบนี้มันน่าหงุดหงิดอ่ะ!” อลิซพูดแล้วก็เริ่มสะบัดหางม้าด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง

          แล้วดูเหมือนมันจะยาวพอที่จะตบหน้ากรไปมาเลยด้วย ถึงจะไม่รู้สึกเจ็บเลยก็เถอะ แถมทำให้รู้สึกเอ็นดูมากกว่าจะหงุดหงิดเจ้าตัวด้วย

 

“ว่าไปก็จริงนะเนี๊ยว ช่วงนี้รู้สึกเหมือนไหล่ตึง ๆ ด้วยจิ” ฟลอร่าบ่นแล้วก็เอนลงไปนอนบิดขี้เกียจเหมือนแมว …ถึงที่เธอบ่นจะไม่เกี่ยวกับที่อลิซพูดเลยก็ตาม

“ข้าพูดเองก็แปลก ๆ แต่ชีวิตคู่มันก็ขาดเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอก” 

          ยูมิน่าว่าแล้วก็กอดอกว่าอย่างจริงจัง ขนาดสมองเธอมีแต่กล้ามยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้เลย

 

“ดิฉันเองก็เห็นด้วยนะคะ ว่าเรื่องนั้นสำคัญกับชีวิตคู่” จังหวะนั้น ชาลอตที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ยกมือขึ้นด้วย แต่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ถึงหันหน้าหลบไปทางอื่นก่อนจะหันมาพูดต่อ

“เอ่อ ไม่สิ… ที่จริงดิฉันแค่อยากจะเที่ยวกับนายท่านน่ะค่ะ” ชาลอตว่าแล้วก็กลับคำด้วยท่าทีเอียงอาย โดยมีซาช่าที่กำลังประหม่าของจริงพยักหน้ารับงก ๆ เพราะคิดอย่างเดียวกัน

“ดอกไม้น่ะมันต้องหมั่นรดน้ำนะคะท่านพี่ ไม่งั้นเดี๋ยวก็เฉาเพราะความมืดหรอก!”

“ความมืดไม่น่าเกี่ยวมั้งจ๊ะ〜 แต่ก็เข้าใจที่พูดอยู่หรอก”

“พี่ลิลิธก็อย่าขัดมุกหนูสิ!”

          ถูกเมินเป็นอะไรที่คาเรนรับไม่ได้สุด ๆ เธอถึงทุบพื้นหงุดหงิดเหมือนอลิซก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

          แต่ดูท่าเธอคงจะลืมประเด็นหลักอย่างเรื่องเดทไปแล้วแหงแซะ

 

“อืม… แต่ฉันเองก็คิดว่าการเดทแบบจับกลุ่มมันไม่ค่อยโอเคอยู่เหมือนกันนะคะ” ซิลเวียได้ทีก็ถือโอกาสเข้ามาหากรจากทางด้านหลังก่อนจะฝังคางลงตรงไหล่ซ้าย บางทีนั่นคงเป็นวิธีการบอกว่าเธออยากใกล้ชิดเขามากแค่ไหน

“ใช่มะ ๆ แบบกลุ่มห้าคนเงี้ยก็จะมีแค่สองคนที่ได้ควงแขน อีกสองคนก็ต้องเกาะชายเสื้อตามต้อย ๆ เหมือนเด็กหลงเนี่ยสิ” เจนนี่บ่นแล้วก็ลูบมือตัวเองแบบเหงา ๆ ดูท่าคงจะเก็บเรื่องนี้มาคิดนานแล้ว แถมยังมีหลายคนที่พยักหน้าเห็นด้วยตามเธออีก

“อืม… ได้ยินแล้วรู้สึกผิดเลยแฮะ” นั่นก็เลยทำให้กรหงอยจนน้ำตาตกใน

“ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย” ฟีโอน่าขยับเข้ามาสับกบาลกรไปหนึ่งที

          ถึงจะดูไม่อ่อนโยนเลยสักนิด แต่สำหรับกรนี่แหล่ะคือความอ่อนโยน (เฉพาะตัว) ของเธอ

 

“แต่ถ้าเดทสองต่อสอง กว่าจะจัดคิวกันได้มันก็นานเลยนะคะ” ไมน์ลองเสนอบ้างแต่เป็นในทางที่เข้าข้างกร 

          และถึงนั่นจะเป็นสิ่งที่สาว ๆ ทุกคนรวมถึงเธอต้องการแต่ก็ไม่อยากให้กรเหนื่อยเกินไป 

          แม้ในอีกแง่นึง มันจะเป็นความรับผิดชอบของกรเองที่ต้องมอบสิ่งที่แฟนสาวต้องการก็เถอะ

          รีเบคก้าที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็คิดแบบนั้นอยู่บ้าง

 

“ให้ตายสิ เป็นเพราะคุณดันมีแฟนหลายคนแท้ ๆ เชียว” เธอถึงพ่นลมออกจากจมูกด้วยความหงุดหงิด

“แฮะ ๆ”

“ไม่ได้ชมย่ะ!”

          เพราะยิ้มดีใจไม่ดูตาม้าตาเรือก็เลยเมอร์ลินโบกไปทีนึงทำเอาทุกคนหัวเราะอุบ

          ทั้งที่ความจริงแล้ว รีเบคก้าบ่นแบบนั้นออกมาก็เพราะเธออยากจะบอกกรแบบอ้อม ๆ ว่า “ถึงมีแฟนหลายคนแต่ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับฉันสิคะ” มากกว่า

 

          และประเด็นที่พูดมาก็น่าขบคิดอยู่ เพราะถึงหลายคนจะบ่นไปงั้นก็จริง แต่ในที่นี้ก็ไม่มีใครที่อยากทำให้กรรู้สึกเหนื่อยเกินไป

          กลับกัน… พวกเธออยากให้กรรู้สึกผ่อนคลายกับการเดทของพวกเธอมากกว่า

 

“งั้นแบบจับคู่สองคน แล้วไปเดทกับคุณกรแบบสามคนน่าจะโอเคนะคะ” เรเชลพูดแล้วก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ความคาดหวังอยู่บนสีหน้าของเธอเหมือนมีคนเขียนไว้ยังไงอย่างนั้น

“เห็นด้วย… จองแขนคุณกรคนละข้าง… เพอร์เฟค!” ริต้าเองก็ชูนิ้ว ไม่มีทางที่จะคัดค้านแผนอันแสนเลิศเลอของพี่สาวอยู่แล้ว

“ “ “ “ “ “เห็นด้วย!〜” ” ” ” ” ”

          และสำหรับเรื่องนั้น ทุกคนเองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย

          แม้น้ำเสียงชิล ๆ และสีหน้าสบาย ๆ ของพวกเธอจะให้บรรยากาศเหมือนเด็กประถมชวนกันไปเล่นยังไงชอบกล แต่อารมณ์ร่วมกับรอยยิ้มของพวกเธอไม่มีใครติดใจเรื่องนี้เลยสักคนเดียว

 

“แต่แบบนี้ก็จะมีคนได้เดทแบบสองต่อสองกับฉันคนนึงนะ จะดีเหรอ?” เพราะมีภรรยาอยู่ 19 คน จำนวนที่หารแบ่งเลยไม่ลงตัวและมีเศษเหลือหนึ่งคนดังที่กรว่า

          สำหรับสาว ๆ ที่อยากจะเดทกับกรแบบสองต่อสองจึงอาจมองว่าเป็นการเอาเปรียบได้ นั่นคือจุดที่กรกังวล

          แต่ว่า…

 

“เรื่องเล็กน้อยค่าดาร์ลิ้ง” คอร์ดิเรียเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สะบัดนิ้วไปมาว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยดังปากว่า

“พวกฉันไม่คิดมากเรื่องนั้นหรอกนะ” มีอาที่นอนอยู่ข้าง ๆ เองก็เลื่อนมือมากุมมือของกรให้รู้และเข้าใจอย่างที่บอก

“ใช่ ๆ ฉันกังวลเรื่องที่กรจะเหนื่อยเกินไปมากกว่าอีก” รินเองก็ทำแบบเดียวกัน

“ถูกต้องค่ะ ถึงพวกเราจะอยากใกล้ชิดกับท่าน แต่ยังไงสุขภาพมาสเตอร์ก็สำคัญที่สุดค่ะ” รวมถึงเฮเลน่า

