ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรีย 42 ความจริงของโลก… ชะตากรรมของจักรวาล…

Now you are reading ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรีย Chapter 42 ความจริงของโลก... ชะตากรรมของจักรวาล... at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ในชั้นลึกสุดของดันเจี้ยนใต้ชั้นที่ 100… มันคือพื้นที่กว้าง มีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่สีเขียวขจีเรียงรายกันอยู่นับไม่ถ้วน มีแม่น้ำ ลำคลองเล็กใหญ่แซมอยู่ระหว่างทาง

ลึกเข้าไปอีกพอประมาณก็จะพบเข้ากับรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าโปร่งรอบด้านราวกับใช้แทนป้อมปราการ ถัดจากรั้วเข้าไป มันคือสวนหย่อมที่ถูกประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด และสิ่งปลูกสร้างมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำพุ รูปปั้น หรือมีแม้กระทั่งโต๊ะน้ำชากลางแจ้งที่มีม่านจากต้นไม้บดบังแสงอาทิตย์ดูร่มรื่นไม่ใช่น้อย

 

และลึกเข้าไปอีกในคฤหาสน์ ทางเดินถูกปูด้วยพรมสีแดงราวกับพระราชวัง มีโคมระย้าแขวนห่างกันเป็นช่วงๆ และไม่ดูรกเกินไป อีกฝั่งหนึ่งคือกระจกบานยักษ์ที่ใช้มองดูวิวนอกคฤหาสน์ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีประตูห้องต่างๆ เรียงเป็นแนวยาวตามปกติ ราวกับห้องเรียนที่อยู่ชิดติดระเบียงยังไงอย่างงั้น

จนถึงสุดทางเดิน มีประตูของห้องๆ หนึ่ง เปิดแง้มออกมา โดยมีแสงอาทิตย์ยามเช้าเล็ดรอดออกมาพร้อมกัน ภายในนั้นได้รับการตกแต่งอย่างโอ่อ่า ไม่ว่าจะโคมระย้าสีทองอร่ามที่แขวนอยู่กลางห้อง หรือว่าจะเป็นพวกเครื่องเรือนดังเช่นนาฬิกาลูกตุ้มที่มีสีทองส่องประกายเช่นเดียวกัน…

 

〝! 〞

ด้วยบรรยากาศในยามเช้าเช่นนี้ ทำให้แสงแดดอันแสนอบอุ่นกระทบเข้ากับเปลือกตาของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงชิดกับผนังตรงกลางห้อง… กรที่นอนเหยียดขาตรงอย่างสงบเสงี่ยม และห่มผ้าห่มสีขาวสะอาดสะอ้านอยู่บนเตียงก็ได้สติขึ้นมาพอดี ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาแทบจะทันที…

 

〝!!!!! 〞

สิ่งแรกที่กรทำเป็นอันดับแรกหลังจากตื่นจากภวังค์ ก็คือความปลอดภัยของมีอาและเมอร์ลิน… เขารีบยันตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วหันไปรอบๆ ด้วยความรีบร้อน แต่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าทั้งสองคนอยู่ในห้องด้วยเช่นกันและอยู่ในสภาพปลอดภัยไร้กังวล… แต่ทว่า…

 

ก็น่าดีใจอยู่หรอกนะ ทั้งสองคน… แต่แบบนี้มัน…

แม้ใบหน้าของกรจะยังคงนิ่งเฉย… แต่แก้มของเขากลับดูแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความเขินอายเล็กน้อย จนดูไม่เหมาะกับใบหน้าตายด้านของเขาซักนิด…

แต่ทำยังไงได้… เพราะไม่ว่าจะเป็นคนที่เย็นชายังไง… แต่หากมีสาวงามนอนขนาบข้างอยู่ทั้งสองด้านซ้ายขวา ยังไงก็ไม่มีทางทนได้อยู่แล้ว แถมทั้งสองคนยังเป็นคนที่กรรักและห่วงใย… เป็นเพียงคนบนโลกนี้เพียงไม่กี่คน ที่กรสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างซื่อตรงอีก

 

〝กร…〞〝อือ…〞

แม้กรจะยันตัวขึ้นมานั่งอย่างกะทันหัน แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ตื่นแต่อย่างใด ทั้งยังส่งเสียงละเมอออกมาเบาๆ อีก

มีอาที่นอนอยู่ด้านขวาของกรกำลังพยายามควานหาอะไรบางอย่าง และพอคว้าแขนของกรดังหมับ ก็ขยับเข้าไปหนุนราวกับเป็นหมอนข้างไม่มีผิด ส่วนเมอร์ลินเอง พอรู้สึกว่าข้างๆ ดูโล่งๆ ก็ขยับตัวเข้ามาเรื่อยจนชิดสนิทกับกรที่นั่งเหยียดขาอยู่อย่างรวดเร็วแล้วก็กลับไปนอนขดตัวคุดคู้หันเข้าหากรอีกครั้งหนึ่ง

 

เสื้อผ้าที่ทั้งสองคนสวม ถึงจะไม่บางถึงขนาดเห็นเนื้อหนังมังสาได้อย่างชัดเจน แต่ก็แทบจะเรียกได้ว่าไร้การป้องกัน ของมีอาเป็นชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์แบบเปิดไหล่ ขอบกระโปรงประดับด้วยลายลูกไม้ดูมีระดับ ส่วนของเมอร์ลินเป็นเสื้อเอวลอยแบบบางๆ ที่เปิดให้เห็นถึงสะดือ กางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่ก็ยาวสูงเหนือเข่าเกือบไม้บรรทัดจนเห็นขาอ่อนสีขาวนวล… ถึงขนาดที่กรคิดอยู่ในใจเลยว่า〝กำลังยั่วกันอยู่รึไง? 〞เลยทีเดียว

 

〝กะ กร…〞

〝!!!!! 〞

ขณะที่กรกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยด้วยความผ่อนคลาย ตัวของมีอาที่นอนกอดปลายแขนของกรอยู่กระตุกขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วก็เริ่มก็สั่นกลัวขึ้นมา เม้มตาแน่นและเรียกชื่อกรอย่างทรมาน

คงจะเป็นเพราะเห็นเราตายสินะ…

กรที่คิดแบบนั้น จึงได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจ

เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของมีอา กรได้เอื้อมมือซ้ายที่ว่างอยู่ไปลูบศีรษะของมีอาไปมาอย่างอ่อนโยน มีอาจึงคลายแรงบีบลง และฉีกยิ้มออกมาราวกับเด็กๆ ทั้งที่หลับอยู่อย่างผ่อนคลาย กรจึงเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ผละมือออกไปลูบศีรษะของเมอร์ลินบ้างโดยอัตโนมัติ เนื่องจากความเคยชินในลูปนรกนั่น

 

แต่ในจังหวะที่กำลังจะผละมือออก เพราะรู้ตัวว่าทำไปโดยไม่ตั้งใจนั่น… เมอร์ลินก็กลับยั้งมือของกรไว้ แล้วก็พูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

 

〝……ลูบต่อสิ〞

〝! 〞

อะไรเนี่ย… ตื่นอยู่งั้นเหรอ?

〝หึ! แปลกคนจริงแฮะ….〞

กรพูดแบบนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เพราะคิดว่าช่วยไม่ได้แล้วก็เริ่มลูบหัวเมอร์ลินอีกครั้ง แล้วเมอร์ลินก็ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายออกมาเหมือนกับลูกแมวที่กำลังอ้อนเจ้าของอยู่ยังไงอย่างงั้น

ทั้งที่ในตอนแรกพอรู้ตัวว่าเธอตื่นอยู่ นึกว่าจะโดนต่อว่าแล้วเสียอีกที่ไปลูบหัวเธอโดยพลการ นั่นเพราะความสนิทสนมและความรู้สึกที่กรมีต่อเมอร์ลิน คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากลูปนรกนั่นเพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ว่าเมอร์ลินจะรู้สึกกับเขาแบบเดียวกันเสียหน่อย…

 

ดังนั้นเมอร์ลินจึงไม่น่าจะทำตัวสนิทสนมกับเขาแบบนี้ แต่ความสนิทสนมนั่นก็อาจจะเพิ่มขึ้นตอนที่สู้กับทศกัณฑ์ก็เป็นได้ละมั้ง——

 

ปัง!

