ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย 735 ทำดีที่สุดแล้ว / 736 หนุนหลัง
ตอนที่ 735 ทำดีที่สุดแล้ว
เฉินฝานซิงถอนสายตากลับมา เธอยกแก้วน้ำขึ้นจรดตรงริมฝีปาก เก็บซ่อนความเฉยชาในแววตาเธอเอาไว้
“เพราะอะไรเหรอคะ…มักใหญ่เกินความเป็นจริง เข้าทำนองเร็วแต่ไม่บรรลุเป้าหมาย ดื้อรั้นและไม่รับฟังผู้อื่น นี่เป็นเหตุผลทั้งหมดเลยไม่ใช่เหรอคะ”
ซูข่งหรี่ตาลงหวังจะมองสีหน้าของเฉินฝานซิงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็สุดปัญญาที่จะล่วงรู้ความในใจที่เฉินฝานซิงปกปิดเอาไว้ได้
“พูดอะไรของแก หากทำธุรกิจแบบงอมือของเท้าอย่างที่แกว่า ก็อย่าอยู่ในวงการธุรกิจอีกต่อไปเลย! หากเป็นเพราะความใจแคบของตัวเอง ก็อย่ามาจาพูดซี้ซั้ว!”
เจียงหรงหรงตำหนิเสียงเข้ม เธอรู้สึกระอากับเฉินฝานซิงอย่างไม่คิดจะปกปิด
เฉินฝานซิงไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ เธอลดสายตาลงด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะเม้มปากจิบน้ำ
“…เฉินฝานซิงพูดถูก งั้นก็รอให้ถึงงานประกาศรางวัลก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ซูข่งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“คุณตา!” หลินเฟยเฟยร้องขึ้น “คุณตาไปฟังเธอทำไมคะ! พี่ชายทิ้งมันไป นี่เธอกำลังคิดจะแก้แค้นสกุลซูอยู่นะ!”
“เงียบซะ!” ซูข่งพลันคำรามเสียงต่ำ ในที่สุดเขาก็เบนสายตามาวางไว้ที่หลินเฟยเฟย “แกยังทำขายหน้าไม่พอใช่ไหม ก่อนจะพูดอะไรหัดสำเหนียกซะบ้างว่าทำคนที่บ้านขายหน้าไปมากแค่ไหนแล้ว! ถ้าฉันเป็นแก ฉันคงจะเก็บหางเป็นคนไปตั้งนานแล้ว หากแกดีจริง ไม่ว่าที่ไหนเขาก็มองเห็นแก!”
เดิมทีซูข่งก็มีบุคลิกที่น่าเกรงขามอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาแม้ว่าบนใบหน้านั้นจะไม่เคยถูกประดับไปด้วยรอยยิ้มเลยสักครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำให้ใครลำบากใจ
ความโกรธเคืองในตอนนี้ น้อยคนนักที่จะได้พบเจอ
หลินเฟยเฟยตกใจจนย่นคอหนี เมื่อรู้สึกตัวอีกที สองตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“คุณตา นี่คุณตารังเกียจหนูแล้วเหรอคะ หนูก็เป็นผู้ถูกกระทำนะ…”
“คุณพ่อ คุณพ่อ…นี่คุณพ่อทำอะไรลงไปคะ ยังไงเฟยเฟยก็เป็นหลานสาวของคุณพ่อนะคะ เธอเจ็บปวดมามากพอแล้ว คุณพ่อยังจะโรยเกลือลงบนปากแผลของเธออีกเหรอคะ…”
แม่ของหลินเฟยเฟย ซูเหลียน รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธออดไม่ได้ที่จะก้าวออกมาพูดบ้าง
สีหน้าของซูข่งไม่สู้ดีนัก “นั่นมันเพราะเธอรนหาที่เอง หากไม่ใช่เพราะพวกเธอคิดจะทำร้ายคนอื่นก่อนมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไหม!”
แค่คำว่า ‘พวกเธอ’ สองคำนี้ พลันทำให้ร่างของเฉินเชียนโหรวถูกแช่แข็งไปในทันที เธอช้อนสายตามองหลินเฟยเฟยวูบหนึ่ง
ด้วยความแอบสงสัยว่าหลินเฟยเฟยจะเล่าเรื่องงานเลี้ยงวิทยาลัยคืนนั้นให้ซูข่งฟัง
หากซูข่งมีหลักฐานที่แน่นอนแล้ว หากเขารู้ว่าเรื่องในครั้งนั้นเธอมีส่วนรู้เห็นด้วย งั้นการใช้ชีวิตในสกุลซูของเธอก็…
“คุณปู่…”
ซูเหิงรีบเอ่ยขึ้น เสียงเรียบ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องไปพูดถึงมันแล้ว เรื่องที่เพิ่งคุยกันไปเมื่อกี้ ผมเองก็คิดว่าลงทุนผลิตผลงานของเชียนโหรวกก่อนดีกว่าครับ ต่อให้ครั้งนี้เชียนโหรวไม่ได้แชมป์ แต่ถึงยังไงก็เป็นรางวัลที่เคยได้รับคะแนนสูงจากคณะกรรมการระดับนานาชาตินะครับ…คุณปู่คิดว่าไงครับ”
คล้ายว่าเขาจะนึกได้ว่าเฉินฝานซิงเองก็อยู่ตรงนั้นด้วย น้ำเสียงของซูเหิงจึงอ่อนลง
ผลสุดท้ายก็เห็นต่างกัน เมื่อเทียบกับคนในครอบครัวใหญ่ในปัจจุบันแล้ว บุคลิกของซูเหิง ลีลาในการพูดของเขาสุขุมและชวนให้คล้อยตามเป็นที่สุด
ความแตกต่างจากคนอื่น ถูกแยกออกได้ในทันที
สายตาที่มองมายังซูเหิงจึงแฝงไปด้วยความพอใจและชื่นชม
ทว่าคำแนะนำเมื่อครูของเฉินฝานซิง…
เขากลับไม่ได้คิดว่าเฉินฝานซิงมาแก้แค้นอะไรทั้งสิ้น
ต่อให้เธอมีความแค้นต่อสกุลซูจริงๆ เธอก็คงไม่เอามาพูดในสถานที่โจ่งแจ้งเช่นนี้
เขารู้ว่าในครั้งนี้ เฉินฝานซิงได้เสนอแนะออกมาโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่น
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของซูข่ง เฉินฝานซิงจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้อแนะนำคือข้อแนะนำของหนู ส่วนเรื่องจะรับไว้หรือไม่ ก็คงต้องให้ผู้วางแผนสกุลซูเป็นคนตัดสินใจเอง”
พูดเสร็จ เฉินฝาซิงก็หันมองไปยังซูเหิงพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ฉันเสนอว่าไม่ควรผลิต แน่นนอนว่านี่เป็นเรื่องของสกุลซูของนาย นายเป็นคนวางแผน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับนาย ผลประโยชน์เป็นเรื่องสำคัญ อย่าเอาเรื่องอื่นเข้ามาปะปน”
เฉินฝานซิงแอบเน้นย้ำข้อเสนอของเธออีกครั้ง โดยไม่เอาเหตุผลอื่นเข้ามาปะปน นั่นก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมากไปกว่านี้
ว่าไปตามจริง ไม่ว่าจะเป็นสกุลซูหรือสกุลเฉิน ในเมื่อเชื่อใจในตัวเฉินเชียนโหรวอย่างไร้เหตุผลขนาดนี้ เช่นนั้นเธอก็พอจะเดาได้ว่าหลังจากงานประกาศรางวัลในครั้งนี้ จะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงไหน
เดิมทีผลลัพธ์ของมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ตอนนี้หากยังนำเงินไปลงทุนกับการผลิตสินค้าก่อนอีก ก็มีเพียงแต่จะทำให้สกุลซูตกต่ำลงเท่านั้น
แม้ว่าเธออาจจะดีใจที่ได้เห็นมันเกิดขึ้น แต่เธอก็ยังคงต้องตอบแทนความผูกพันที่มีต่อซูข่งในเวลานี้เสียหน่อย
สรุปแล้วว่าข้อเสนอของเธอในคืนนี้ เธอเริ่มต้นได้ดี
หากพวกเขายังคงปักใจเชื่อเฉินเชียนโหรวอย่างไม่ระแคะระคาย งั้นเธอก็…
ถือว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
ทว่าซูเหิงกลับคิดว่า คำว่า ‘อย่าเอาเรื่องอื่นเข้ามาปะปน’ จากปากของเฉินฝานซิงนั้น ถูกพูดออกมาเพราะเธอกลัวว่าความรู้สึกผิดที่เขามีต่อเธอจะกระทบต่อการตัดสินใจของเขา
เขาหันไปยิ้มให้เฉินฝานซิงด้วยความซาบซึ้งในความเข้าอกเข้าใจของเธอ
เฉินฝานซิงเลิกคิ้วอย่างงงงวย
“เอาละ ตอนนี้แกเป็นคนดูแลบริษัท จะทำยังไงแกก็ตัดสิ้นใจเองแล้วกัน”
ซูข่งเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมเอ่ยยกอำนาจให้กับซูเหิง
ซูเหิงพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พิจารณาถึงข้อเสนอของเฉินฝานซิงเลยแม้แต่น้อย
หลินเฟยเฟยเลิกคิ้วขึ้นอย่างได้ใจ “ฉันเชื่อ ต่อไปสกุลซูอยู่ในมือของพี่ชายกับพี่สะใภ้แล้ว จะต้องไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ! ดีจนใครก็คาดไม่ถึง! ก้าวขึ้นเป็นกิจการชั้นนำระดับโลก!”
“เฟยเฟย เธออย่ามาคาดหวังอะไรกับฉันมากมาย มันกดดันมากนะ!”
“กดดันอะไรกัน! พี่ออกจะเก่งขนาดนี้ เชื่อมั่นในตัวเองสิ!”
“เหอะ…” เฉินฝานซิงขำเยาะเสียงหนึ่ง เสียงนั้นไม่ได้ดังนัก แต่ทว่าก็อัดแน่นไปด้วยความเย้ยหยัน
หลินเฟยเฟยตวัดสายตามองเธอ
ทว่าเฉินฝานซิงกลับวางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะน้ำชา แล้วหยัดกายลุกขึ้น
“พิธีการถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อน”
เธอว่าพลางก็พาตัวเองเดินไปยังประตู
ในตอนนั้นซูเหิงก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างร้อนใจ ก่อนจะเดินตามเฉินฝานซิงออกไป
เฉินเชียนโหรวรีบตามออกไปอย่างรีบร้อน ราวกับกลัวว่าซูเหิงกับเฉินฝานซิงจะยังเหลือเยื่อใยต่อกันอย่างไรอย่างนั้น
หลินเฟยเฟยเองก็รีบตามไปติดๆ
เมื่อแขกจะกลับ แน่นอนว่าไช่จิ้งอี๋และสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านก็ต้องลุกออกไปส่ง
คนจำนวนหนึ่งจึงเคลื่อนตัวไปยังประตู
“ฝานซิง เธอคงไม่ได้ขับรถมาสินะ เดี๋ยวฉันไปส่ง…”
“พี่เหิง...” เฉินเชียนโหรวตามออกมา
หลินเฟยเฟยเองก็เอ่ยขึ้นอย่างรังเกียจเหยียดหยาม
“พี่คะ เรื่องแค่นี้คงไม่ต้องลำบากพี่หรอกมั้งคะ! เพื่อนเธอออกจะเยอะขนาดนั้น แค่โทรกริ๊งเดียวก็คงจะต่อแถวกันมารับเธอแล้วมั้ง”
เจียงหรงหรงสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง “ใครจะไปรู้ว่าคนที่แกคบหาเป็นเพื่อนก็มีแค่พวกเพื่อนเดรัจฉานพวกนั้น ในสกุลซู ใช่ว่าใครคิดจะเข้าก็เข้าได้ วันๆ ไม่รู้มัวไปมาหาสู่แต่กับคนพรรค์ไหน…ไหนๆ ก็มาด้วยกันแล้ว งั้นก็กลับด้วยกันซะสิ ฉันจะให้คนขับรถไปส่งแก”
เฉินฝานซิงย่นคิ้ว “ประธานเจียง หลินเฟยเฟยปากเสียแต่น่าให้อภัยเพราะเธออายุน้อยกว่าคุณหลายทศวรรษ! คุณล่ะ แก่เพราะอยู่นาน? แต่ก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายให้ความเคารพคุณรึเปล่า! ไม่งั้นก็ไม่เท่ากับว่าคุณฉีกหน้าตัวเองหรอกเหรอ”
เจียงหรงหรงผินหน้ากลับไปมองข้างหลังเล็กน้อย ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ แถมยังเป็นต่อหน้าฝ่ายชายอีก การโดนหลานสาวตัวเองถอนหงอกแบบนี้ แถมยังว่าให้เธออับอายขนาดนี้ ใบหน้าชราจึงแปรปรวนไปหลากสี เธอโกรธจนแทบจะมีควันพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ด
ตอนที่ 736 หนุนหลัง
“แก…แกนังเด็กเลว! ฉันพูดคำไหนผิดไปงั้นเหรอ คำพูดคำจาของคนพวกนั้น เมื่อกี้มีใครไม่ได้ยินบ้าง อ้าปากออกมาก็มีแต่ขยะ พูดจาถ่อยๆ มั่วสุมอบายมุข ไม่เรียกว่าเพื่อนเดรัจฉานแล้วจะให้เรียกอะไร!”
สีหน้าของเฉินฝานซิงเยียบเย็นลงชั่วขณะ ทว่าไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรขึ้นอีก เธอก็พลันได้ยินเสียงตะโกนแว่วดังออกมาจากหน้าประตูใหญ่ของสกุลซู
“พี่สะใภ้! ผมมารับคุณกลับบ้านแล้ว!”
หัวคิ้วของเฉินฝานซิงกระตุกหนัก เสียงที่คุ้นเคยนี้…
เฉินฝานซิงเห็นอินรุ่ยเจวี๋ยมาแต่ไกล ใบหน้าของเขาโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถ พร้อมทั้งโบกมือให้เธอแรงๆ
“ใครกัน ดึกป่านนี้แล้วใครยังมาเอะอะอะไรอีก”
“ทำไมประตูใหญ่ยังไม่เปิดอีกเนี่ย คนใช้ทำงานกันประสาอะไร”
คนเหล่านั้นบ่นพลางหันมองไปยังประตูใหญ่
บรืน ไม่นาน ก็ได้เห็นแลมโบกินี่สีน้ำเงินทะยานเข้ามาจอดลงตรงหน้าประตูอย่างพอดิบพอดี
“ว้าว นั่นแลมโบกินี่รุ่นลิมิเต็ดนี่ ฉันเพิ่งจะเห็นบนหน้าเพจไปเมื่อกี้นี้เอง ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้นำเข้ามาในจีนหรอกเหรอ เท่สุดๆ ไปเลย!”
หลินเฟยเฟยร้องขึ้นมาในทันใด เธอแทบจะกระโดดโหยงๆ ขึ้นจากพื้นอยู่แล้ว
ในตอนนี้เอง ประตูฝั่งคนขับของแลมโบกินี่ก็ถูกเปิดออก อินรุ่ยเจวี๋ยที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินทั้งตัวปรากฏตัวออกมาสู่สายตาผู้คน ร่างกายสูงโปร่ง ความหล่อเหล่าในแบบฉบับลูกผู้ดีแทบจะทำเอาทุกคนตรงนั้นมองมาเป็นตาเดียว
หลินเฟยเฟยหยุดนิ่งไม่ไหวติง “คุณชายอิน?! คุณมาได้ไง”
“คุณชายอิน?” เจียงหรงหรงขมวดคิ้วมุ่น “คุณชายจากตระกูลอิน อสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของผิงเฉิง?”
“ใช่ค่ะ นอกจากเขาแล้ว ในผิงเฉิงยังจะมีใครกล้าเรียกตัวเองว่าคุณชายอินอีก” หลินเฟยเฟยพนมมือเข้าหากัน พลางมองไปยังดินรุ่ยเจวี๋ยด้วยสีหน้าเทิดทูนและลุ่มหลง
เมื่อเจอเฉินฝานซิงแล้ว อินรุ่ยเจวี๋ยไม่ทันจะได้เอ่ยทักทายใดๆ ก็ดันได้ยินเสียงอันโคตรจะคุ้นหูของหลินเฟยเฟยเสียก่อน
เท้าที่ก้าวเข้าหาเฉินฝานซิงเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะพาตัวเองเดินไปหาหลินเฟยเฟย
ภายในใจของหลินเฟยเฟยตื่นเต้นสุดขีด สายตาตื่นเต้นคู่นั้นจ้องตรงไปยังอินรุ่ยเจวี๋ยที่ใกล้เข้ามาทุกชั่วขณะ
ในที่สุดอินรุ่ยเจวี๋ยก็เดินมาหยุดนิ่งอยู่ข้างๆ เธอ เขาจ้องมองเธออยู่กว่าค่อนวัน
“คุณ…คุณชายอิน…” หลินเฟยๆ ทั้งตื่นเต้นและตื้นตัน เธอมองใบหน้าของอินรุ่ยเจวี๋ยในระยะใกล้ ไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงของหลินเฟยเฟย อินรุ่ยเจวี๋ยก็ขยับคิ้วเข้าหากัน “เธอหาว่าฉันเป็นขยะ?”
หลินเฟยเฟย “ป...เปล่านะคะ ฉันจะไปว่าคุณชายอินได้ยังไง”
“สิ่งที่ฉันเคยได้ยินมากที่สุดในชีวิตก็คือคำเยินยอ น้อยครั้งที่จะถูกด่า เพราะงั้นเสียงของเธอฉันไม่มีทางจำผิด!”
“ฉ...ฉันเปล่านะ…” หลินเฟยเฟยร้อนใจ
เฉินเชียนโหรวที่อยู่ข้างๆ กลับเข้าใจบางอย่างขึ้นมาในทันใด เธอจึงหน้าถอดสีไปในทันที
“คุณชายอิน คุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า หลายวันมานี้เธอถูกกักบริเวณอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีโอกาสได้พบคุณเลย เธอจะไปด่าคุณได้ยังไง”
ซูเหิงเอ่ยขึ้นทันควัน เขาส่งสัญญาณผ่านสายตาให้เธอไปยืนอยู่ข้างหลัง
อินรุ่ยเจวี๋ยย่นคิ้ว “เธอจะมาด่าพวกฉันได้ยังไงงั้นเหรอ ฉันก็ได้ยินจากในโทรศัพท์ไง!”
โทรศัพท์?
โทรศัพท์อะไร
คนกลุ่มนั้นไม่ได้จับเฉินฝานซิงโยนเข้ากลีบเมฆไปเลยเสียทีเดียว แต่เดิมไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเฉินฝานซิงจะรู้จักกับคุณชายบ้านสกุลอิน!
ในขณะที่พวกเขากำลังฉงนสนเท่ห์กันอยู่นั้น เสียงแตรก็แผดดังขึ้นมาจากประตูทางเข้าอีกครั้ง
ก่อนจะได้เห็นรถอีกหลายคันทยอยขับเข้ามา
ปอร์เช่สีเงินจอดสนิทลง สวี่ฮั่นในเสื้อผ้าสบายๆ ลงมาจากรถด้วยท่าทีผ่อนคลาย
มาเซราติสีขาวจอดลง ซั่งชิงม่อที่อยู่ในสูทสีดำสั่งตัดจากอิตาลี ร่างสูงใหญ่ก้าวลงมากจากรถพร้อมทั้งรังสีความเยือกเย็นที่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย
ตามมาด้วยเฟอร์รารีสีแดง ซั่งชีชีในเสื้อยืดกางเกงยีน เปี่ยมล้นไปด้วยความเยาว์วัย
ปิดท้ายด้วยแอสตันมาร์ตินสีเทา ลู่เส้าเชียนในเสื้อสูทลายทาง ดูสุภาพและสูงศักดิ์
ในพริบตาเดียว รถยนต์หรูระดับโลกจำนวนจำกัดห้าคันได้มาจอดอยู่ในลานกว้าง ทำเอาคนเห็นตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งห้าคน ล้วนแต่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา หล่อสวยเท่ และที่สำคัญที่สุดก็คือความสูงศักดิ์จากร่างกาย พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลสูงศักดิ์อันดับต้นๆ ของเมืองผิงเฉิง
ทุกคนในที่นั้นต่างก็พากันสงสัยเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจว่าลมปีศาจอะไรหอบเอาผู้ทรงอิทธิพลเกือบครึ่งหนึ่งของผิงเฉิงมารวมกันไว้ที่นี่ภายในพริบตาเดียว
ซูปิ่งโย่วก้าวออกมาข้างหน้า แม้ว่าคนที่เผชิญหน้าอยู่ด้วยจะอายุน้อยกว่า ทว่าเขากลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพและระมัดระวัง
“ไม่ทราบว่าพวกคุณมาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ เข้าไปนั่งข้างในบ้านก่อนดีไหม”
ตั้งแต่ซั่งชีชีลงมาจากรถ นัยน์ตาคู่นั้นก็กวาดมองไปรอบๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงร่างของเฉินฝานซิง ที่อยู่หน้าสุดตรงทางเข้า แล้วจึงวิ่งเข้าไปหยุดอยู่ข้างๆ เธอด้วยสีหน้าแจ่มใส พลางคล้องแขนเธอไว้ความสนิทสนม
เสียงใสอ่อนหวานร้องเรียกเธอหนึ่งครั้ง “พี่สะใภ้!”
มุมปากของเฉินฝานซิงคลี่ยิ้ม
เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทุกๆ สายตาที่อยู่ข้างหลังตวัดมองมายังหลังศีรษะของเธอ
หว่างคิ้วของเจียงหรงหรงขมวดเข้าหากัน เธอก้าวมาข้างหน้าเพื่อพิจารณาซั่งชีชี “เด็กผู้หญิงจากสกุลไหน ใครคือพี่สะใภ้ของเธอ แล้วพี่ชายของเธอคือใคร”
เจียงหรงหรงหน้าขรึม เสียงเยียบเย็นราวกับกำลังสอบปากคำคนร้าย
ซั่งชีชีย่นคิ้วสำรวจยายเฒ่าที่อยู่ๆ ก็บุ่มบ่ามเข้ามา เสียงนั้นคือเสียงเดียวกันกับที่ตำหนิพี่สะใภ้ไม่ผิดเพี้ยน
พวกเขาเคยพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฝานซิง สกุลซู และสกุลเฉินอยู่บ้าง แม้จะไม่รู้ไปเสียทุกเรื่อง ทว่าเรื่องสำคัญๆ ก็พอจะรู้มาบ้างไม่น้อย
อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่ายายเฒ่าคนนี้คือย่าจอมลำเอียงคนนั้นของเฉินฝานซิง
เธอจึงไม่ไว้หน้าเจียงหรงหรงในทันที เธอเบ้ปากพลางเอ่ยออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม “เรื่องอะไรฉันต้องบอกยายด้วย นางแม่มดเฒ่า”
“แก…”
เฉินฝานซิงรวบซั่งชีชีเข้าหาตัวตามสัญชาตญาณ ซั่งชิงม่อตามเข้ามาติดๆ พลางดึงซั่งชีชีไปไว้ข้างหลัง
รังสีแข็งกร้าวทำเอาเจียงหรงหรงหายใจขาดห้วงไปภายในชั่วอึดใจ เธอหรี่ตาจ้องซั่งชิงม่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นัยน์ตาเฉียบแหลมจะเปล่งประกาย
“ที่แท้ก็ประธานซั่งแห่งหวาเฉินทีวีนี่เอง เป็นเกียรติที่ได้เจอค่ะ!”
เฉินเชียนโหรวประหลาดใจ หวาเฉินทีวีเป็นสถานีโทรทัศน์ที่เรตติ้งสูงที่สุด ไม่เพียงแค่ละครทีวีจะติดท้อปอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งรายการวาไรตี้ต่างๆ ก็ยังกลายเป็นรายการหลักๆ ของประเทศ ตอนนี้ในขณะที่อินเตอร์เน็ตกำลังได้รับการพัฒนาก็ยังสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเป็นของตัวเอง เว็บไซต์ละครเพียงเจ้าเดียว รายการวาไรตี้โชว์ออนไลน์เพียงเจ้าเดียวที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครและเป็นที่นิยม
ดาราจำนวนไม่น้อยที่แย่งชิงกันเพื่อจะเข้าร่วมรายการวาไรตี้ ไม่ก็วาดฝันว่าผลงานของตัวเองจะได้ออนแอร์ในช่องของหวาเฉินทีวี
ผู้ประกอบการรายการโทรทัศน์ อีกด้านหนึ่งก็เป็นคือคนที่วงการบันเทิงห้ามทำให้ขัดใจเด็ดขาด
ซั่งชิงม่อจ้องมองมายังเจียงหรงหรงวูบหนึ่ง ทว่าก็ไม่ได้ใส่ใจเธอแม้แต่น้อย
เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังเขาในตอนนี้จิกลงบนเอวของเขาอย่างไม่ออมแรง เขาเกรงว่าหากไม่ตอบโต้ผู้ที่เด็กสาวคนนี้ขนานนามให้ว่า ‘แม่มดเฒ่า’ คนนี้ไป มีหวังเด็กนี่คงจะจิกเอวเขาจนเลือดซิบออกมาตามรอยเล็บทั้งห้า
“ทุกคน ฉันรู้แล้วว่าผู้หญิงที่ด่าว่าเราเป็นขยะคือใคร”
Comments