“แล้วถ้ากังวลเรื่องนั้น ฉันคงหัวเสียตั้งแต่ปล่อยให้นายมีฮาเร็มแล้วล่ะ” เมอร์ลินเองก็ด้วย

          รวมถึงทุกคนที่ไม่ได้พูดออกมา แต่ต่างก็แสดงสีหน้าเป็นห่วงกรออกมากันหมดแทนที่จะคิดตามเรื่องที่กรพูดทั้งสิ้น เพราะแบบนั้นถึงได้แสดงความเห็นเข้าข้างกรกันหมด… เหมือนทุกที

          นอกจากนี้ สาว ๆ ยังมองหน้าแล้วส่งยิ้มให้กันและกันอีก คงเป็นการตกลงกันไปในตัวแล้วว่าจะไม่มีใครเคืองกันเรื่องนี้

          จึงเห็นได้ชัดว่าพวกเธอไม่ได้แคร์เรื่องนั้น มากไปกว่าความสุขของกรและครอบครัวคนอื่น ๆ ของตัวเอง

 

“ขอบใจนะทุกคน”

          นั่นถึงทำให้กรโล่งใจเอามาก ๆ จนอดยิ้มออกมาไม่ได้

          รู้สึกขอบคุณเหล่าภรรยาจากใจจริงที่ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเล็กน้อยให้มากความ และทำให้ครอบครัวกลายเป็นสถานที่พักใจได้อย่างที่มันควรจะเป็น

 

“ให้ตายสิ… เพราะน่ารักแบบนี้ไงฉันถึงอยากกอดพวกเธอทุกคนทั้งวันเลยน่ะ!”

“ “อ้าย!!?” ”

          พอคิดแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกเอ็นดูเหล่าภรรยาขึ้นมา รู้ตัวอีกทีกรถึงพุ่งลงไปกอดมีอากับรินที่นอนอยู่ใกล้ ๆ เสียแล้ว

 

“โถ่ กรนี่ล่ะก็”

“ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

          มีอากับรินว่าแบบนั้นแต่ก็กอดกรกลับไปแน่นเท่ากับที่กรทำ แถมยังยิ้มพริ้มลูบหัวกรไปมาอีก

          นอกจากทำให้หัวใจพวกเธอพองโตแล้ว มันก็ยังกระตุ้นให้แฟนสาวคนอื่น ๆ อยากทำอย่างเดียวกันด้วย

 

“ขี้โกง เช้านี้ยังไม่ได้กอดเลยค่ะ!”

“พี่สาวด้วย!”

“หนูด้วย!”

          เริ่มจากซิลเวีย ตามด้วยลิลิธและคาเรน… เพราะกรเริ่มเรื่องเลยกระตุ้นให้สาว ๆ คนอื่นทำแบบเดียวกันตาม กลายเป็นกิจวัตรที่ความอบอุ่นทำให้ครอบครัวเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง

 

“อ๊ะ!?”

          …แต่เรื่องนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย

          เพราะอย่างที่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในชุดวันเกิด ร่างของกรที่เสียดสีกับมีอาและริน รวมถึงหน้าอกอันนุ่มนิ่มของซิลเวียกับลิลิธ หรือแม้แต่ร่างกายอันอ่อนนุ่มน่ากอดของคาเรน ทั้งหมดนั่นทำให้กรรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา

          ก็เลยเป็นเหตุผลที่มีอย่างอื่นตื่นขึ้นมานอกจากสติในตอนเช้า

 

          แถมเพราะเพิ่งจะกอดมีอากับรินจากด้านบนเข้าไป ตอนนี้มีอากับรินนอนเลยอยู่ด้านล่างในตอนที่ใช้ศอกชันตัวขึ้นมา ใบหน้าของพวกเธอถึงอยู่ใกล้มาก

          ใกล้จนยิ่งรู้สึกแปลก ๆ เข้าไปใหญ่

 

“มะ แมรี่เองก็ยังไม่ตื่นด้วยสิเนาะ”

“ถ้ากรอยาก… พะ พวกฉันช่วยได้นะ”

          รินกับมีอาเริ่มหรี่ตามองด้วยความออดอ้อนช้อนตาหน้าแดงก่ำ ปฏิกิริยาร่างกายของพวกเธอที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเองก็เป็นเครื่องบ่งชี้อยู่แล้วว่าพวกเธอต้องการสิ่งเดียวกับสัญชาตญาณดิบของกร

 

ฮึ่ย!!? ทำหน้าตาน่ารักน่าหม่ำขนาดนี้ใครจะไปปฏิเสธลงครับเนี่ย!

 

“ได้หมดถ้าสดชื่น!”

          แน่นอนว่าสำหรับเด็กหนุ่มสุขภาพดีมันไม่มีคำตอบอื่น แม้ข้าศึกจะมีมากถึง 19 คนก็ไม่หวั่น

          นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ยามเช้าของพวกกรยังคงร่าเริงด้วยเสียงคราง———เสียงเฮฮาครึกครื้นของเหล่าแฟนสาวตามเคย

 

❖❖❖❖❖

 

“เรื่องก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหล่ะ เพราะงั้นขอลางานสักสัปดาห์นึงนะ”

          กรเอ่ยแบบนั้นก่อนจะก้มหน้าให้กับเหล่าสมาชิกภาคีโต๊ะจัตุรัสที่นัดประชุมกันในห้องโรงแรมหรูของอาณาจักรฟอเรสเตอร์ของฟีโอน่าในวันเดียวกัน

          สมาชิกที่นั่งร่วมโต๊ะมีแค่หัวหน้าใหญ่แต่ละฝ่ายอย่างกร แอนดรูว์ พี่มารี เสือและคัทยูช่าเพราะเป็นการนัดหมายเพื่อทำงาน แต่ของที่อยู่บนโต๊ะไม่มีอย่างอื่นนอกจากน้ำชาของแต่ละคน เพราะนี่เป็นแค่การพูดคุยถึงแผนในอนาคตแบบคร่าว ๆ เท่านั้น

 

          อนึ่ง ถ้าไม่นับเรื่องศึกยามเช้าที่เป็นเรื่องส่วนตัว นั่นก็คือทั้งหมดที่กรได้เล่าให้พวกเขาฟัง

 

“เอาเถอะ น้องเองก็เหนื่อยมาพอแล้ว เพิ่งจะฟื้นตัวด้วยนี่นา” พี่มารีเป็นคนแรกที่ออกความเห็น แน่นอนว่าเธอเห็นด้วยเต็มที่กับคำขอนั้น

“ตอนนี้ตัวคุณเป็นสัญลักษณ์ของทุกคน ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับร่างกายและจิตใจตัวเองมาก ๆ ล่ะนะครับ” แอนดรูว์กอดอกพูดอย่างจริงจัง แม้จะอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานาแต่ก็เห็นด้วยกับกรอยู่ดี

“ฉันว่าการให้ความสำคัญกับครอบครัวก็เป็นสิ่งจำเป็นล่ะนะคะ โดยเฉพาะคุณด้วยแล้วน่ะ” คัทยูช่าพูดแล้วก็ยิ้มแห้ง เธอคงตั้งใจแซวเรื่องจำนวนภรรยาของกรไม่ผิดแน่ แต่ที่แน่อีกอย่างคือคัทยูช่าเองก็เห็นด้วย

“ตามนั้นแหล่ะ… ระหว่างนั้นเดี๋ยวจะเตรียมเรื่องการประกาศวีรกรรมของนายให้ เอาเวลาไปพักผ่อนซะเถอะ”

          สุดท้ายก็คือเสือที่ชี้นิ้วมาทางกร ถึงนั่นจะดูไม่ดีแต่กรเข้าใจเจตนาของเสือว่าเขาเป็นห่วงตนแค่ไหน

 

          เพราะไม่ว่าใครจะพูดยังไง กรและเหล่าภรรยาก็เป็นคนจัดการลาสบอสลงได้และช่วยเหลือโลกทั้งสองใบได้เป็นผลสำเร็จโดยที่พวกตนทำได้แค่ถ่วงเวลา ลึก ๆ แล้วทุกคนในที่แห่งนี้จึงรู้สึกติดหนี้บุญคุณกรเอาเรื่องแม้ไม่ได้เปิดปาก