กรเองก็แอบคิดแบบนั้นบ้างอยู่ในใจอย่างผ่อนคลายอีกครั้งขณะที่ลูบหัวเมอร์ลินไปด้วย ก่อนที่จะมีคนเปิดประตูห้องนอนเข้ามาขัดจังหวะ จนเกิดเสียงดังลั่น

 

〖จ๊าง!!! ตื่นแล้วสินะครับคุณอุษณกร!!!! 〗

การเปิดประตูเสียงดังลั่น ตามด้วยคำทักทายที่สดใสร่าเริงของฟรังซ์ ออลเดล ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังสวมชุดติดระบายราวกับองค์ชายอยู่เช่นเคย

และเพราะการเปิดประตูห้องอย่างกะทันหันนั่น เลยทำให้มีอาที่นอนอยู่ข้างกรค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจนได้ เธอจึงยันตัวขึ้นจากเตียงแล้วนั่งแบะขาข้างกรพลางเอามือขยี้ตาอย่างสะลึมสะลืออยู่พักนึง แตกต่างจากกรและเมอร์ลินที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์และมองค้อนไปยังฟรังซ์

 

กับเมอร์ลินยังพอเข้าใจได้ เพราะดูเหมือนจะคุ้นเคยดี ทั้งกับนิสัยของฟรังซ์ ออลเดลและกับสถานที่แห่งนี้ ส่วนกรนั้นหลังจากที่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรออกไปพักเดียวก็ถอนหายใจออกมาแล้วก็กลับมาทำสายตาเย็นชาตามธรรมชาติอีกครั้ง เพราะคิดอยู่ในใจว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง กลับกันแล้วนี่คงจะเป็นบ้านของฟรังซ์เองเสียด้วยซ้ำ

เพราะเป็นอย่างที่ว่าไป ต่อให้ทำตัวยังไงหมอนั่นก็เป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้นถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว หมอนั่นจะทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว กรจึงเลิกหงุดหงิดฟรังซ์ด้วยประการฉะนี้

 

〝กร… กร!!!!!! 〞

〝หวา! ใจเย็นก่อนมีอา! 〞

พอมีอาที่ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันและสังเกตเห็นว่ากรฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็โผเข้าไปกอดบริเวณเอวแล้วเอาหน้าไปซุกที่อกของกรด้วยความเร็วแสงในทันที

 

〝ฮือ!!! โล่งอกไปที ฮึก! ฉัน… ฉันคิดว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วซะอีก!!!! 〞

〝น่าๆ ฉันไม่เป็นไรแล้ว เพราะงั้นใจเย็นก่อนเถอะ… นี่ไงฟิตปั๋งเลยเห็นไหม〞

มีอาร่ำไห้ออกมาด้วยความปิติในทันทีที่สัมผัสกับตัวกรอย่างแนบแน่นอีกครั้ง… กรจึงพูดแบบนั้นพลางยกแขนซ้ายขึ้นมาเบ่งกล้ามต้นแขนที่ดูหนาขึ้นผิดหูผิดตาในตอนก่อนที่จะจุติ ด้วยใบหน้าเฉยๆ จนเหมือนกับกำลังเก๊กอยู่ยังไงอย่างงั้น แต่พอมีอาเห็นแล้วกลับผ่อนคลายเกินคาดถึงจะยังไม่ได้ผละตัวออกจากอกกรก็ตาม กรจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง

 

〖เธอจะเป็นห่วงก็ไม่แปลกหรอกครับ… ก็เล่นหลับไป 3 วันเต็มๆ เลยนี่นา…〗

ฟรังซ์ที่เป็นคนเปิดประตูห้องนอน เดินเข้ามาทางเตียงของกรที่อยู่ตรงกลางห้องชิดผนังด้านใน พลางสนับสนุนเหตุผลให้กับมีอา นั่นเลยทำให้กรพอจะคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง

 

สามวันงั้นเหรอ!?

นี่คือเวลาพักฟื้นหลังจุติเหรอเนี่ย? ทั้งที่คิดว่าเรื่องที่สู้กับไอ้ยักษ์เวรนั่นเพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ …

แต่งั้นก็หมายความว่า…. การต่อสู้จบลงแล้วจริงๆ สินะ…

เหตุผลต่างๆ ประกอบขึ้นเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในหัวของกรด้วยความรวดเร็ว จนพอจะเดาได้ลางๆ ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง กรจึงเอ่ยถามฟรังซ์ขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า

 

〝ฉัน…. ถูกนายช่วยไว้อีกแล้วสินะ….〞

〖เอ๋! ใช่แล้วครับ… ว่าแต่เข้าใจอะไรได้เร็วจริงนะครับ〗

〝แล้วมันคิดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยรึไง? 〞

〖ว้า〜 ไม่สนุกเลยนะครับเนี่ย… แต่เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ แบบนี้ ก็ประหยัดเวลาไปได้โขเลยนะครับ〗

กวนซะจริง จะแกล้งอะไรฉันรึไง… ถึงจะสมเป็นเด็ก แต่นายมันไม่ใช่เด็กแล้วไม่ใช่เหรอ?

กรตบมุกฟรังซ์ที่พูดออกมาพลางหลับตาลงอย่างขี้เล่นแบบนั้นอยู่ในใจคนเดียว ก่อนที่จะตัดเข้าประเด็นสำคัญที่ตัวเองอยากรู้ในทันที ทั้งนี้ก็เพราะ…

 

〝ฉันมีเรื่องต้องทำ… อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เพราะมีคนสำคัญกำลังรออยู่ข้างนอกนั่น… ถ้าเรื่องของนายไม่น่าสนใจพอหล่ะก็ ฉันคงต้องขอตัวหล่ะนะ〞

〖……….〗

ฟรังซ์ ออลเดลหรี่ตา มองมาที่กรด้วยสายตาเฉียบคมในทันที และแน่นอนว่ากรไม่หวั่นไหว เพราะความรู้สึกที่อยากกลับไปช่วยพวกรินนั้นมั่นคงเสียยิ่งกว่าอะไร… ไม่สิ ไม่รู้จักคำว่าหวั่นไหวต่างหาก ฟรังซ์ ออลเดลจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับยอมแพ้ พลางพึมพำประมาณว่า หมดเวลาสนุกแล้วเหรอเนี่ย ก่อนที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังราวกับผู้ใหญ่

 

〖สำคัญครับ… มากเลยด้วย… ถ้าผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของทั้งโลกนี้และโลกของคุณ ไม่สิ… ทั้งระบบสุริยะ หรืออาจจะเลยเถิดไปถึงระดับจักรวาลเลยก็ได้หล่ะครับจะมีน้ำหนักพอรึเปล่า? 〗

〝หืม… เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียว…〞

〖อืม…..〗

 

ปัญหาอะไรกันที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างขนาดนั้น…

ตอนแรกคิดว่าหมอนี่หวังจะใช้งานเราเพราะเรื่องส่วนตัว…. แต่ถ้าปัญหามันกินวงกว้างและมีผลกระทบกับพวกเราและพวกรินแบบนี้ ฉันคงปล่อยผ่านไปไม่ได้…

ดูเหมือนว่าเรื่องที่จะพูดนี้ คงเป็นเรื่องที่อธิบายยากน่าดูสำหรับฟรังซ์ หลังจากที่ฟรังซ์ยกมือขวาขึ้นมาจับคางพลางครุ่นคิดอยู่ซักพัก เขาจึงหันหลังกลับไปยังประตูก่อนที่จะบอกกับกร

 

〖เรื่องมันยาวมากนะครับ… เปลี่ยนที่กันหน่อยดีกว่า… 〗

ในขณะที่ฟรังซ์ค่อยๆ เดินออกไป กรก็ทำสายตาเฉียบคมมองตามหลังของเด็กหนุ่มไปจนลับสายตา พลางคิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ …

 

ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว… เหมือนกับตอนที่ถูกอัญเชิญมาครั้งแรก เราจับผิดฟรังซ์ด้วยสุดยอดการประมวลผลไม่ได้เหมือนไอ้พระเจ้านั่นไม่มีผิด…

เรื่องที่หมอนั่นพูดอาจเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา เพื่อรั้งเราไว้ก็เป็นได้——

〝เชื่อหมอนั่นเถอะ…〞

〝!!!!! 〞

เมอร์ลินพูดออกมาพลางกุมชายเสื้อของกรไว้แน่นราวกับอ่านความคิดของเขาออก เพราะเธอรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วนั่นเอง ทันใดนั้นความคิดที่ถูกขัดก่อนหน้าของกรก็เป็นไปในทางเดียวแทบจะทันทีที่ได้ยินการยืนยันจากปากของเมอร์ลิน

 

〝เข้าใจแล้ว… ฉันเชื่อใจเธอนะ〞

〝อะ อืม… ขอบใจนะ ต้องแบบนี้สิ! 〞

เมอร์ลินตอบกลับกรด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเก้อเขินเล็กน้อย พลางหน้าแดงออกมาในจังหวะที่กรบอกว่าเชื่อใจเธอ

 

〝มีอาก็โอเคใช่ไหม? 〞

〝อะ อื้ม! 〞

ดูเหมือนมีอาเองก็มีเรื่องจะคุยกับกรเหมือนกัน เพราะในตอนที่ฟรังซ์ออกไป เธอก็เปลี่ยนไปควงแขนของกรในท่านั่งพลางสำรวจกรตั้งแต่หัวจรดเท้าว่ามีอะไรผิดปกติรึไม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเรื่องที่จะคุยก็คงไม่พ้นเรื่องสภาพและอาการบาดเจ็บของกรนั่นแหล่ะ

กรที่ถามออกมาพร้อมเจตนาแฝงดังกล่าวแบบนั้นถูกมีอาดูออกเช่นกัน มีอาจึงตอบกลับออกไปแบบนั้นเพื่อบอกกรอ้อมๆ เหมือนกันว่า ถ้ากรว่าอย่างงั้น… เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังก็ได้

 

〝งั้นก็ไปกันเถอะ…〞

〝เข้าใจแล้วกร! 〞〝อืม! 〞

มีอาและเมอร์ลินตอบกรอย่างแข็งขัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง แล้วให้เมอร์ลินเป็นคนนำทางเพื่อไปยังสถานที่ที่ฟรังซ์รออยู่…

 

❖❖❖❖❖

 

หลังจากที่กรและมีอาเดินตามหลังเมอร์ลินมาจนออกนอกตัวคฤหาสน์แตยังคงอยู่ในสวนหย่อมที่มีร่มไม้บดบัง ก็พบเข้ากับโต๊ะน้ำชากลมแบบผู้ดีอังกฤษ ที่มีชั้นวางขนมสามชั้นวางไว้ที่กลางโต๊ะ ด้านหน้าเก้าอี้ที่อยู่รอบๆ โต๊ะทั้ง 4 ตัว มีชาฝรั่งสีน้ำตาลแดงที่มองดูภายในยังใสกิ๊กราวกับผ่านการกรองมาแล้วนับร้อยพันครั้ง สื่อถึงคุณภาพของชาได้เป็นอย่างดี

เก้าอี้ตัวในสุดซึ่งหันหน้ามาประจันหน้ากับพวกกรนั้นมีคนนั่งอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของงานอย่างฟรังซ์ ออลเดลที่กำลังยกชาขึ้นมาจิบอย่างมีมารยาทจนดูเหมาะสมกับชุดองค์ชายที่สวมอยู่เสียจริงๆ

และด้านหลังของฟรังซ์มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กรคุ้นเคย ผิวของเขาค่อนข้างคล้ำ ไว้ผมสั้นค่อนข้างรกรุงรัง แต่เคราที่ไม่ได้โกนนั้นช่วยเสริมมาดผู้ใหญ่เข้าไปอีก เขากำลังสวมชุดพ่อบ้านและยืนหลังตรงอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของฟรังซ์ ด้วยท่าทีที่ค่อนข้างเคร่งครัดกับมารยาทพอสมควร…

 

〝เฮ้ยๆ … อย่าบอกนะว่านั่นมันเคลเบรอส〞

〝โห้! ทนทายาทซะจริงนะเจ้าหนู… นึกว่าจะกลายเป็นซากไปแล้วซะอีก〞

〝ยังปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนเลยน้าให้ตายสิ… เฮ้อ! 〞

และแน่นอนว่าคนที่สวมชุดพ่อบ้านคนนี้ก็คือ เคลเบรอสในร่างมนุษย์นั่นเอง พอกรทำการเล่นสงครามน้ำลายกับเคลเบรอสที่ไม่ได้ทำมานานจนพอใจแล้ว เขา มีอาและเมอร์ลินก็เข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้นั่นในทันที

 

〖ก่อนอื่นเรามาแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการก่อนดีรึเปล่าครับ? 〗

〝ก็ต้องอย่างงั้นแหล่ะนะ… ว่าแต่ชานี่ดื่มได้รึเปล่า? 〞

〝นะ แน่นอนอยู่แล้วครับ… นั่นเป็นของมีค่าสุดๆ เลยนะครับ ผมนี่ภูมิใจนำเสนอเลย! 〞

ในขณะที่ฟรังซ์กำลังจะเริ่มบทสนทนา กรกลับเป็นฝ่ายพูดขัดจังหวะด้วยการขอดื่นชาเสียก่อนราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการเบี่ยงประเด็นให้ตัวเองกลายเป็นคนคุมการสนทนา

โอ๊ะ! อร่อยจริงด้วย…

 

อะแฮ่ม!

ฟรังซ์ที่ยังตกตะลึงในความใจเย็นของกรอยู่ พอตอบออกไปตามมารยาทแล้วก็กระแอมออกมาครั้งนึงขัดจังหวะความคิดของกร ก่อนที่จะวางถ้วยน้ำชาในมือ เพื่อตัดเข้าประเด็นหลักก่อนจะออกทะเล

 

〖งั้นก็เริ่มจากผมเลยก็แล้วกัน… ชื่อของผมคือ ฟรังซ์ ออลเดล… ผมเป็นคนที่สร้าง『มหาดันเจี้ยนโบราณทั้ง 8』แห่งนี้เอง…〗

〝แค่เนี๊ย!? 〞

〖ใจเย็นสิครับคุณอุษณกร… เพราะยังไงต่อจากนี้ก็กะจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องอยู่แล้วนี่…〗

 

อะไรกันเนี่ย… มีแต่เรื่องที่รู้แล้วนี่หว่า อีแบบนี้ไม่น่าให้แนะนำตัวก่อนเลย… รู้สึกตกเป็นรองอีกแล้วแฮะ

กรถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกผิดหวัง แต่พอหันไปมองเมอร์ลินที่บอกด้วยสายตาว่า น่าๆ เชื่อใจหมอนี่หน่อยเถอะ กรจึงต้องเชื่อคำพูดของฟรังซ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ กรจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้งนึงอย่างหน่ายๆ จนฟรังซ์หัวเราะแห้งๆ ออกมา เมอร์ลินจึงต้องขั้นกลางบทสนทนานี้ด้วยการแนะนำตัวของตัวเอง

 

〝คงจะรู้อยู่แล้วนะ… แต่คราวนี้จะขอแนะนำตัวให้ชัดๆ อีกครั้ง… เมอร์ลิน ออลเดล คือชื่อของฉัน… นั่นสินะ… เอาเป็นว่าผู้ช่วยของหมอนี่ก็แล้วกัน〞

〖ใช้คำว่า เอาเป็นว่า เนี่ยโหดร้ายจังนะครับ〗

〝ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนี่นา… ขี้เกียจขยายความด้วย…〞

 

เมอร์ลินเองก็ไม่ยอมบอกอีกแล้ว… แต่เอาเถอะ ถ้าเป็นเมอร์ลินหล่ะก็ยกโทษให้!

แต่ก็เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วหล่ะนะ… จะมีแปลกก็ตรงนามสกุลของเมอร์ลินที่ดูไม่เข้า——

 

〝เดี๋ยวนะเมอร์ลิน! เธอบอกว่านามสกุลของเธอคือ ออลเดล!? เหมือนกับฟรังซ์? งั้นก็หมายความว่า? 〞

กรยกมือขึ้นมาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างฟรังซ์กับเมอร์ลิน แต่ใบหน้ากลับยังคงนิ่งเฉยจนดูขัดกันมาก แต่ความตกใจนั่นไม่ใช่ของปลอมแน่นอน เพราะเหงื่อของเขาผุดขึ้นมาบนใบหน้าหลายเม็ดเลยทีเดียวที่ไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน

 

〝ตอบสนองช้าไม่สมเป็นนายเลยนะเนี่ย… อื้ม! ใช่แล้วหล่ะ… ถึงไม่อยากจะยอมรับก็เถอะ… แต่ไอ้หมอนี่หน่ะคือ… พี่ชายแท้ๆ ของฉันเอง 〞

〝เอ๋!!!!!!! 〞

〝อะ อา! 〞

มีอาร้องลั่นออกมาด้วยความตกตะลึงแทบจะทันทีเลยที่ได้ยินคำตอบที่เหลือเชื่อนั่น ส่วนกรก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ ทั้งที่ยังเก๊กหน้านิ่งอยู่เท่านั้น

 

〖พะ พูดจาโหดร้ายอีกแล้วนะครับเมอร์ลิน… อีแบบนี้ผมก็เสียใจเป็นนะครับ〗

〝แต่ทางนี้ตกใจกว่านะเฮ้ย! 〞

มีอาพยักหน้าขึ้นลงสนับสนุนคำพูดหยอกล้อของกร เป็นอีกคำยืนยันที่บ่งบอกถึงความตกตะลึงกับความจริงนี้

 

〝เห็นไหม ทุกคนตกใจหมดแล้ว… เพราะนายนั่นแหล่ะ! 〞

〖พะ พี่ชายเศร้าใจหนักมาก… ร้องไห้แปป…〗

〝อย่าร้องจริงๆ สิเฮ้ย… แต่ช่างเถอะ! งั้นก็… มีอา〞

〝อะ อื้ม! 〞

กรตบมุกฟรังซ์ที่แกล้งร้องไห้อีกครั้ง ก่อนที่จะบอกให้มีอาเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน…

 

〝มีอาน่า กาบริเอลค่ะ! เป็นครึ่งเทพ แล้วก็เป็นนักดาบ… แล้วก็เป็น คนที่อยู่กับกร เอ่อ…〞

แต่ดูเหมือนว่ามีอาจะเป็นคนเดียว ที่ไม่รู้จะแนะนำตัวเองยังไง… กรที่เห็นแบบนั้นจึงอมยิ้มอยู่ในใจ และออกมาทางใบหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะช่วยสนับสนุนมีอาอีกแรง

 

〝ภรรยาสุดที่รักของฉัน… ไม่ตอบไปแบบนี้หล่ะมีอา? 〞

〝เอ๋! เอ่อ ตะ แต่แบบนั้นมัน…. ระ รู้สึกแปลกๆ ไงไม่รู้! 〞

〝จนป่านนี้แล้ว ไม่เห็นต้องเขินหรือเกรงใจเลยนี่นา…〞

〝อือ…..〞

ต่อหน้าคำสนับสนุนอันหนักแน่นของกร มีอาที่ยังเกรงใจด้วยความที่เป็นนิสัยติดตัวอยู่อย่างที่กรว่าก็ทำได้แค่ตอบกลับไปอย่างเขินๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอดีใจสุดๆ ที่กรเป็นคนออกปากบอกเองว่าตัวเธอคือภรรยาของเขา นั่นเลยทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะน้ำชาเต็มไปด้วยความหวานชื่น และอมยิ้มกันไปหมดไม่แม้แต่ฟรังซ์และเมอร์ลินที่เป็นฝ่ายนั่งฟังเลยทีเดียว

แล้วพอกรเห็นว่าเหลือตัวเองเป็นคนสุดท้ายเสียที เขาจึงเริ่มการแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย…

 

〝งั้นสุดท้ายก็คือฉัน… อุษณกร วัชรวิรุฬห์ คือชื่อของฉัน… อาจจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ขอยืนยันด้วยปากตัวเองหน่อย… จริงๆ แล้วฉันคือคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง และถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้ในฐานะผู้กล้า…〞

กรที่พูดแบบนั้นออกมาตรงๆ ทำให้มีอาที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขาอ้าปากเหวอไปเลย แตกต่างจากฟรังซ์และเมอร์ลินที่รู้อยู่แล้วเลยไม่ตกใจซักนิด แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ

เพราะในโลกใบนี้… ตัวตนของผู้กล้านั้น คือสิ่งที่สูงส่งอย่างมาก ทั้งยังได้รับความเคารพจากทั่วทุกสารทิศเนื่องเพราะความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคนในโลกนี้หลายสิบเท่าในด้านของสเตตัส ดังนั้นจะเรียกได้ว่าพวกเขาคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและความหวังของทุกคนก็ไม่ผิดไปเลย…

 

〝เอ๋!!! ผู้กล้า? กรนะเหรอ? 〞

〝ก็ไม่ได้จะปิดบังหรอกนะ แค่มันหาจังหวะดีๆ บอกไม่ได้หน่ะ… ขอโทษนะมีอา〞

〝มะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษซักหน่อยกร! ไม่สิ… งั้นเหรอ เข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมกรถึงแข็งแกร่งขนาดนั้น…〞

ในขณะที่ถูกมีอาถามออกมาแบบนั้น กรได้คิดขึ้นมาว่านี่คงเป็นโอกาสดี ที่จะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง กรจึงเริ่มอธิบายต่อโดยไม่ให้ขาดช่วงทันที

 

〝อืม… มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะ… พูดไปก็ยังไงอยู่ แต่ฉันเนี่ย เป็นคนที่กากที่สุดในหมู่ผู้กล้าทุกคนเลยหล่ะ〞

〝เอ๋!!! โกหกน่า…〞

กรที่ยังอธิบายไม่จบก็ถูกมีอาเข้าใจผิดไปอีกแล้ว ในขณะที่กำลังจะอธิบายก็ถูกฟรังซ์ขัดคอในเชิงสนับสนุนว่า

 

〖ที่พูดนั่น… หมายถึงตอนก่อนที่จะจุติครั้งแรกรึเปล่าครับ? 〗

〝อืม… ใช่แล้ว ค่อนข้างมั่นใจเลยหล่ะ ว่าหลังจากที่จุติครั้งแรกนั่น ฉันก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าทุกคนไปแล้วแน่นอน…〞

〝งะ งั้นเองหรอกเหรอ…〞

 

เกือบเข้าใจผิดไปแล้วสิ… เราไม่อยากให้มีอามองว่าเราอ่อนแอซะด้วย

แต่จะพูดงั้นก็ยังไงอยู่ เพราะยังไงเราก็กะจะเล่าทุกอย่างให้ฟังอยู่แล้วนี่นา…

อดีตของเรามันก็ไม่ได้หนักอะไรมากนี่นา… มั้งนะ? งั้นไหนๆ แล้วก็เล่าให้ทั้งเมอร์ลินทั้งไอ้ฟรังซ์รู้ไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน…

 

〝จะว่าไปแล้วเนี่ย… นี่ก็เป็นโอกาสดีแล้วมั้ง… มีอายังเล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟัง… เมอร์ลินก็ด้วย… ส่วนนาย… ถือซะว่าเป็นตัวแถมก็แล้วกัน〞

〖ตัวแถมเลยเหรอครับ? คุณอุษณกร… ใจร้ายอ่ะ! 2 มาตรฐาน〗

〝เอาเถอะน่า…〞

ทั้งสองคนเริ่มกลับมาหยอกล้อกันอีกครั้งนึง แต่กรที่ไม่อยากให้เสียเวลาก็ยกชาขึ้นมาจิบครั้งนึง ก่อนที่จะเริ่มเล่า…

 

จากนั้นฉันก็เริ่มเล่าอดีตของตัวเองตั้งแต่ช่วงก่อนที่พ่อกับแม่จะเสียประมาณเดือนนึง เหมือนกับเป็นการปูเนื้อเรื่อง และเริ่มอธิบายความสามาถของสุดยอดการประมวลผลรวมถึงเหตุผลที่ต้องปิดบังไปพร้อมกัน

พอเล่าถึงจุดพีคอย่างตอนที่พอกับแม่เสียนั่น มีอาก็ค่อนข้างตกใจน่าดูเลยหล่ะ… แล้วดูเหมือนจะเป็นห่วงฉันยิ่งกว่าเดิมอีก…

แล้วตามลำดับเหตุการณ์… หลังจากนั้นฉันที่ไร้ที่พึ่ง ก็ออกอาละวาดไปทั่ว แต่ก็ได้เพื่อนสนิททั้ง 4 ช่วยไว้จนสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

แต่แล้วเหตุการณ์ก็ต้องพลิกผันอีกครั้งในตอนที่ขึ้น ม.ปลาย เมื่อในวันหนึ่ง มีคนที่อาจจะรู้ถึงความสามารถของฉันเข้าจนอาจทำให้ความลับถูกเปิดโปงได้… แม้โอกาสจะมีน้อย แต่แน่นอนว่าผลเสียมันไม่คุ้มในกรณีที่ปล่อยผ่าน ฉันเลยไม่คิดเสี่ยง ส่วนผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่รู้กัน…

 

ฉันถูกเสือเข้ามาท้าตีถ้าต่อยแทบจะทุกวัน… และกลายเป็นกิจวัตรในช่วง ม.5 ไปเสียแล้ว… กลุ่มหลักที่แกล้งอย่างเสือก็ว่าไปอย่าง แต่ยังมีกลุ่มย่อยที่แกล้งฉันเนื่องจากความเกลียดชังเองก็มีเหมือนกัน

พอเล่าจนถึงตอนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่มีอาแสดงท่าทีแปลกไป ทั้งยังถามชื่อของเสือจากฉันเพิ่มอีกหลายรอบและพูดชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะสลักไว้ในวิญญาณ… แถมฉันเหมือนยังได้ยินมีอาพูดแว่วๆ ประมาณว่า จะฆ่า…ให้ได้! อีก… สยองเหมือนกันแฮะ!

การกลั่นแกล้งก็ดำเนินมาเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งถึงวันนั้น… วันแห่งชะตากรรม ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอีกครั้งอย่างสิ้นเชิง… ใช่แล้ว… นั่นคือวันที่พวกเราทุกคนถูกอัญเชิญไปยังต่างโลกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่น…

 

จากนั้นก็เป็นอย่างที่รู้… ตัวฉันที่มาถึงโลกนี้ได้รู้ว่าเพื่อนและพี่สาวมีตัวตนอยู่ จึงได้เริ่มคิดตามหา… แต่แล้วก็กลับถูกกับดันเจี้ยนบ้าๆ ของคนแถวนี้วาร์ปมาซะก่อน แถมยังถูกเสือเจ้าเก่าใช้เป็นเหยื่อล่อจนตายไปครั้งนึง แต่ความที่ยังไม่อยากตายและโชคได้เข้าข้างพอดี… ตัวฉันก็เกิดการจุติครั้งแรกขึ้น จนแข็งแกร่งขึ้นแบบผิดหูผิดตา…

 

จากนั้นก็เป็นตอนที่ฉันสู้กับเคลเบรอสอย่างดุเดือด หลังจบศึกก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางและได้พบกับมีอาในเวลาต่อมาอย่างที่รู้กัน…

 

〝อืม… ประมาณนี้แหล่ะ〞

หลังจากที่เล่าจบ กรก็พูดแบบนั้นออกมาพลางยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งนึง โดยที่มีมีอาถามกรตลอดว่า เป็นอะไรรึเปล่า ตลอดบทสนทนา

 

〖งั้นเหรอครับเนี่ย… คุณเองก็ลำบากมาเยอะเหมือนกันสินะ〗

〝อา… แต่ไม่เท่ากับมีอาหรอก…〞

〝กร… เรื่องแบบนี้มันเทียบกันไม่ได้หรอกนะ…〞

〝? อืม… ก็คง… ถูกของเธอแหล่ะนะ〞

กรที่ถูกปลอบใจโดยฟรังซ์ ที่มีเคลเบรอสเป็นฉากหลังได้ยกมีอาขึ้นมาเป็นตัวอย่างประกอบ แต่ช่างน่าตกใจนัก ที่มีอาเป็นคนออกปากเองในความหมายว่า ความทรมานไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาตีค่าเปรียบเทียบกันได้ กรจึงได้ยอมแพ้มีอาที่จี้ได้ตรงจุดแบบนี้ และลูบศีรษะเธออีกครั้ง ก่อนที่เมอร์ลินจะเร่งฟรังซ์ให้เล่าเรื่องตัวเองบ้าง

 

〝งั้นต่อไปก็ทีของเราแล้วนะฟรังซ์〞

〖นั่นสินะครับ… คุณอุษณกรอุตส่าห์เล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง… ผมเองก็ยอมแพ้ไม่ได้แล้วสิ…〗

เป็นอีกครั้งที่ฟรังซ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังขัดกับใบหน้าขี้เล่น แต่นั่นก็สื่อได้ถึงความจริงจังเช่นกัน กรจึงตั้งใจฟังเรื่องที่จะออกมาจากปากของเขาและเมอร์ลินต่อจากนี้เป็นอย่างดี แล้วพอฟรังซ์ดื่มชาในถ้วยหมด แล้วคุณพ่อบ้านเคลเบรอสรินชาให้ใหม่ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องอันเป็นการคลี่คลายปริศนาของโลกใบนี้ให้กรได้รับรู้เสียที

 

〖งั้นก่อนอื่น… มาฟังนิทานที่ผมจะเล่ากันก่อนดีกว่าครับ…〗

 

❖❖❖❖❖

 

กาลครั้งหนึ่ง นานแสนนานมาแล้ว…

ในอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา 3 ดวง หนึ่งคือ โลก ที่เป็นดาวของมนุษย์ที่ไร้เวทย์มนตร์…. สองคือ ดาวขนาดเท่ากับโลก ที่ประกอบด้วยประชากรสองในสามเป็นอมนุษย์ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งส่วนก็คือมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถในการใช้เวทย์มนตร์ เนื่องจากได้รับคำสั่งสอนจากดาวดวงที่สาม….

และดาวดวงสุดท้ายนั้นก็คือชนชั้นปกครองที่ส่งคนไปเพื่อสอดส่อง ดูแลและควบคุมพื้นที่ในดาวทั้งสองดวงก่อนอีกต่อหนึ่งโดยเผ่าหลักของดาวนี้คือเทพเจ้านั่นเอง

 

ในดาวของเหล่าทวยเทพเองก็มีระบบการปกครองเช่นเดียวกัน ซึ่งศูนย์กลางก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพระเจ้านั่นเอง โดยมีเผ่าปีศาจเป็นชนชั้นแรงงานในการเป็นผู้ช่วยกิจการต่างๆ

ในระบบการปกครองของดาวเทพ จะมีสภาที่เรียกว่า 『สภาสวรรค์ 7 ปีก』เป็นคนกลางในการรับมอบอำนาจสั่งการปกครองจากพระเจ้า และส่งต่อคำสั่งเพื่อไปดูแลโลกและดาวของอมนุษย์อีกทอดหนึ่ง

 

จากที่ว่าไป…. นั่นเลยทำให้สิทธิขาดในการปกครองและตัดสินใจทั้งหมดตกเป็นของพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นเลยทำให้สภาสวรรค์ 7 ปีก เกิดความหวั่นเกรงอำนาจของพระเจ้าที่ไม่สามารถแตะต้องได้ จึงตั้งใจรวมหัวเพื่อยึดพลัง และขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเองด้วยสงคราม แต่แล้วผลลัพธ์กลับนำมาซึ่งหายนะของทั้งจักรวาล…

ในสภาสวรรค์ มีเพียง 3 คนที่ไม่เห็นด้วยและคิดเชื่อในพระเจ้า… คนนึง คือคนที่มีพลังเกือบทัดเทียมกับพระเจ้า ส่วนอีกสองคนคือเด็กหนุ่มที่รักสงบ และหญิงสาวที่ไม่สนใจอำนาจ แต่พอสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วย ทั้งสามคนจึงต้องเป็นศัตรูกับพระเจ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

พลังของพระเจ้านั้นเหนือล้ำไร้ผู้ต่อกรอย่างแท้จริง ในช่วงแรก พระเจ้านั้นยังคิดที่จะดึงสติของสภาสูงกลับมาอย่างสันติอีกครั้ง แต่การกระตุกหนวดเสือในช่วงท้ายของสงครามโดยการใช้คนสำคัญของพระเจ้ามาเอี่ยวด้วย ทำให้เกิดการแตกหักจนไม่สามารถถอยหนีได้ทั้งสองฝ่ายอีกแล้ว จนเกิดมหาสงครามระดับจักรวาลขึ้น นับเป็นศึกสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีการสูญเสียมากที่สุด…

ในช่วงท้ายของสงคราม คือการปะทะกันของแม่ทัพทั้ง 7 คนกับพระเจ้า ในศึกสุดท้าย แม่ทัพ 6 คน ได้ทำการรวมพลังกันจนสามารถเอาชนะพระเจ้าที่คลุ้มคลั่งได้สำเร็จ โดยต่อมา 6 ใน 7 คนนี้ถูกเรียกในภายหลังว่า 『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』

 

ผลลัพธ์ของสงครามที่ยาวนานกว่า 100 ปี… จบลงที่มีดาวเคราะห์ถูกทำลายไปกว่าสิบดวง พวกตาเฒ่าที่เห็นแก่อำนาจและเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ตาย ดาวแห่งเทพก็ถูกทำลาย แต่เศษดาวเคราะห์ได้หลอมรวมกับดาวของอมนุษย์จนมีขนาดใหญ่ขึ้นมหาศาล พวกเผ่าอื่นยกเว้นมนุษย์ที่ใช้เวทย์มนตร์ไม่ได้ซึ่งอยู่อีกดาวหนึ่ง จึงได้อาศัยร่วมกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา รวมถึงพวกเทพที่เสียบ้านเกิดไป ก็ได้ท้องฟ้าของดาวดวงใหม่นี้เป็นบ้านหลังใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการที่แกนกลางของดาวสองดวงผสานกันก็คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน… นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า『ดันเจี้ยน』นั่นเอง

ตำนานในอดีตจึงจบลงดังที่ได้ว่าไป… หากแต่ว่าความจริงที่ซ่อนอยู่มันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น… และหากมันไม่ส่งผลจนถึงปัจจุบันนี้… วงล้อแห่งชะตะกรรมของกรคงจะไม่หมุนวนดังเช่นตอนนี้แน่…

.

.

.

.

.

อืม… ยังตามไม่ทันทั้งหมดเลยแฮะ…

พอกรฟังเรื่องเล่าที่มีประวัติเก่าแก่ราวกับนิทานปรัมปรานี้เข้าไป ก็ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก่อนจะได้คิดหาความเชื่อมโยง ฟรังซ์ก็เริ่มอธิบายในทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา

 

〖ที่เล่าไปเมื่อกี้ ก็คือตำนานที่โด่งดังของโลกนี้… ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน… นั่นสินะครับ ถ้าเปรียบเทียบกับที่โลกของคุณอุษณกรก็คงเป็น กระต่ายกับเต่านั่นแหล่ะครับ…〗

 

หืม? นิทานปรัมปรา แต่ดันมีชื่อเสียงพอๆ กับนิทานพื้นบ้านเลยงั้นเหรอ?

ถ้าเป็นงั้นจริง มีอา ก็ต้องรู้จักด้วยสิ…

 

〝จริงรึเปล่ามีอา? 〞

เมื่อเป็นอย่างที่ฟรังซ์บอก หากเรื่องเล่าดังกล่าว ถือเป็นสามัญสำนึกพื้นฐานของโลกนี้จริงหล่ะก็ ต่อให้เป็นมีอาก็ต้องรู้จักแน่อยู่แล้ว มีอาที่ได้ยินกรถาม ก็ตอบกลับเขาแทบจะทันทีว่า

 

〝คล้ายกันมากเลยหล่ะ… เรื่องที่เล่ามามันเหมือนกับ『ตำนานการปราบจอมมารของนักปราชญ์ผู้กล้าในตำนานทั้ง 5』… นี่หน่ะ เป็นเรื่องที่แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังรู้จักเลยหล่ะ… นั่นเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์จริง ที่ถูกส่งต่อมาโดย… ศาสนจักร… 〞

〝……..〞

ร่างกายของมีอาเกร็งขึ้นมากะทันหันในตอนที่พูดถึงศาสนจักร สีหน้าเองก็ซีดเผือกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กรจึงรีบกุมมือของเธอในทันที นั่นจึงทำให้เธอผ่อนคลายลงจนกลับเป็นปกติ…

 

〝ว่าแต่… คล้ายงั้นเหรอ? แสดงว่ามีจุดที่แตกต่างกันอยู่สินะ…〞

〖ถูกต้องตามนั้นเลยครับ… เรื่องตำนานการปราบจอมมารที่คุณมีอาว่ามานั่น… เป็นเรื่องราวของอดีตพระเจ้าองค์ก่อนที่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นเพราะมัวเมาในอำนาจ จนทำให้เกิดสงครามขนาดใหญ่จนจักรวาลแตกเป็นเสี่ยงๆ … แล้วก็ทำให้ดาวของเทพเจ้าและดาวของอมนุษย์รวมกันจนกลายเป็นโลกใบนี้… ส่วนตอนจบก็จบตรงที่ จอมมารถูกผู้กล้าทั้ง 5 ปราบลงจนถึงแก่ความตาย และทำให้โลกใบนี้เกิดความสงบสุขขึ้นมา… เพียงแต่ยังมีคำสาปของพระเจ้าองค์ก่อนหลงเหลืออยู่… ซึ่งคำสาปที่ว่านั่นก็คือ『ดันเจี้ยน』นั่นเองครับ… นั่นจึงทำให้ทุกคนขนานนามพระเจ้าองค์ก่อนที่เหมือนเป็นผู้ให้กำเนิดดันเจี้ยนทั้งปวงว่า『จอมมาร』〗

〝…………..ต่างกันจริงๆ ด้วย〞

กรที่ได้ฟังอีกเรื่องราวหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันเล็กน้อย จึงคิดแบบนั้นพลางยกมือขึ้นมาจับคางและครุ่นคิดถึงความเชื่อมโยงของเรื่องทั้งสองอีกครั้ง…

 

สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองเรื่องก็คือ… เมื่อนานมาแล้วได้เกิดสงครามใหญ่ระดับล้างจักรวาล ส่งผลให้โลกทั้งสองรวมตัวกัน… แต่ดูเหมือนผลกระทบจะไม่ส่งผลมายังโลกเดิมของเรา….

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม…

ของฟรังซ์ ออลเดล… เป็นสภาสวรรค์ 7 ปีกกับพระเจ้า

ส่วนที่เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาในหมู่คนทั่วไปก็คือ… ความขัดแย้งของผู้กล้าทั้ง 5 กับพระเจ้าองค์ก่อน (ในปัจจุบันถูกเรียกว่าจอมมาร)

จุดเชื่อมของความขัดแย้งทั้งสองนั้นเหมือนกัน… นั่นก็คือ ผู้ที่แพ้คือพระเจ้าองค์ก่อน…………….

อ่อ…. เรื่องเป็นงี้เองสินะ….

 

〝เรื่องของนาย ที่เล่ามานั่น…. คือตำนานที่แท้จริงใช่ไหมฟรังซ์ ออลเดล? 〞

〖โอ้! สมแล้วหล่ะครับ〗

〝หึ! ต้องแบบนี้สิ〞

ฟรังซ์และเมอร์ลิน เอ่ยปากชมกรในทันที ที่พูดถูกประเด็นตรงเผง…

 

〝พระเจ้าองค์ก่อนที่เป็นจอมมารนั่น… จริงๆ แล้วก็แค่ทำตามหน้าที่… แต่พอเป็นฝ่ายแพ้ก็โดนโบ้ยเลยสินะ〞

〝กร… งั้นหรือว่าพระเจ้าองค์ก่อน… ถูกใส่ร้ายโดยศาสนจักรงั้นเหรอ? 〞

〝หึหึ! สมแล้วที่เป็นมีอา…〞

〝เฮะเฮะ! 〞

มีอาเองก็พอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วเหมือนกัน กรจึงเอ่ยปากชมพร้อมกับให้รางวัลโดยการลูบหัวเบาๆ จนมีอาเขินอายจนหน้าแดงก่ำด้วยความปิติอีกครั้ง จนหัวเราะเสียงแปลกๆ ออกมา…

 

〝สรุปแล้วก็คือ… พวกผู้กล้าที่เป็น『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ล้มพระเจ้าลงในศึกสุดท้ายได้สำเร็จ… แล้วจึงเริ่มฟื้นฟูบ้าน วางผังบ้านแปลงเมืองขึ้นหลังสงครามในโลกของอมนุษย์… พวกที่มาจากดาวของเทพเจ้าก็เป็นคนถ่ายทอดความรู้ และอาศัยความเชื่อดั้งเดิมของคนที่อยู่ในโลกอมนุษย์ ในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า『ศาสนจักร』 ซึ่งคงต้องการที่จะวางฐานอำนาจ เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า『สภาสวรรค์ 7 ปีก』ขึ้นอีกครั้ง เพื่อหวังที่จะปกครองทั้งคนในโลกของฉันและโลกนี้เหมือนเมื่อในอดีต ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว… ส่วนคนที่แพ้อย่างพระเจ้าองค์ก่อน ก็กลายเป็นตัวร้ายไป เหมือนกับที่เขาว่าไว้ว่า ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์หล่ะนะ… จนถึงตอนนี้มีอะไรผิดรึเปล่า? 〞

〝สุดยอดเลยนะเนี่ย〞

〝กรสุดยอดไปเลย! 〞

〖ไม่มีตรงไหนผิดเลยครับ… สมกับที่คาดหวังเลยหล่ะครับ! 〗

เมื่อกรพูดข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมา ก็ได้รับคำชมจากทั้งเมอร์ลินและมีอา รวมถึงคำยืนยันจากฟรังซ์ ทำให้ทุกอย่างเกือบจะลงล็อคแล้ว… จะเหลือก็แต่เรื่องที่พวกกรและรินถูกอัญเชิญมาต่างโลกเท่านั้นที่ยังไม่เคลียร์ รวมถึงสังหรณ์ถึงปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่ยังไม่หยุดลง กรจึงเริ่มถามต่อในทันที

 

〝แต่ถึงเป็นแบบนั้น… ก็ถือว่าโลกค่อนข้างสงบสุขลงแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่นับการปกครองแบบเผด็จการโดยใช้ศาสนาบังหน้านั่นหล่ะก็นะ… แล้วเรื่องที่พวกฉันถูกอัญเชิญมาต่างโลกด้วย… ตอนนั้น ไอ้แก่พระเจ้าคนปัจจุบัน มันบอกว่าทำเพื่อกระจายประชากรมายังโลกนี้ และเพื่อให้ผู้กล้าที่อัญเชิญมาแก้ปัญหาเรื่องดันเจี้ยน…〞

〖โห้! ว่าต่อเลยครับ〗

〝แต่มันไม่ค่อยสมเหตุสมผล… เรื่องการกระจายประชากรนั่นฟังยังไงก็ข้ออ้างชัดๆ … เรื่องดันเจี้ยนเองก็ด้วย ถ้าเกิดว่ามันเป็นปัญหามากขนาดนั้นหล่ะก็… คนสมัยก่อนเขาแก้ปัญหายังไงกันหล่ะในตอนที่ยังไม่ได้อัญเชิญผู้กล้าจากอีกโลก? 〞

 

〝นายเนี่ยช่างสังเกตจริงนะ…〞

〝แค่พูดไปตามที่คิดเองแหล่ะ〞

เมอร์ลินเอ่ยชมกรอีกครั้ง จนกรเริ่มเขินและหน้าเริ่มแดง แต่แน่นอนว่ายังคงเก๊กหน้านิ่งอยู่เช่นเคย

 

〖นั่นแหล่ะครับ… คุณอุษณกร… นี่แหล่ะคืออภิมหาปัญหาที่แท้จริงที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่… มันคือความลับที่มีแค่พวก『สภาสวรรค์ 7 ปีก』ในปัจจุบัน และ『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ทั้ง 6 คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง〗

ฟรังซ์ ออลเดลเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังในทันทีที่เกริ่มถึงปัญหาและปริศนาชิ้นใหญ่ที่สุดที่กรต้องการรู้ กรจึงขยับเก้าอี้เข้าไปจนเกือบชิดโต๊ะ ก่อนที่จะได้ฟังความจริงอันน่าตกตะลึงที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาไปตลอดกาลออกมาจากปากของฟรังซ์ ออลเดล

 

〖พระเจ้าองค์ก่อน… หรือชายที่ทุกคนรู้จักกันในนามจอมมารนั่น… ยังคงมีชีวิตอยู่ครับ〗

〝〝!!!!!!! 〞〞

เฮ้ยๆ อะไรนะ!

จะบอกว่า ตัวเป้งแบบนั้นยังไม่ตายงั้นเหรอ? แต่จะว่าไปแล้ว หมอนั่นก็เป็นถึงพระเจ้าเชียวนะ… เรื่องที่ยังไม่ตายอาจจะไม่แปลกก็ได้

 

〖เค้าคนนั้นยังไม่ตาย… เพียงแต่กำลังถูกผนึกอยู่… ซึ่งคนที่ผนึกนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ทั้ง 6 คน〗

 

เดี๋ยวดิ! เรื่องนี้มันเป็นอดีตเมื่อนานมาแล้วไม่ใช่เหรอ?

จะบอกว่าพวกผู้กล้าในตำนานนั่นยังไม่ตายงั้นเหรอ…

ไม่สิ! ก่อนหน้านั้น… เราปล่อยผ่านเรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลพูดเมื่อกี้ไปได้ยังไง

 

〝แปปนะฟรังซ์! เมื่อกี้นี้นายบอกว่าคนที่รู้มีแค่ผู้กล่ากับสภา 7 ปีก… แล้วนายไปรู้เรื่องนี้มากจากไหนล่ะหืม? 〞

กรที่ถามออกไป โดยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ฟรังซ์จะหลอกตัวเองอีกครั้ง เพราะหากเป็นอย่างที่ว่าฟรังซ์ก็ต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน… แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คำตอบทำให้กรตกตะลึง

 

〖จี้ตรงจุดอีกแล้วนะครับ… ถามว่าทำไมผมถึงรู้งั้นเหรอ? นั่นก็เพราะผมหน่ะ… เป็นหนึ่งใน『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ยังไงหล่ะครับ〗

〝!!! 〞

 

หมอนี่… เป็นคนในอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย…

แต่ว่า…

 

〝ขอถามเพื่อความมั่นใจ… นายหน่ะ———〞

〖พวกผมไม่มีความเกี่ยวข้องกับ『สภาสวรรค์ 7 ปีก』 หรอกนะครับ〗

〝………〞

ก่อนที่กรจะถามฟรังซ์ไปแบบนั้น ก็ถูกฟรังซ์แย้งออกมาก่อน เพราะกรนั้น ไม่เคยคิดจะร่วมมือกับคนที่ทำให้มีอาเจ็บปวดแม้แต่น้อยนั่นแหล่ะ… เขาจึงโล่งอกไปเปราะนึง ก่อนที่ฟรังซ์จะเริ่มการอธิบายต่อ

 

〖พวกผมหน่ะ… ในตอนศึกสุดท้าย พวกเราเอาชนะพระเจ้าไม่ได้… ทั้งที่ในตอนแรกก็คิดจะเกลี่ยกล่อมอยู่หรอกครับ แต่ที่ตาเฒ่าพวกนั้นทำมันมากเกินไปหน่อย… มากจนพระเจ้าคนนั้นหันหลังกลับไม่ได้แล้ว… พวกผมที่ไม่มีทางชนะ ถึงต้องใช้ร่างกายของตัวเองในการผนึกร่างของพระเจ้า… ไม่สิ เพื่อผนึกจอมมารไงหล่ะครับ〗

〝ใช้ร่างกายตัวเองในการผนึก? งั้นนายที่อยู่ตรงนี้? 〞

〖นี่เป็นร่างความคิดหน่ะครับ… เป็นเวทย์ที่จำลองพลังของร่างหลัก 1 ใน 4 โดยสามารถใช้สติร่วมกันโดยไม่สนใจระยะห่างเลยหล่ะครับ〗

 

ลงล็อคแล้ว! ที่เราใช้สุดยอดการประมวลกับหมอนี่ไม่ได้ ก็เป็นเพราะนี่ไม่ใช่ร่างกายจริงๆ นี่เอง…

แต่เดี๋ยวสิ!!! กับไอ้แก่พระเจ้านั่นเองก็เป็นแบบเดียวกันนี่นา เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่า…

 

〝นี่ อย่าบอกนะว่า พระเจ้าปัจจุบันเองก็…〞

〝อย่างที่นายคิดนั่นแหล่ะ…. พระเจ้าคนปัจจุบันหน่ะ… คือ 1 ใน『มหานักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่』ชื่อของเขาไม่ปรากฏในตำนานผู้กล้าทั้ง 5 เพื่อไม่ให้เรื่องมันทับซ้อนกันหน่ะนะ…〞

〝งั้นหรอกเหรอ…〞

เมอร์ลินเป็นคนตอบคำถามนี้แทนฟรังซ์ พอเห็นว่าเป็นไปตามที่คิด แล้วทุกอย่างเริ่มลงล็อค กรจึงเริ่มถามต่อไปอีก โดยไม่ให้พวกเมอร์ลินหยุดพัก

 

〝งั้นเหตุผลที่อัญเชิญพวกเรามาต่างโลกหล่ะ? เธอรู้ใช่ไหมเมอร์ลิน? 〞

〝อา… ก่อนอื่นนายจำได้ใช่ไหมว่าแต่เดิม มีโลกในการดูแลของพวกเทพอยู่ 2 ดวง นั่นคือ โลก กับ ดาวของอมนุษย์〞

〝แน่นอน〞

〝โลกทั้งสองใบมีจุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและใหญ่หลวงอยู่ข้อนึง…. นั่นคือ โลกของพวกนาย ไม่ได้รับการถ่ายทอดเวทย์มนต์ และความรู้เรื่องสเตตัสยังไงหล่ะ〞

 

อืม… เป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนจริงๆ นั่นแหล่ะ

ส่วนเหตุผลที่ทำแบบนั้นก็คงเป็น…

 

〝ทดลองอยู่สินะ… ถึงความเป็นไปได้ที่ซ่อนอยู่ในตัวของประชากรที่ไม่มีเวทย์มนต์หน่ะ〞

〖ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้รู้สึกแย่… แต่ผลจากการที่ไม่มีเวทย์มนต์ ทำให้โลกของคุณต้องพัฒนาขึ้นโดยใช้สติปัญญา ทำให้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นสูง ผิดหูผิดตากับโลกใบนี้ที่ไม่จำเป็นต้องพัฒนาเพราะเวทย์มนต์สามารถตอบสนองความต้องการได้ในทุกด้าน… นั่นทำให้โลกของคุณมีระดับปัญญาสูงกว่าโลกนี้อยู่พอสมควรเลยครับ…〗

〝หรือว่าสติปัญญาที่ว่า… คือตัวแปรในการใช้สกิลหรือเวทย์มนต์? 〞

〝รู้ไปหมดเลยนะนายเนี่ย〞

〝ก็รู้เท่าที่รู้นั่นแหล่ะ〞

 

ก็ค่า INT มันจำเป็นสำหรับสเตตัสเวทมนตร์นี่นา พื้นฐานของเกมเลยนะ…

แต่เอาเถอะ ถึงจะใช้ตรรกะแบบเดียวกับในเกม แต่ผลลัพธ์เหมือนกันก็โอเคแล้ว…

 

〖อย่างที่คุณว่าแหล่ะครับคุณอุษณกร… เพราะว่าโลกของพวกคุณมีโอกาสเติบโตกว้างและไกลกว่า… พวกเราถึงต้องอัญเชิญพวกคุณมา…〗

〝อา… เรื่องนั้นพอเข้าใจแล้วหล่ะ… ว่าแต่เรื่องเหตุผลที่อัญเชิญมายังไม่เคลียร์เลยนะ〞

〖จำเรื่องผนึกได้รึเปล่าครับ…〗

〝ผนึก? 〞

กรเอียงคอสงสัยในคำอธิบายของฟรังซ์ แต่ก็แน่หล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความรู้ของกร ฟรังซ์จึงเริ่มอธิบายต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลาในทันที

 

〖ผนึกที่สร้างโดยพวกเรา 5 คนและพระเจ้า… สามารถยื้อได้อีกไม่ถึง 1 ปีแล้วหล่ะครับ… ขั้นต่ำก็เหลือแค่ครึ่งปีเองด้วย〗

〝! 〞

 

เรื่องใหญ่ไหลเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว…

จะบอกว่าอีก 6 เดือน สัตว์ประหลาดนั่นจะตื่นขึ้นมางั้นเหรอ?

ความแค้นของพระเจ้าองค์ก่อน… จากเรื่องเล่าของฟรังซ์แล้ว คงรุนแรงน่าดู… รวมถึงความแข็งแกร่งของเจ้าตัว ถ้าผนึกถูกปลดจริงหล่ะก็… สงสัยระบบสุริยะต้องถูกเป่าให้หายไปทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

〖พวกเราถึงไม่มีทางเลือกครับ… ถึงต้องยอมเสี่ยงกับการอัญเชิญพวกคุณมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในโลกนี้… นอกจากผมที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์แล้ว… อีก 4 คนรวมถึงพระเจ้าองค์ปัจจุบันได้ทำการสร้างดันเจี้ยนขึ้นคนละแห่ง เพื่อเป็นบททดสอบในการเฟ้นหาผู้ที่มีพลังพอจะต่อกรกับจอมมารได้ แต่ว่า… 〗

〝ไม่ง่ายหล่ะสินะ…〞

〖เรื่องนี้ขอโทษอีกกี่ครั้งก็ไม่พอหรอกครับ… เพราะเรื่องนี้ พวกเราถึงกับต้องอัญเชิญพวกคุณมาถึง 3 ครั้ง… ครั้งแรกนั้น แค่หมื่นคนเท่านั้นเองครับ ส่วนครั้งที่สองอยู่ที่หนึ่งแสน… 〗

 

แต่ละครั้งเป็นจำนวนที่เยอะน่าดูเลยนะ… แสดงให้เห็นเลยว่าร้อนรนกันขนาดไหน

แต่อย่างว่า… คนที่เคยสู้กับจอมมารโดยตรงก็คือฟรังซ์ ออลเดล… ย่อมคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าควรทำอะไร

 

〝แล้วครั้งที่อัญเชิญฉันมาหล่ะพามาเท่าไหร่? 〞

กรถามออกไปด้วยน้ำเสียงโทนเดียวไร้ความรู้สึก ฟรังซ์จึงตอบออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า

 

〖ประมาณสิบล้านคนครับ….〗

〝…….ไม่ใช่น้อยๆ นะนั่น ว่าแต่ไม่ล้นโลกหรอกเหรอ? 〞

〖ไม่หรอกครับ นั่นคือจำนวนที่มากที่สุดที่สามารถพามาได้ แล้วทำให้เกิดผลกระทบในด้านการแออัดของประชากรและเศรษฐกิจมีน้อยที่สุดแล้วครับ…〗

 

อืม…. เป็นปัญหาที่ใหญ่โขจริงเลยให้ตายสิ

จำนวนที่พามามันใช่น้อยๆ ซะที่ไหนหล่ะเนี่ย

ตอนนั้นนึกว่าพามาแค่ไม่กี่หมื่นเองนะ…

แต่สุดยอดการประมวลผลก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนี่นา… จะให้ตรวจสอบจำนวนทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…

แต่พวกนี้มันกล้าเสี่ยงเกินไปไหมเนี่ย?

ขนาดแม่ทัพอย่างพวกฟรังซ์ยังกดจอมมารไม่ลง สภา 7 ปีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง… พวกเราเองก็ด้วย… ไม่เคยใช้เวทมนต์มาก่อน เลยแท้ๆ แล้วจะไปเอาชนะสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้ยังไง…

ก็ถ้าเกิดฟลุ๊คมีคนแบบที่ว่าหล่ะก็ คงแจ็คพ็อตแตกเลยหล่ะสิ…

คนที่มาจากโลกเดิม… ถ้าเกิดมีความสามารถเกินมนุษย์ปกติติดตัวมาด้วยเนี่ย การพัฒนาคงง่ายขึ้นโข…

ไม่สิ… มีอยู่นี่นา วิธีที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดในเวลาสั้นๆ หน่ะ

 

〝เฮ้ยฟรังซ์! นี่หรือว่ากำลังหวังให้คนที่อัญเชิญมาทำการ『จุติ』? 〞

〖ตามนั้นเลยครับ…. ผมไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น…〗

〝………….〞

ฟรังซ์ก้มศีรษะลงจนแทบจะมองพื้นเพื่อแสดงการขอโทษต่อกร รวมถึงเมอร์ลินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทำสีหน้าปั้นยากเพราะรู้สึกผิดเช่นเดียวกัน…

นั่นทำให้กรตกตะลึงอีกครั้งที่ความคิดของตัวเองถูกต้อง ในจังหวะที่ถูกตอบกลับมาแบบนั้น ตัวกรรู้สึกเหมือนมีบางอย่างภายในตัวกำลังพลุกพล่าน พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อด้วยความโกรธ ที่พวกรินและพี่สาวถูกอัญเชิญมา เพื่อที่จะสุ่มให้อยู่ในสถานการณ์เสี่ยง เพื่อที่จะตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาราวกับหนูทดลอง และเพื่อให้เกิดสถานการณ์『การจุติ』ดังกล่าว ด้วยสีหน้าค่อนข้างอาฆาตพอตัว…

 

…แต่แล้วก็มีมือของมีอาเข้ามากุมมือของกรไว้ นั่นทำให้สติของกรกลับมาอีกครั้ง และความอาฆาตที่แสนรุนแรงจากภายในยอมถอยกลับเข้าไป กรจึงเริ่มพูดต่อในทันที…

 

〝เรื่องนี้หน่ะ… ต่อให้นายเป็นผู้มีพระคุณ… แต่คงยกโทษให้ง่ายๆ ไม่ได้แน่…〞

〖ครับผม…〗

〝แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ยกโทษให้หรอกนะ…〞

〖เอ๋? 〗〝!!? 〞

ทั้งฟรังซ์และเมอรืลิน ต่างเงยหน้าขึ้นมาทันทีราวกับติดสปริงเมื่อได้ยินคำพูดของกร

 

〝ถึงวิธีการจะบอกไม่ได้ว่าดี… เอาจริงๆ แล้วมันไร้มนุษยธรรมจนอยากจะอ้วกเลยหล่ะ แต่นั่นมันก็อีกเรื่องนี่นา…〞

〖คุณอุษณกร…〗〝กร…〞

ทั้งสองคนมองหน้ากรตรงๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับไม่ได้จะต้องการสื่อด้วยปาก แต่จะสื่อกันด้วยใจยังไงอย่างงั้น

 

〝ถ้าเกิดว่าหาตัวผู้กล้าไม่ได้ ยังไงจักรวาลก็ล่มสลายอยู่แล้วนี่นาจริงไหม? เพราะงั้นตามความคิดของฉัน การอัญเชิญมาแล้วมีโอกาสชนะ มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้จักรวาลล่มสลายทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย… ถึงนั่นจะทำให้มีผู้เสียสละมากโขก็ตามเถอะ…〞

〖…〗〝…〞

〝แต่เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้วนี่นา… ไม่ต้องกังวลเลยซักนิด…〞

〖! 〗〝เอ๋! 〞

ทั้งสองคนทำหน้าสงสัยอีกครั้ง ต่อประโยคที่แสนกำกวมของกร กรจึงเริ่มพูดต่อในทันที

 

〝นั่นเพราะคนที่นายตามหา… ก็อยู่ตรงหน้านายแล้วไม่ใช่เหรอ? จากที่เมอร์ลินเคยบอก ไม่เคยมีใครจุติได้เกิน 3 ครั้งมาก่อน แล้วสองคนที่เหลือนอกจากฉันนี่คือใครงั้นเหรอ? 〞

〝อืม… จอมมารกับพระเจ้าองค์ปัจจุบันนี่แหล่ะ〞

โป๊ะเช๊ะ!

จิ๊กซอทั้งหมดผสานกันเป็นหนึ่งเดียวในความคิดของกรหมดแล้ว ที่เหลือก็มีแต่การถ่ายออกมาเป็นคำพูด และทำให้เกิดขึ้นจริงเป็นรูปธรรมเท่านั้น กรที่คิดแบบนั้นอยู่ในใจ จึงเริ่มการพูดอีกครั้ง

 

〝งั้นฉันที่สามารถจุติครั้งที่ 4 ที่เป็นครั้งสุดท้ายได้เป็นคนแรกแบบนี้ ก็พอสูสีขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม? ไม่สิ เดิมทีแล้วพวกนายก็หวังให้ฉันทำแบบนี้อยู่แล้วจริงไหม? 〞

〖……〗

〝ไม่จำเป็นต้องเกลี่ยกล่อมแล้วหล่ะ… จักรวาลนี้หน่ะคือที่อยู่ของฉัน… ที่อยู่ของเพื่อนสนิทและพี่สาวที่ฉันรัก… ที่อยู่ของมีอา ภรรยาที่ฉันรัก… แล้วก็ที่อยู่ของเมอร์ลิน สหายร่วมรบที่ฉันรัก… ถ้าเกิดทั้งหมดนี้หายไปหล่ะก็ ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน〞

〝กร……〞

ทั้งฟรังซ์และเมอร์ลินต่างก็พูดไม่ออกกันทั้งนั้น ที่กรพูดสิ่งที่เหนือความคาดหมายนี้ออกมาเอง นั่นทำให้เป็นอีกครั้งที่มีอาภูมิใจในตัวกร ที่เสนอตัวปกป้องโลก… ไม่สิ ปกป้องจักรวาลจากจอมมารด้วยตัวเอง

แม้หนทางข้างหน้าจะอันตรายกว่าเดิมมาก แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามกรที่ยอมรับตัวเองไปจนสุดขอบจักรวาล… เธอจึงพยักหน้าให้กรที่นึงอย่างขะมักเขม้น

 

〝เฮ้อ! งั้นต่อจากนี้ก็คงมีเรื่องให้ทำอีกเยอะเลยสินะเนี่ย… ว่าไงหล่ะฟรังซ์ จะช่วยแนะนำหน่อยได้รึเปล่า? 〞

〖หึหึ! สมแล้วหล่ะครับ คุณนี่เป็นผู้ชายที่สุดยอดกว่าที่คิดเลย… กล้ายอมรับภาระในการปกป้องทั้งจักรวาลด้วยตัวคนเดียวแบบนี้———〗

〝เข้าใจผิดแล้วฟรังซ์ ออลเดล… จักรวาลหน่ะก็แค่ของแถม… ที่ฉันอยากปกป้องหน่ะ มีแค่เพื่อนสนิทและพี่สาวฉัน… มีอาแล้วก็เมอรืลินแค่นั้น อ้อ! จะแถมนายเพิ่มอีกคนก็ได้นา หึหึ! 〞

〖งั้น… เหรอครับ สุดยอดจริงๆ ด้วยนะครับคุณหน่ะ หุหุ! สมแล้วหล่ะนะครับที่เมอร์ลินสนใจ———แอ๊ก! 〗

หลังจากที่ทุกฝ่ายทำการพูดคุยเปิดใจกันจนแทบหมดเปลือกแล้ว ทำให้บรรยากาศกลับมาสงบสุขและอมยิ้มกันได้อีกครั้งนึง

ฟรังซ์ที่กำลังดีใจ เพราะความปรารถนาอันยาวนานของตัวเองถูกเติมเต็มแล้ว จึงเผลอหยอกล้อเมอร์ลินโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้เขาโดนเมอร์ลินอัดเข้าให้ที่ท้อง และแน่นอนว่านั่นก็เพราะเธอต้องการจะแก้เขินนั่นเอง…

 

〝อย่าเข้าใจผิดหล่ะกร… หมอนี่มันคิดไปเอง〞

〝หุหุ! เข้าใจแล้วน่า….〞

เมอร์ลินทำหน้าเขินอีกครั้ง ก่อนที่จะแก้ตัวกับกรโดยตรง กรจึงหัวเราะแห้งและอมยิ้มกลับไปจากใจต่อการกระทำอันแสนน่ารักน่าชังของเมอร์ลิน

 

〝มีอา… ทางต่อจากนี้ต้องอันตรายมากกว่านี้แน่นอนเลย เพราะงั้น——〞

〝กร… ฉันเคยบอกนายไปแล้วนี่นา ว่าต่อให้ศัตรูเป็นพระเจ้า ถ้าไปด้วยกันกับนาย ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น! 〞

ต่อจากนั้นกรจึงยืนยันความรู้สึกของมีอาอีกครั้งด้วยคำพูด และแน่นอนว่ามีอาตอบกลับมาอย่างร่าเริง ทั้งยังหนักแน่นราวกับนักรบ นั่นจึงทำให้กรตัดสินใจเส้นทางในอนาคตเป็นรูปเป็นร่างได้เสียที…

 

ชึบ!

แล้วพอบรรยากาศอยู่ในช่วงผ่อนคลาย… กรจึงยืนขึ้นกลางวงน้ำชา แล้วยื่นมือขวาออกไปยังฟรังซ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการไว้ใจและร่วมมือกัน

 

〖คุณอุษณกร? 〗

〝บอกตรงๆ … ถ้านายไม่ใช่พี่ของเมอร์ลิน ฉันคงยังกังขานายแน่… แต่เอาเถอะ เรื่องนั้นคงไม่สำคัญแล้วในตอนนี้… เพราะงั้น เลยอยากทำให้มันสมบูรณ์หน่ะ〞

〖หึหึ! ถึงเป็นครั้งที่สามแล้วก็เถอะครับ แต่ผมก็อยากจะพูดอยู่ดี… คุณอุษณกร… คุณนี่สุดยอดจริงๆ …〗

〝ขอทีเถอะน่า! 〞

พอฟรังซ์ยืนขึ้น และเอื้อมมือขวาของตัวเองไปจับกับมือขวาของกรแล้ว ทั้งสองคนก็ยิ้มให้กันเล็กน้อยเป็นเครื่องบ่งบอกว่าทั้งสองคนได้ร่วมมือกันอย่างไร้ข้อกังขา

และแล้ว… วงล้อแห่งโชคชะตาของชายที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกรจึงได้เริ่มหมุนวนไปพร้อมกับชะตากรรมของจักรวาลด้วยประการฉะนี้…

 

❖❖❖❖❖

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด