ช่วยทีครับ ใจผมรับคุณมาเฟียไม่ไหว 55
อึนฮันเงยหน้าขึ้นทันที เป็นเพราะไอ้เวรนี่ ไอ้ตัวการของเรื่องเลวร้ายทั้งหมด! แก แก แก! อึนฮันกัดฟันกรอดขณะที่คริสรีบวิ่งเข้ามาขวางเพื่อนไว้ ทว่าอึนฮันกลับลุกพรวดขึ้นมา กำหมัดสองข้างแน่น แต่สุดท้ายก็ต้องทรุดนั่งลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ใช่เพราะหายโกรธ แต่เป็นเพราะสองขาอ่อนเปลี้ยเกินจะยืนไหว ผลจากฝีมือวาซีลียังทำให้เขายืนไม่อยู่อีกงั้นเหรอ! บ้าเอ๊ย! อึนฮันโขกหัวกับกำแพงด้วยความหงุดหงิดจนเสียงดังปั้ก ๆ ได้เพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ใครบางคนก็รีบยกมือขึ้นรองหัวเขาไว้
“นี่ บ้าไปแล้วรึไง”
เมื่อเขาเงยหน้ามองก็พบว่ายุนซ็องฮันคือคนที่เข้ามาประคองหัวเขาไว้
“เอามือออกไป ไอ้เวรนี่”
อึนฮันคำราม ทว่ายุนซ็องฮันยังไม่ยอมเอามือออก เขาเงยหน้ามองซ็องฮันแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว อีกฝ่ายมีสีหน้าที่เขาคุ้นตา เมื่อครั้งยังอยู่เกาหลีใต้ยุนซ็องฮันมักจะมีสีหน้าแบบนี้สลับกับสีหน้าโกรธขึ้งเป็นประจำ อึนฮันมองอีกฝ่ายด้วยทีท่าราวกับจะลุกขึ้นตีอกชกหัว เขาสูดหายใจลึกคล้ายจะพ่นคำดุด่าออกมา สูดแล้วก็สูดเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเฉย ๆ อึนฮันเป่าลมร้อน ๆ ออกมาทางริมฝีปากเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม
“ยุนซ็องฮัน”
“ใจคอจะไม่เรียกฉันว่าพี่จริง ๆ ใช่ไหม”
“กลับเกาหลีไปซะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กลับไปเงียบ ๆ”
ซ็องฮันปิดปากเงียบ ถึงอย่างนั้นมือเขาก็ยังไม่ยอมละจากหัวของอึนฮันอึนฮันพูดต่อไปโดยไม่เว้นช่วงให้อีกฝ่ายได้ตอบอะไร ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่ตอบกลับมาแน่
“นายต้องการอะไรกันแน่ ฉันเดินออกมาจากชีวิตนายแล้วก็ให้มันจบไปแบบนั้นสิ ถ้านี่เป็นหนังเรื่องหนึ่ง ป่านนี้คงเป็นตอนที่รายชื่อคนทำหนังเรียงกันขึ้นมาเป็นตับหลังจบฉากสุดท้ายไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ”
“อึนฮัน”
“นายจะมาที่นี่ทำไมก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน และไม่ว่านายต้องการอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉันอีกเหมือนกัน แต่ฉันขอพูดเอาไว้เพราะเบื่อหน้านายเต็มทนแล้วฉันจะไม่กลับไปเกาหลีอีก และฉันก็มีเงินพอที่จะอยู่ที่นี่ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นนายกลับไปซะ”
ซ็องฮันละมือจากหัวของอึนฮัน
“มันอาจไม่ใช่สิ่งที่นายต้องรู้ก็ได้”
อึนฮันเงยหน้ามองซ็องฮัน สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนกลับไปเป็นสีหน้าของพี่ชายที่น่ารังเกียจคนเดิมแล้ว
“ใช่ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” อึนฮันพูดแล้วสะบัดแขนซ็องฮันออก พร้อมกันนั้นคริสก็เข้ามาคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายจากด้านหลังแล้วลากออกไป
“ยุน ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“อืม สบายดี”
“จู่ ๆ ก็เอาหัวโขกผนังแบบนั้น ฉันตกใจนะ นายไปปรึกษาจิตแพทย์หน่อยดีไหม”
อึนฮันขมวดคิ้ว
“อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนบ้าน่า”
คริสพยุงอึนฮันให้ลุกขึ้นพลางพูดพึมพำ
“ที่จริงฉันแปลกใจมากกว่าที่นายไม่เป็นบ้าในสถานการณ์แบบนี้”
เพราะแบบนั้นเลยอยากให้เขาเป็นบ้างั้นเรอะ อึนฮันเงยหน้ามองคริส บนใบหน้าของเพื่อนเขานั้นมีแต่ความห่วงใย
“ฉันแข็งแกร่งออกจะตายไป”
ในที่สุดอึนฮันก็ยิ้มออกมาจนได้ เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะ ตอนนี้สิ่งที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรยังอยู่ในกระเป๋ากางเกง และเจ้าอุปกรณ์ซึ่งไม่มีแม้แต่เสียงก๊องแก๊งดังออกมานั่นทำให้เขาเสียวสันหลัง เขาควรทิ้งมันไปหรือไม่ จะหักหลังวาซีลี คามินสกีดีไหม จะรอดชีวิตหรือจะต้องตาย บทโศกแบบนี้ไม่เหมาะกับคนอย่างเขาเลยจริง ๆ ทำไมถึงต้องมานั่งวิตกจริตกับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ด้วยนะ
“ว่าแต่ไอ้หมอนี่มาทำไมน่ะ”
คริสพยักพเยิดไปทางซ็องฮัน
“ไม่รู้”
อึนฮันตอบอย่างไม่ยี่หระ
“มาดูนายน่ะสิ ผู้ชายคนนั้นพานายไปนี่นา”
ซ็องฮันพูดเสียงห้วนเมื่อถูกทำเหมือนไม่มีตัวตน ถึงแม้คำพูดจะเหมือนห่วงใย ทว่าอึนฮันกลับแค่นหัวเราะ
“เห็นแล้วก็ไปซะสิ”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เป็นพวกนักเลงจริง ๆ งั้นเหรอ”
คำพูดซ็องฮันทำเอาคริสต้องยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะ
“ถ้าเป็นแค่นักเลงจริง ฉันคงมีความสุขกว่านี้”
หากวาซีลีเป็นเพียงนักเลงอันธพาลธรรมดา คริสคงหาวิธีปกป้องอึนฮันได้ในระดับหนึ่ง พวกนักเลงคงไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเพื่อนของตำรวจโดยไม่จำเป็น (ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ส่วนใหญ่ละ) เพราะไอ้บ้าหน้าไหนที่เข้ามายุ่งอาจโดนจับทันที และแน่นอนว่าต้องมีพวกบ้าที่ไม่มีทางโดนจับอยู่ด้วย ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ใช่นักเลง
แค่เห็นวาซีลี คามินสกีก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือไง
คำพูดของตำรวจอย่างคริสทำให้ซ็องฮันกัดริมฝีปากแน่น
“วาซีลี อีวาโนวิช คามินสกีเป็นคนน่ากลัวกว่าพวกนักเลงอีกเหรอ”
ซ็องฮันเอ่ยถามอึนฮัน ทว่าคำตอบกลับออกมาจากปากคริส
“ทำไมแกถึงไม่ลองไปหาในกูเกิลดูสักครั้งล่ะ แค่นั้นก็เจอข้อมูลเป็นพะเรอเกวียนแล้ว”
ก่อนที่เขาจะพูดเสริมเรื่องน่าหดหู่ในฐานะตำรวจคนหนึ่งไปด้วย
“ถึงนั่นจะเป็นข้อมูลแค่ห้าเปอร์เซ็นต์จากข้อมูลทั้งหมดที่ตำรวจมีก็เถอะ”
คริสหันมามองหน้าอึนฮันแล้วพูดต่อ ราวกับกลัวว่าตำรวจจะดูไร้ประสิทธิภาพในสายตาของอีกฝ่าย
“และข้อมูลที่ตำรวจมีก็คิดเป็นห้าเปอร์เซ็นต์ของข้อมูลที่ตำรวจสากลมีอีกที”
Comments