          ไม่สิ… เพราะศักดิ์ศรีค้ำคอเลยไม่เปิดปากกัน หรือไม่งั้นก็ประหม่าเกินกว่าจะพูดออกมาอย่างใดอย่างนึงมากกว่า พวกเขาถึงตอบแทนกรด้วยเรื่องที่พวกเขาสามารถทำได้แทน 

          รวมกับเรื่องที่ทุกคนเห็นพ้อง กรเลยยิ้มขอบคุณพวกเขาอยู่ในใจ นั่นเลยทำให้กิจของกรที่มาที่นี่เสร็จไปอย่างหนึ่งแล้ว

 

          ส่วนประเด็นที่เสือกล่าวถึง… คือการประโคมข่าวโฆษณาเรื่องที่กรจัดการลาสบอสที่เกือบทำลายดาวดวงนี้ไปแล้วให้ทุกคนรับรู้ สาเหตุหลักคือเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนได้สัมผัสด้วยตัวเองในวันนั้นเพราะท้องฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือนไปทั่วราวโลกกำลังถึงกาลอวสาน ทุกคนจะอยากได้คำอธิบายก็คงไม่แปลกอะไร

          รวมถึงการทำแบบนั้น มันมีผลประโยชน์เรื่องการเพิ่มอิทธิพลของกลุ่มภาคีโต๊ะจัตุรัสกับสภาโลกด้วย เพราะถ้าทุกคนรู้เรื่องที่กรเป็นคนช่วยโลกเอาไว้ กรจะกลายเป็นศูนย์รวมใจของทุกคน และนั่นจะทำให้ศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายมันง่ายในการรวบรวมกำลังพล

          …แถมพอกรมีอิทธิพลมากขึ้น แผนการส่วนตัวของกรก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นตามไปด้วย

          การประกาศความสำเร็จนี้จึงมีความสำคัญ จำเป็นต้องคิดอย่างถี่ถ้วนและจริงจังมากพอ ๆ กับตอนที่คิดแผนพิชิตดันเจี้ยนเลย

          แต่นั่นก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ต้องคิดกัน

 

“แล้ว… หลังจากประกาศความสำเร็จของกรแล้วจะเอาไงต่อดีล่ะครับ” รู้แบบนั้นแอนดรูว์ก็เลยชิงถามออกมาก่อนหลังจิบชาของตัวเอง

“เรื่องนั้นมันแหงอยู่แล้วนี่ ก็ต้องหาวิธีกลับโลกเดิมน่ะสิจ๊ะ”

          แล้วพี่มารีก็ตอบกลับในทันที เพราะยังไงเรื่องนั้นก็สำคัญที่สุด

          ไม่ใช่แค่สำหรับพวกเขาที่นี่… แต่ยังหมายรวมถึงคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย

          เพราะไม่ว่าสำหรับใคร… การเข้ามาพัวพันในสถานการณ์ที่ไม่รู้จักและถูกมัดมือชกให้เอาตัวรอดส่วนใหญ่ต้องอยากจะกลับบ้านเกิดที่ตัวเองคุ้นเคยอยู่แล้ว

          ยิ่งสำหรับพวกที่ถูกอัญเชิญมาครั้งล่าสุด มันไม่น่าแปลกใจเลยหากยังมีคนที่ปรับตัวปรับจิตใจไม่ได้และอยากจะกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิมโดยเร็ว

 

“แล้วจะทำไง? วาร์ปมนุษย์หลักล้านคนกลับโลกเดิม แล้วโบกมือสวัสดีบอกทุกคนว่ากลับมาแล้ว งี้เหรอ?” เสือแบมือเสนอด้วยภาพกว้าง ๆ ของแผนด้วยรอยยิ้มกวน ๆ

“บ้าบอ ทำแบบนั้นได้ที่ไหน” กรก็เลยตบมุกไปหนึ่งฉาด

“ใช่ไหมล่ะ? เรื่องใหญ่แหง ๆ”

          เสือเองก็เห็นด้วย… เห็นด้วยก่อนจะเป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเองอีก

          แต่คนที่ขำกับมุกคงจะมีแค่คัทยูช่าที่หัวเราะในลำคอเท่านั้น

 

“อะแฮ่ม! งั้น… คำถามคือต้องลงมือแบบไหนสินะคะ” คัทยูช่าปรับอารมณ์ตัวเองก่อนจะวกกลับประเด็นเดิม

“แอนดรูว์เป็นลูกของประธานาธิบดีไม่ใช่เหรอ? น่าจะหาลู่ทางได้อยู่มั้ง” เสือเสนอทางที่เป็นไปได้ซึ่งเป็นอย่างเดียวกับที่กรคิด 

“ตอนอยู่โลกเก่าผมก็เป็นแค่นักเรียนธรรมดาเองนะ… แหม! ถึงจะเป็นนักเรียนธรรมดาที่ถูกเชิญไปทำงาน NA*A ตั้งแต่เกรด 8 ก็เถอะ” ส่วนแอนดรูว์ที่ถูกพูดถึงก็ไม่พ้นถือโอกาสยืดอกเรื่องนั้น 

          เขาถึงยิ้มเยาะก่อนจะแบะมือเหมือนอยากจะบอกว่า ‘ก็คนมันเก่งอ่ะ ช่วยไม่ได้อ่ะน้า’ อะไรทำนองนั้น

 

“ขี้โม้เอ้ย” เสือก็เลยอดหงุดหงิดไม่ได้จนต้องถลึงตาใส่

“ความจริงต่างหากครับ”

          แต่แน่นอนว่าแอวนดรูว์ไม่ยี่หระ เขากลับยิ่งชอบใจกว่าเดิมด้วยซ้ำที่มีคนเล่นด้วย

 

“คุณเสือ ฉันเองก็เป็นลูกสาวประธานาธิบดีเหมือนกันนะคะลืมแล้วเหรอ?” แต่ดูเหมือนการให้ความสนใจแอนดรูว์จะไปสร้างความไม่พอใจให้คัทยูช่าคนนี้แทน อาจเพราะแบบนั้นเธอทำแก้มป่องใส่เสือ

“ไม่ลืมหรอกจ่ะ แหม ๆ” 

          พี่มารีกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ก็เลยช่วยปลอบก่อน ตามจริตนิสัยชอบดูแลคนอื่นของเธอนั่นแล

 

“ใช่… เรามีลูกชายลูกสาวของผู้นำระดับโลก คงไม่ใช่สถานการณ์ที่เราทำอะไรไม่ได้หรอกจริงไหม” กรเป็นอีกคนที่ช่วยตามน้ำให้บรรยากาศกลับมาเป็นปกติและจริงจัง คงพูดได้แค่ว่าสมเป็นพี่น้องกันจริง ๆ 

“เออ… ติดต่อคนพวกนั้นก่อน คนพวกนั้นก็จะแย่งหน้าที่ไปด้วยนั่นแหล่ะ งานเราจะได้น้อยลง”

          เสือกึ่งพูดกึ่งผ่าน เขาคงหงุดหงิดถ้ามันกลายเป็นแบบนั้นแต่ก็ตระหนักถึงข้อดีที่ว่าไม่ต้องมายุ่งยากลำบากกับการดำเนินการเรื่องนั้นด้วย

          เรียกว่าเป็นแบบนั้นไหนก็มีข้อดี… หรือไม่ก็ยุ่งยากพอกันเขาถึงบ่นออกมา

 

“ก่อนหน้านั้น ยังมีปัญหาเรื่องที่คนบนโลกถูกลบความทรงจำและการมีอยู่ของเราไปจนหมดแล้วด้วยนะครับ” แอนดรูว์เตือนอีกปัญหานึงที่ใหญ่พอ ๆ กันขึ้นมา แต่ทุกคนเองก็กำลังคิดเรื่องเดียวกันอยู่ถึงพยักหน้ารับทันที

“แล้วคุณกรทำอะไรเรื่องนั้นไม่ได้เหรอคะ?” คัทยูช่าหันไปถามคนที่น่าจะมีทางออกที่สุด

“ก็ไม่เคยลอง… คงต้องให้ชาลอตกับเมอร์ลินช่วยคำนวณดู แถมคนที่ใช้พลังนั้นได้ก็มีแค่รินคนเดียวด้วย”

          กรกุมคางขมวดคิ้วแน่นหลังได้รับคำถาม คิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแน่หากต้องใช้พลังกับมนุษย์ทุกคนบนโลกที่จำนวนมากกว่าพันล้านคนเพื่อให้ความทรงจำของพวกเขากลับมา

          แต่สายตาของพี่มารีสา แอนดรูว์ คัทยูช่ารวมถึงเสือกลับแสดงความคาดหวังออกมาเสียอย่างนั้น

 

“เดี๋ยวก่อน! ถึงเป็นฉันก็ทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ” กรก็เลยต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเพราะไม่อยากให้ความหวัง

          ทั้งที่ความเป็นจริงมันง่ายดายแก่การนำมาสู่ข้อสรุปแท้ ๆ ว่ากรคนเดียวไม่อาจทำแบบนั้นได้

          แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทุกคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะคาดหวังในตัวของกรผู้พิชิตสัตว์ประหลาดที่มีร่างกายใหญ่โตเทียบเท่าดวงดาวมาแล้ว

 

“นั่นสินะคะ มันเผลอคิดไปซะแล้วล่ะค่ะว่าคนแบบคุณน่าจะทำได้ทุกอย่าง” คัทยูช่าถึงยิ้มแห้ง ๆ ด้วยความเขินอายไม่เบาเพราะคิดแบบนั้น

“ยอดมนุษย์อย่างนายก็มีเรื่องที่ทำไม่ได้สินะ” 

          เสือเองก็ต้องรีบปรับความคิดของตัวเองใหม่ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะไม่อยากให้ความคาดหวังของตัวเองมีมากเกินไปจนไปทำให้กรลำบากเข้า มองในแง่นั้นก็ถือว่าเอาใจใส่กันดี

          แถมไม่ใช่เสือคนเดียวด้วยที่คิดแบบนั้น

 

“อีกครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้วสินะครับเนี่ย… งั้นคุณกลับก่อนก็ได้นะครับกร” แอนดรูว์เหลือบมองนาฬิกาแขวนแล้วก็เสนอแบบนั้น ไม่สิ… แนะนำต่างหาก

          บางทีเขาคงคำนึงถึงเรื่องที่ว่ากรอาจมีนัดกับเหล่าภรรยาหลังจากนี้กระมัง

ซึ่งแอนดรูว์ก็เดาได้ตรงเผงจริงจนน่ากลัว แต่ว่า…

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เรื่องของทุกคนสำคัญกว่าเรื่องของฉันนะ” อ้างเรื่องส่วนตัวแบบนั้นมีหรือจะทำให้กรยอมทำตาม กลับกัน… มันยิ่งกระตุ้นต่อมทำให้กรเลือกที่จะอยู่มากขึ้นไปอีก

“มีความรับผิดชอบมันก็ดีอยู่ แต่หัดรับความหวังดีจากคนอื่นบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” ถ้าไม่ได้พี่มาริสาพูดแบบนั้น กรก็คงยิ่งดื้อดึงที่จะอยู่ที่นี่มากเข้าไปอีก เพราะทุกคนต่างก็รู้กันอยู่ว่าถึงทำแบบนั้นมันก็เป็นแค่การอดทนอดกลั้นเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ากรสู้และทำทุกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

“ครอบครัวสำคัญกับน้องมากใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นไปเถอะ”

          มาริสาถึงพูดแบบนั้นออกไป เป็นความพยายามเตือนสติ หากแต่สำหรับคนที่รู้เรื่องนั้นดีแก่ใจอยู่แล้วอย่างกร นั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการแทงใจดำ

          แทงใจดำกร… และตัวของเธอเองจนรู้สึกว้าเหว่เอาเรื่อง

 

          เจอแบบนั้นกรเลยได้แต่ยิ้มอ่อน ต้องยอมแพ้กับความหวังดีของพวกเขาแทนที่จะดื้อดึงกับความเกรงใจ

          และที่สำคัญกว่านั้น… ถ้าได้รับการอนุญาตอย่างเป็นเอกฉันท์ก็ย่อมได้รับความชอบธรรมที่จะทำตามใจชอบ เพราะใจจริงกรเองก็อยากจะไปหาคู่เดทของเขาแล้วเหมือนกัน

 

“เข้าใจแล้ว… ขอบคุณมากนะครับพี่ ทุกคนด้วยนะ” กรก็เลยรับข้อเสนอนั้นไว้โดยพลัน

“เออ ไม่ต้องห่วงที่นี่หรอก” เสือย้ำไม่ให้กรรู้สึกผิด

“เที่ยวให้สนุกนะคะ” คัทยูช่าเองก็อวยพรด้วยรอยยิ้มตามมารยาท

“อย่าลืมของฝากหลังพักร้อนด้วยล่ะครับ”

          แอนดรูว์ก็ยังคงทิ้งท้ายด้วยความป่วนประสาทตามเคย ถึงรอยยิ้มบนหน้าจะเต็มไปด้วยความปรารถนาดีก็เถอะ

 

          …ในขณะที่มาริสานั้นกลับยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกแฝงความเหงาต่างจากคนอื่นตั้งแต่ก่อนหน้านี้

          ทั้งที่ความจริงแล้ว การได้เห็นน้องชายกลายเป็นชายที่ยอดเยี่ยม แข็งแกร่งพึ่งตัวเองได้ ทั้งยังเป็นที่พึ่งให้คนอื่น และมีครอบครัวที่มั่นคงมันควรจะทำให้เธอดีใจแท้ ๆ

          แต่ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้พี่สาวคนนี้รู้สึกยินดีได้ไม่เต็มหัวใจ… ก็คงเป็นความรู้สึกราวกับตัวเอง ‘ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’

          และนั่นคงเป็นความรู้สึกเดียวกันด้วยที่ทำให้เธอเหงาหงอยในตอนที่มองน้องชายของเธอกำลังจะผ่านประตูห้องออกไป

 

          แต่… น้องชายที่เดินผ่านประตูไปแล้วครึ่งนึงกลับหันมาทางเธออีกครั้ง สร้างความแปลกใจให้มาริสาไม่น้อย

 

“พี่มารี ไว้กลับโลกเดิมแล้ว เราไปเยี่ยมหลุมศพพ่อกับแม่ด้วยกันนะครับ” กรพูดแล้วก็ส่งยิ้มให้ นั่นทำเอามาริสาตะลึงจนเผลอเลิกคิ้ว

          อ่านใจได้รึไงกันนะน้องคนนี้… มาริสาแอบคิดแบบนั้น แต่ความสงสัยก็ไม่ได้อยู่นานเท่ากับความดีใจที่ถูกแทนที่

 

“แหม… น้องพี่นี่ช่างเอาใจใส่จริง ๆ เลย” เพราะแบบนั้นมาริสาถึงยิ้มออกมาด้วยความพออกพอใจแบบสุด ๆ

“ไว้เจอกันนะครับ”

“จ้า”

          ทั้งสองโบกมือให้กันก่อนที่กรจะออกจากห้อง

          และเพราะเรื่องนี้คงทำให้ไม่มีเรื่องที่มาริสาติดใจอะไรอีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของน้องชายที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดของตัวเองคนนี้

 

❖❖❖❖❖

 

“ฮึ้บ!!!”

          หลังออกมาจากห้องประชุม กรก็เหยียดตัวเสียเต็มแรง

          ถึงจะมีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ก็เรียกมาด้วยเรื่องที่เป็นทางการกรเลยรู้สึกเกร็งอยู่หน่อย ๆ ด้วยความรับผิดชอบที่อยากให้แผนการทั้งหมดมันออกมาดี

          พอไม่ต้องทำแบบนั้น กรเลยผ่อนคลายขึ้นเยอะ

 

          แถมอีกอย่างนึง… เพราะมีคนนั่งรออยู่ตรงเลานจ์ของโรงแรมชั้นหนึ่งอยู่ด้วยกรถึงระริกระรี้สุด ๆ

          เป็นเหตุผลเดียวกับที่กรรีบบึ่งไปหาคอร์ดิเรียที่นั่งจิบชาอยู่คนเดียวด้วย

 

“อ๊ะ! ดาร์ลิ้ง! ฉันอยู่นี่ค่า!” แล้วดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่กรคนเดียวที่รออย่างใจจดใจจ่อ

          เพราะทันทีที่กรผ่านผนังห้องเข้ามาคอร์ดิเรียก็ตะโกนเรียกในทันที ไม่น่าแปลกใจเลยหากเธอตั้งใจรอกรมากเท่ากับที่กรอยากจะเจอเธอ

 

“ขอโทษที่ให้รอนานนะคอร์ดิเรีย เหนื่อยรึเปล่า?” พอนั่งลงตรงที่นั่งใกล้ ๆ กับคอร์ดิเรียกรก็ถามเรื่องนั้นเป็นอย่างแรกตามเคย

“ฉันแค่นั่งรอเฉย ๆ เองค่ะ ไม่เหนื่อยหรอก… คุณเองเถอะ ลำบากแย่เลยนะคะ” คอร์ดิเรียกลับเป็นฝ่ายมองกรแทนด้วยความเป็นห่วง

          เอาจริง ๆ กรก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรขนาดนั้น… แต่พอคอร์ดิเรียทำหน้าทำตาเป็นห่วงเป็นใยแถมยังเลื่อนมือมาลูบหัวกรอีก มันก็ยิ่งทำให้กรรู้สึกอย่างจะอ้อนขึ้นมา

          อาจเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของเธอดูเหมือนพี่สาวสุดเซ็กซี่ก็ได้มั้ง …ถ้าไม่นับเรื่องที่เจ้าตัวเป็นโรคจิตจอมหื่น แถมเป็นมาโซคิสม์ขั้นสุดล่ะก็นะ

          นั่นคือสิ่งที่กรแอบคิด แต่… ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่อยากจะทำมันต้องลดน้อยลงเลยสักนิด

 

“เฮ้อ… ก็เหนื่อยจริง ๆ นั่นแหล่ะน้า” กรก็เลยขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ ๆ แล้วก็ทิ้งตัวใส่คอร์ดิเรียในทันทีที่มีโอกาส

“แหม ๆ!”

          ต้องขอบคุณที่เก้าอี้เป็นแบบไม่มีที่วางแขนมันก็เลยง่าย 

          และง่ายสำหรับคอร์ดิเรียที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มโอบให้ใบหน้าของกรเข้ามาซุกอกของเธอพอดีด้วย

 

“อยากอยู่แบบนี้ทั้งวันเลยอ่ะ” กรละเมอหน้าระรื่นก่อนจะยิ้มพริ้ม รอยยิ้มนั่นแลดูจะเหมือนกับแฟนสาวบางคนมากเข้าไปทุกวัน

“เอ๋? แบบนั้นก็จะไม่ได้เดทกับฉันเอานะคะ จะดีเหรอ?” คอร์ดิเรียถามหยอกก่อนจะหยิกแก้มกรด้วยความเอ็นดู

“เดทกันในสภาพนี้ไม่ได้เหยอ?” กรยิ่งออดอ้อนเขาก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่

“แบบนั้นก็วิเศษไปเลยสิค้า! ดาร์ลิ้งขา!!!”

          คอร์ดิเรียยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดว่าน่ารัก เธอถึงเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงกรเหมือนเป็นตุ๊กตาหมีประจำตัวไปแล้ว

          ถ้าไม่ติดว่าน้ำลายเธอกำลังไหลยืดแถมดวงตายังกลายเป็นรูปหัวใจไปแล้วมันก็คงดีกว่านี้ สภาพแบบนี้จึงเห็นได้ชัดเลยว่าอีกไม่กี่วินาทีเธอคงจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจู่โจมกรแหง ๆ

 

“เอ่อ ขอโทษนะคะคุณลูกค้า”

          ต้องขอบคุณพนักงานสาวที่เข้ามาเอ่ยเตือนทำให้ทั้งกรและคอร์ดิเรียต้องหยุด กึก! ลงทุกอย่างก่อน

 

“คะ ขอโทษด้วยครับ!”

“ขอโทษด้วยค่ะ!”

          เธอเขามาทักจากด้านหลังทำให้กรกับคอร์ดิเรียหันไปขอโทษขอโพยทั้งคุณพนักงานและลูกค้าคนอื่น

          ว่าไปแล้ว… นั่นก็คือสาเหตุที่ทั้งสองคนต้องหนีออกมาจากโรงแรมเสียก่อน

 

“ตายแล้ว น่าอายจังเลยค่ะ”

          พอออกมาจากตัวโรงแรมแล้วคอร์ดิเรียก็เริ่มรำพึงอย่างรู้สึกผิด… ด้วยรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจทั้งยังหายใจแรงสุด ๆ แถมยังควงแขนซ้ายกรแน่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าก่อนหน้านี้เลย

          ณ จุดนี้… จากคำพูดที่ตัวเธอบอกว่ากำลังรู้สึกผิด ดูยังไงมันก็ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

 

“เพราะเธอไม่รู้จักอดทนอดกลั้นนั่นแหล่ะ” กรเองก็เป็นคนที่รู้ว่าคอร์ดิเรียชอบสถานการณ์แบบนี้แค่ไหน เขาถึงใช้มือขวาข้างที่ว่างอยู่กุมขมับ …แม้ตัวเขาเองจะไม่มีความชอบธรรมในการพูดเรื่องนั้นก็เถอะ

“ดาร์ลิ้งน่ะไม่ต้องมาพูดเลยค่ะ”

          คอร์ดิเรียถึงจิ้มแก้มกรไปเป็นการตอกกลับ แต่กรก็ยังถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ อยู่

 

ให้ตายสิ… ทั้งที่เมื่อเช้าก็จัดให้จนพอใจแล้วแท้ ๆ

ยัยนี่มันหื่นตัวแม่จริง ๆ แฮะ

 

อืม… หรือเราด้วยหว่า?

          ถ้าไม่สนองเสียแต่แรก การร้องขอครั้งที่สองและสามย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น… คิดไปคิดมากรก็เริ่มคิดแบบเดียวกับที่คอร์ดิเรียบอก ดูเหมือนเขาจะตระหนักแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้บุคลิกของคอร์ดิเรียหนักข้อขึ้นจะเป็นเพราะเขาตามใจเธอมากเกินไป

          ซ้ำร้าย… คงเป็นเพราะกร ‘เล่นด้วย’ กับคอร์ดิเรียหลายต่อหลายครั้งนั่นแหล่ะ

          ไม่ว่าจะการเล่นแผลง ๆ นอกบ้านยามวิกาล หรือที่สาธารณะแบบที่ไม่ให้ใครจับได้ หรือแม้แต่การเล่นบทบาทสมมติในบ้าน

          ทั้งสถานการณ์นักเรียนสาวถูกคุณครูข่มขู่ หรือเลขาสาวที่ขัดขืนบอสหนุ่มไม่ได้ แม้แต่นินจาสาวที่ถูกจับกุมและโดนทรมาน?เพื่อให้คายความลับก็ลองกันมาแล้ว

          การละเล่น?จำพวกนั้นคงทำให้เธอได้ใจ หรืออีกนัยนึงคือเคยชินจนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เธอก็เลยไม่มีสามัญสำนึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

 

“เฮ้อ… ฉันผิดเองแหล่ะ” กรเลยเปลี่ยนมากุมขมับด้วยความรู้สึกผิดแทนหลังนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องพวกนั้น นั่นเลยทำให้คอร์ดิเรียทำสีหน้าเหมือนกับเสียดายสุด ๆ ออกมา

“เอ๋? ดาร์ลิ้งจะเลิกเล่นอะไรแผลง ๆ กับฉันแล้วเหรอคะ?”

“ไม่อ่ะ ไม่มีทาง”

“ก็นั่นสินะค้า”

          กรปฏิเสธทันควัน เขาไม่มีทางยอมให้ความสนุกเหล่านั้นหายไปแน่ คอร์ดิเรียถึงยิ้มร่าหลังได้ยินคำตอบแบบเดียวกับที่คิดจากกรด้วย ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่กรแล้วที่เดาความคิดของคนในครอบครัวได้หมดจด

          ผีเน่ากับโลงผุ———กิ่งทองใบหยกคงเป็นคำที่เหมาะที่สุดแล้วสำหรับกรกับคอร์ดิเรีย

 

“จะว่าไป” เพราะทำอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้ ไม่สิ… ไม่คิดจะแก้ไขอะไรเรื่องนั้นกรก็เลยเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า

          แน่นอนว่าเป็นเรื่องของคู่เดทอย่างคอร์ดิเรีย และเป็นเรื่องที่สังเกตได้ง่ายที่สุดอย่างเครื่องแต่งกายของเธอ

 

          ตอนนี้คอร์ดิเรียกำลังสวมชุดเดรสสีขาวเปิดไหล่และแผ่นหลังจึงเห็นผิวกายขาวนวลผ่องแผ้วชัดเจน การมีระบายติดเล็กน้อยช่วยทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นผู้ใหญ่ลดลงและแทนที่ด้วยความน่ารักจากริบบิ้นสีแดงที่ติดใต้อก กระนั้นกระโปรงพลิ้วก็ยังสั้นในระดับที่เผยให้เห็นขาอ่อนขาวเนียนของเจ้าตัว

          เพราะเรือนผมคอร์ดิเรียเป็นสีฟ้าน้ำทะเลด้วยการสวมชุดเดรสสีขาวถึงทำให้นึกถึงท้องฟ้าสีคราม รวมกับผิวขาวเนื้อนวลของเธอยังทำให้นึกถึงหาดทรายสีขาว ยิ่งรู้สึกราวกับมีท้องทะเลอยู่เคียงข้างสมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งมหาสมุทร

          องค์ประกอบทั้งหมดนั่นกลายเป็นความน่ารักและมีแรงดึงดูดทางเพศ ประกอบกันอย่างลงตัวจนคิดไม่ออกว่าจะมีสาวคนไหนที่จะน่ารักน่ากอดไปมากกว่านี้ในสายตาของกร

 

“ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ใส่ชุดนี้แล้วเหมาะมากเลยนะคอร์ดิเรีย”

“จริงเหรอคะ!”

          ถึงจะเอ่ยชมทุกครั้งคอร์ดิเรียก็ดีใจทุกครั้ง เรียกว่าไม่เคยเบื่อเลยที่ตัวเองสามารถดึงดูดทั้งสายตาและหัวใจของกรให้มาอยู่ที่เธอได้

          เธอถึงยิ้มชอบใจยิ่งกอดแขนกรแรงขึ้นไปอีกเท่าตัว

 

“ก็จริงน่ะสิ ดูรอบ ๆ ก็รู้” ถึงแบบนั้นกรก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

          ได้ยินแบบนั้นทำให้คอร์ดิเรียเองก็เอียงคอสงสัย แต่พอมองไปรอบ ๆ ตามสายตาของกร ก็พบว่ามีหนุ่ม ๆ รายทางมองเธอตาไม่กะพริบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่ได้มีแค่กรที่ต้องมนตร์เสน่ห์ของเธอ

          และคงเป็นเพราะมีสายตารุมเชยราวผึ้งตอมบุปผางามที่กรเป็นเจ้าของนั่นแหล่ะมันถึงได้น่าหงุดหงิด

 

“แหม ๆ ดาร์ลิ้งใจแคบจังเลยนะคะ” 

“อึก…”

          ก็เลยเป็นโอกาสให้คอร์ดิเรียแซวกร คอร์ดิเรียจึงยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยสาเหตุนั้น

          แม้การถูกแกล้งจะทำให้ใจเต้น แต่ได้เป็นฝ่ายแกล้งกรบ้างมันก็น่าสนุกพอ ๆ กันเป็นเรื่องที่คอร์ดิเรียตระหนักในช่วงนี้

 

“ถึงฉันจะชอบดาร์ลิ้งที่เป็นแบบนี้ก็เถอะนะ ขี้หึงแบบนี้น่ะน่ารักที่สุดเลยค่ะ” คอร์ดิเรียได้โอกาสถึงเริ่มลูบหัวกรอีกครั้งด้วยความเอ็นดู

“…เอาเถอะ ถ้าว่างั้นก็ตามนั้นแหล่ะ”

          ถูกทำเหมือนเป็นเด็กมันน่าหงุดหงิดก็จริงแต่ความประหม่ากลับมีมากกว่ากรก็เลยจำต้องเออออห่อหมกไปตามที่สาวเจ้าว่า

          ถ้าเป็นตอนนี้ ต่อให้โดนด่ากรก็คงจะยิ้มตอบแบบไม่คิดอะไรแน่ เขาหลงคอร์ดิเรียถึงเพียงนั้น

 

          ทั้งสองเดินไปตามถนน กินลมชมบรรยากาศโดยไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรจนไปถึงส่วนที่ติดกับทะเลเพียงไม่กี่จุดของอาณาจักรฟอเรสเตอร์

          ชายหาดมีลักษณะเป็นส่วนเว้าด้านในของจันทร์เสี้ยว เต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหาร ส่วนที่ลาดลงไปเป็นชายหาดที่สะอาดสะอ้านไปจนถึงทะเลตื้นที่อยู่ติดกัน

          ทั้งสองคนเดินไปตามชายหาดแล้วเลือกร้านที่มีจุดนั่งทานแบบที่เป็นส่วนตัวและลูกค้าน้อยเพราะเรียนรู้จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

          กระทั่งมาถึงร้านที่เข้าเค้า เป็นร้านอาหารสองชั้นทำด้วยไม้ทั้งหมด การมีเถาวัลย์ตกแต่งร้านด้วยความประณีตแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจเป็นสิ่งที่ทำให้กรกับคอร์ดิเรียเลือกร้านนี้

 

เป็นร้านที่ดูร่มรื่นดีจังแฮะ

ติดทะเลแบบนี้คอร์ดิเรียชอบแน่ ๆ ล่ะ

 

แถมดูเหมือนจะมีโต๊ะแบบส่วนตัวที่ชั้นสองด้วย

ค่อยดีหน่อย จะได้ไม่ต้องกังวลสายตารอบข้างแบบหนที่แล้ว

          กรพยักหน้าด้วยความพอใจหลังได้ที่นั่งชั้นสอง

          มันเป็นแบบนั่งพื้นก็จริง แต่ก็มีพนักพิงบุนวมนุ่ม ๆ พร้อมเบาะติดพื้นให้เหมือนนั่งโซฟา แถมถัดจากโต๊ะไปก็เป็นระเบียงที่มองเห็นทิวทัศน์ทะเลได้ด้วย

 

“ขอโทษที่ให้รอนะคะ อาหารได้แล้วค่ะ” รอเพียงไม่นานอาหารก็มาในเวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น

          แถมหน้าตาก็ยังดูน่ากินทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นจานปลาของคอร์ดิเรีย จานเนื้อของกร รวมถึงกับแกล้มกินเล่นที่เป็นพืชจำพวกมันทอด ทั้งหมดเป็นอาหารเที่ยงที่ดูดีคุ้มค่าทีเดียว

 

“บรรยากาศดีเลยนะ”

“ใช่เลยค่ะ”

          เพราะเป็นที่นั่งติดพื้นก็เลยนั่งเหยียดขาได้สบายใจเฉิบ แถมคอร์ดิเรียยังแนบชิดพังกายกรได้สบาย ๆ ด้วย ตอนนี้คอร์ดิเรียเลยทิ้งตัวเองซบไหล่ซ้ายกร เธอถอนหายใจด้วยความปลอดโปร่งแบบสุด ๆ

 

“เขิน ๆ เหมือนกันนะคะเนี่ย” เจ้าตัวพูดเหนียมอาย แต่ก็ยังขยับเข้ามาใกล้กรเรื่อย ๆ อยู่ดี

“ก็เราเพิ่งเคยมาเดทด้วยกันสองต่อสองครั้งแรกนี่นะ”

“ใช่น่ะสิคะ แหม…”

          กรรู้เรื่องนั้นทำให้คอร์ดิเรียดีใจเอามาก ๆ เพราะมันแสดงเห็นว่าเขาไม่เคยลืมเรื่องที่ยังไม่ได้ทำร่วมกับเธอ หรือยิ่งกว่าคือรอคอยที่จะใช้เวลาแบบนั้นร่วมกัน

          คอร์ดิเรียยิ่งดีใจเมื่อกรใช้มือข้างเดียวกับที่คอร์ดิเรียซบ โอบไหล่เธอเข้ามาใกล้ ๆ 

          พวกเขาใช้เวลากับความใกล้ชิดนั้นหลายนาทีก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีมื้อเที่ยงอยู่ตรงหน้า

 

“บรรยากาศแบบเป็นส่วนตัวเนี่ยดีจังเลยนะคะ งั่ม!” คอร์ดิเรียเอ่ยก่อนจะใช้ส้อมตัดเนื้อปลาพอคำแล้วจิ้มเข้าปาก ดูท่าเธอจะพอใจกับบรรยากาศริมทะเลแบบนี้มากทีเดียว

          และต้องขอบคุณที่ตอนนี้กรเป็นฝ่ายโอบไหล่คอร์ดิเรียไว้ใกล้ ๆ คอร์ดิเรียก็เลยมีมือว่างทั้งสองข้าง

          หรืออาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้?

 

“แต่มีความเป็นส่วนตัวมากไปก็ไม่ดีอยู่อย่างนะคะเนี่ย มันเหมือนกระตุ้นให้เราอยากทำเรื่องไม่ดีไงไม่รู้สิ”

          กรตระหนักเรื่องนั้นหลังคอร์ดิเรียฉวยโอกาสใช้นิ้วชี้วาดต้นขากรเล่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร

 

“หยุดเลย”

“อุ๊บ!?”

          กรจึงรีบเบี่ยงประเด็นด้วยการยัดเนื้อในจานใส่ปากคอร์ดิเรียไปซะ

          เพราะถ้าปล่อยให้คอร์ดิเรียทำตามใจ ตัวเขาคงจะเผลอตามใจคอร์ดิเรียจนไม่เป็นอันเดทต่อแหง ๆ

 

“หื้ม! อร่อยเหมือนกันนะคะเนี่ย!” โชคยังดีที่คอร์ดิเรียให้ความสนใจเรื่องอาหารมากกว่า เรื่องใต้สะดือก็เลยไม่เกิดขึ้น กรถึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกสุด ๆ

“จะว่าไป สงสัยมาตั้งแต่ก่อนแล้ว… นี่เธอกินปลาได้เหรอ?” ได้โอกาสก็เลยเปลี่ยนเรื่องเสีย ถึงส่วนนึงจะติดใจเรื่องนั้นมาตลอดจริง ๆ ก็เถอะ

          สายตาของกรเลยเลื่อนไปมองจานปลาในมือของคอร์ดิเรียแทน

 

“ทำไมเหรอคะ? ไม่เห็นแปลกเลยนี่นา” คอร์ดิเรียเอียงคอไปด้วยจิ้มเนื้อปลากินไปด้วยหน้าตาเฉย

“ก็เธอเป็นนางเงือกไม่ใช่เหรอ? ถ้ากินปลามันก็เป็นการกินพวกเดียวกันน่ะสิ นึกว่าจะถือเรื่องนั้นซะอีก”

“เอ๋? ไหงพูดเหมือนกับฉันเป็นปลาโง่ ๆ พวกนี้กันล่ะคะ โถ่!”

          พอคอร์ดิเรียได้ยินปุ๊บ เธอก็บ่นอุบแล้วก็พองแก้มแง่งอนหันหน้าหนีปั๊บ ถึงกรจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะแต่ก็เหมือนจะเสียมารยาทไปซะแล้ว

          อย่างไรก็ดี… ตอนนี้การกอบกู้อารมณ์ของคอร์ดิเรียที่กำลังบูดสำคัญกว่า กรถึงเค้นหัวคิดใหญ่ว่าจะทำยังไงดี 

          แล้วก็นึกไอเดียบรรเจิดได้ง่าย ๆ ขึ้นมา

 

“ก็จริงของเธอล่ะนะ ปลาที่ไหนไปจะน่ารักขนาดนี้” กรเอ่ยแล้วก็ไม่ลืมที่จะลูบหัวคอร์ดิเรียด้วย

“อุ้ย! โดนตกอีกแล้วค่ะ นี่ขนาดไม่ใช่ปลานะคะเนี่ย!”

          การง้อก็ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน รู้ตัวอีกทีคอร์ดิเรียก็ยิ้มแก้มปริเข้ามาคลอเคลียกรอีกแล้ว ยังกับเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย

 

          จากนั้นคอร์ดิเรียก็กลับไปกินปลาที่เหลือในจานจนหมดเกลี้ยง กรเองก็เช่นเดียวกัน

 

“ “ฟู่ว! อิ่มแปล้เลย” ”

          ทั้งสองถอนหายใจออกมาพร้อมกันก่อนจะเอนตัวกับพนัก แน่นอนว่าคอร์ดิเรียยังซบกรและกรก็กำลังโอบไหล่เธออยู่เหมือนเดิม

          บรรยากาศก็ดูโรแมนติกตามปกติดี จนกระทั่ง…

 

“แน่นท้องมากเลยค่ะ ยังกับมีเด็กอยู่ในนี้เลย” คอร์ดิเรียพูดแล้วก็ลูบท้อง แต่กรกลับหน้าซีดทันทีที่ได้ยิน

“นี่เธอ… อย่าพูดอะไรน่าหวาดเสียวแบบนั้นสิ”

“ฮิฮิ ก็ดาร์ลิ้งเล่นปล่อยเข้ามาข้างในทุกครั้งเลยนี่นา ถึงจะกินยาของเมอร์ลินแล้ว มันก็ยังน่าตื่นเต้น อะแฮ่ม! น่ากังวลอยู่ดี———”

“พอเลยพอ”

          ถูกฝอยหลายต่อครั้งยิ่งทำให้กรประหม่า เขาถึงบีบจมูกคอร์ดิเรียด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทำให้ตอนนี้คอร์ดิเรียเองก็หน้าแดงก่ำ (เพราะหายใจไม่ออก) เหมือนกันเธอก็เลยเลิกแกล้งกร

 

“กินขนมแล้วก็เงียบซะ” 

“อุ๊บ! แหม ๆ ก็ได้ค่ะ”

          กรยื่นของที่คล้ายมันฝรั่งทอดให้ คอร์ดิเรียก็ยอมรับการป้อนแต่โดยดี เพราะคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าทำให้กรหงุดหงิดเพราะแกล้งเขามากเกินไป

          ตอนนี้คอร์ดิเรียเลยเปลี่ยนมานอนหนุนตักกรพร้อมกับได้เขาป้อนขนมให้แทน ยิ่งโดนลูบหัวไปมาเจ้าตัวก็ยิ่งยิ้มชอบใจ

          บรรยากาศร่มรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ความผ่อนคลายกลับทำเอากรคิดอะไรหลาย ๆ อย่างที่สำคัญกับคอร์ดิเรียเต็มหัวไปหมดแทนเสียนี่

 

“จะว่าไป หลังจากกลับมาได้ไปเยี่ยมคุณแม่อควาเรียสบ้างรึเปล่า” นั่นคือหนึ่งในเรื่องที่กรคิด เขาถึงเอ่ยถามไปพลางสางเรือนผมของคอร์ดิเรียเพื่อให้เธอผ่อนคลาย คอร์ดิเรียเห็นความใส่ใจนั่นแล้วก็อมยิ้มออกมา

“จะว่าเยี่ยมไหมมันก็… ตอนกลับมาก็ฉลองด้วยกันอยู่นี่คะ”

          คอร์ดิเรียเอ่ย ไม่ได้แฝงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ

          แต่คนที่เป็นฝ่ายกังวล ดูท่าจะเป็นกรที่เลื่อนมือไปลูบแก้มของคอร์ดิเรียมากกว่า

 

“ฉันอาจจะยุ่งไม่เข้าเรื่องก็ได้… แต่ไม่ต้องเกรงใจเรื่องเงินที่ส่งไปให้คุณแม่หรอกนะ ขอฉันได้ตลอดนั่นแหล่ะ”

แฟนหนุ่มเธอโคตรรวยจนซื้ออาณาจักรได้สบาย ๆ เลยนะเอ้อ

          กรพูดแล้วก็ทุบอกด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจทีเดียว

 

“ฮุฮุ! ถึงท่านแม่จะเป็นอดีตราชินี แต่เงินที่ดาร์ลิงให้ท่านทุกเดือนมันก็เยอะพออยู่แล้วค่ะ” แต่คอร์ดิเรียกลับหลุดหัวเราะออกมาเสียนี่ ไม่รู้เพราะมันตลกหรืออย่างไร

“อีกอย่าง ข้ารับใช้ที่ติดตามท่านแม่มาก็เยอะพอตัวด้วย เพราะงั้นดาร์ลิ้งน่ะเป็นห่วงเกินไปแล้วค่ะ”

          คอร์ดิเรียฉีกยิ้มกว้างอีกนิดในขณะที่เลื่อมมือตัวเองขึ้นกุมมือของกรที่กำลังลูบแก้มของเธออยู่

          รอยยิ้มและแรงกุมอันอบอุ่นนั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคำขอบคุณ

 

          ถึงในรอยยิ้มของเธอมันจะมีความเหงาแฝงอยู่บ้างก็ตาม…

 

“ถ้าคน ๆ นั้นเป็นห่วงฉันกับท่านแม่ได้สักครึ่งของดาร์ลิ้งก็ดีสิ” คอร์ดิเรียรำพึงเรื่องนั้นในลำคอทำให้กรรู้เรื่องนั้น

          และไม่ยากแก่การคาดเดาว่าเธอกำลังพูดถึงบิดาของเธอที่แต่งงานกับราชินีองค์ใหม่ และปล่อยให้สังคมในปราสาทกดดันเธอกับแม่จนหาทางออกไม่เจอ ถึงขนาดที่ถ้าไม่ได้เจอกับกรก็คงไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาความสัมพันธ์อันกระอักกระอ่วนนี้ยังไง

          กรที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ถึงรู้ดีว่าคอร์ดิเรียรู้สึกทรมานน้อยเนื้อต่ำใจกับมันแค่ไหน เขาถึงเคยคิดจะเอาคืนราชาของซีทนัลทาผู้เป็นบิดาของคอร์ดิเรียให้รู้แล้วรู้รอดอยู่เหมือนกัน

 

“อย่างที่คิดเลย ให้ฉัน———”

“ไม่ต้องเลยค่ะ ดาร์ลิ้งต้องทำเกินไปแน่ ๆ”

          แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือตอนนี้คอร์ดิเรียก็เป็นคนห้ามเอาไว้เสมอ เธอถึงเลื่อนนิ้วชี้ขึ้นปิดปากกรไว้ก่อนจะทันได้พูดจนจบ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังสุดขอบโพ้นทะเล

 

“แล้วพอมานึกดูมันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก” คอร์ดิเรียเลื่อนมือลงก่อนจะถอนหายใจ นั่นดูปลอดโปร่งมากกว่าจะอึดอัดแลเจ็บปวดกับอดีต

          ราวกับว่าเธอยอมรับผลของเรื่องนี้ได้แล้วยังไงอย่างนั้น

 

“เพราะราชินีของอาณาจักรไม่อยู่ในสถานะที่จะค้ำฟ้าคู่บุญได้ ก็ต้องแต่งตั้งองค์ใหม่เพื่อค้ำจุนจิตใจของราษฎรนั่นคือหน้าที่ของผู้ปกครองอาณาจักร แล้วความจริง… ท่านพ่อจะทิ้งท่านแม่ไปก็ได้ แต่ก็ยังให้ท่านอยู่ในปราสาทเหมือนเดิม ถึงจะไม่ได้ช่วยให้ท้ายพวกเราเพื่อสู้กับคำคัดค้านของพวกคนในปราสาท แต่ท่านพ่อเองก็คงทำอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้หรอก” 

          คอร์ดิเรียชันตัวเหยียดแขนบิดขี้เกียจ คิดว่าสถานการณ์พวกนั้นมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แถมสิ่งที่พ่อของเธอทำมันก็ไม่ได้ผิดไปหมดเสียทีเดียว เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นราชา จะให้ยึดติดความรู้สึกส่วนตัวอยู่เหนือความมั่นคงของอาณาจักรก็คงจะไม่ได้

          สิ่งที่คอร์ดิเรียต้องการอย่าง ‘ไม่อยากให้ท่านพ่อไปแต่งงานใหม่’ จึงฟังดูเหมือนเป็นเด็กที่เอาแต่ใจมากกว่า

 

“แต่เรื่องที่สมเหตุผล บางครั้งมันก็ไม่ได้น่าพอใจสักเท่าไหร่ล่ะนะคะ”

          ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ… คอร์ดิเรียยังคงรู้สึกแบบนั้นถึงหันมายิ้มอมขมให้กร และความรู้สึกแบบนั้นคงไม่มีวันหายไปด้วย เพราะพื้นฐานเธอเป็นคนที่เชื่อและซื่อตรงกับหัวใจตัวเองมากกว่าหลักเหตุผล

          เพราะแบบนั้นถึงได้ทำให้เธอเจ็บปวด แต่พอยอมรับได้เรื่องมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

          สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันเลยจุดที่จะทำอะไรได้ไปแล้วไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ แถมไม่มีประโยชน์ที่จะหาตัวคนผิดด้วย

          เธอกับแม่ก็แค่โชคร้าย… เรื่องมันก็เท่านั้น

 

ที่เธอว่ามามันก็จริงแหล่ะ… 

เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้อารมณ์นำเหตุผลเสียเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาทั้งหมดถึงเกิดขึ้นเพราะคนเรายอมรับความจริงไม่ได้

 

แต่ถึงจะยอมรับความจริงได้ คนเราก็จะถูกปลูกฝังเรื่องบางอย่างไว้ด้วย

ปมด้อย… ความกลัว… อะไรทำนองนั้น

 

ก็จริงที่มันเป็นเรื่องดีที่คอร์ดิเรียยอมรับความจริงได้

แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าการยอมรับความจริงไม่ทำให้เกิดช่องว่างในหัวใจของเธอตามไปด้วย

 

ไม่สิ… ในฐานะแฟนหนุ่มของเธอ

ฉันไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นหรอก

 

“!? ดาร์ลิ้ง?”

          คอร์ดิเรียเพิ่งจะเหยียดแขนได้ไม่ทันไร อยู่ ๆ กรก็คว้ามือคอร์ดิเรียแล้วดึงเธอเข้ามากอดอย่างกะทันหัน นั่นสร้างทั้งความประหลาดใจและความประหม่าให้หญิงสาวคนนี้จนหน้าเธอแดงก่ำ

          แต่พอตั้งสติได้ ก็เข้าใจในทันทีว่ากรตั้งใจจะปลอบโยนเธอ

 

“ถ้าเป็นฉัน… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ฉันจะไม่มีวันหาใครมาแทนที่เธอแน่ คอร์ดิเรีย”

          ยิ่งตอนที่กรคลายแรงกอดลงเล็กน้อยเพื่อมองตาเธอในระยะประชิด… ด้วยแววตาจริงจังยิ่งกว่าอะไร ความตั้งใจของกรก็ยิ่งชัดเจนในสายตาของเธอ

 

“ฉันสัญญาเลย”

          กรยืนยันเสียงหนักแน่นก่อนค่อย ๆ จรดริมฝีปากตรงหน้าผากของแฟนสาวของเขา

          เขายังไม่ลืมที่จะส่งยิ้มแล้วลูบศีรษะเธอเบา ๆ คลายความเหงาหงอยที่มีจนแทบจะหายไปหมด ทั้งรอยยิ้มที่สดใสและความอบอุ่นจากแรงกอดทำให้ช่องว่างในหัวใจของเธอถูกเติมเต็มอยู่เสมอ ไม่ว่าจะที่ผ่านมาหรือแม้กระทั่งตอนนี้

          ไม่สิ… คอร์ดิเรียรู้สึกว่ามันไม่ได้แค่ถูกเติมเต็มแต่ยังพองโตขึ้นด้วยซ้ำ เธอถึงไม่อาจอดกลั้นรอยยิ้มของตัวเองได้เลย

 

“ค่ะ!” แรงโหยหาที่มีถึงเลยจุดที่จะต่อต้านไหว

“ฉันเชื่อค่ะ ถ้าเป็นดาร์ลิ้งต้องทำแบบนั้นแน่”

          คอร์ดิเรียถึงกอดกรกลับไปแน่นพร้อมกับเอาใบหน้าถูไถเต็มแรงราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

          หรือไม่งั้นก็คงอยากให้กรรู้ว่าเธอดีใจกับคำสัญญานั้นมากแค่ไหน

 

อย่างที่คิดเลย ที่ฉันเจอมามันก็ไม่ใช่โชคร้ายเสียทีเดียวหรอก

ก็เพราะมันทำให้ฉันได้มาเจอกับคุณนี่นา

 

ฉันนี่ช่างโชคดีจริง ๆ

รักที่สุดเลยค่ะ ดาร์ลิ้งของฉัน!

          คอร์ดิเรียถึงออกแรงกอดกรกลับไปแน่นด้วยความถวิลหาอย่างที่สุดแก่ความอบอุ่นของแฟนหนุ่มผู้เป็นที่รักได้มอบให้ ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหนอีกแล้ว

 

❖❖❖❖❖

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด