ซวยจริง กลายเป็นสาวน้อยไม่พอยังเจอเหล่าเจ้าหญิงของโรงเรียนมาจีบอีก 3

Now you are reading ซวยจริง กลายเป็นสาวน้อยไม่พอยังเจอเหล่าเจ้าหญิงของโรงเรียนมาจีบอีก Chapter 3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

             แย่แล้ว แย่สุด ๆ

         แน่นอนว่าการเรียนการสอนทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ต้องเรียกว่ามันเป็นช่วงเวลาอันแสนสงบที่สุดในชีวิตของผมตั้งแต่เริ่มกลายเป็นผู้หญิงเลยก็ว่าได้ เพราะไม่มีใครมาชวนคุยหรือไม่ต้องไปคุยกับใครที่ไหน แค่โฟกัสกับสิ่งที่อาจารย์จดบนกระดานเท่านั้น

         หลังจากนั้นมาผมสัมผัสได้ สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงสายตาของเด็กสาวผมสีทองที่จ้องมองมาที่ผมเป็นระยะ ๆ

         คุณน้ำ เจ้าหญิงประจำโรงเรียนแห่งนี้กำลังจ้องผม.. ใช่ จ้องเด็กใหม่อย่างผมแบบไม่วางตา ทำเอาผมเผลอคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปเหรอเปล่า ตอนนั้นเองที่คุณนางฟ้าแอบยื่นหัวมาใกล้ ๆ และกระซิบเบา ๆ

         “ฟ้าคะ ขาหุบเข้าหน่อยนะคะ นั่งแบบนั้นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”

         “เอ๋…..ขะ..ขอโทษด้วย”

         เมื่อเธอทักมาแบบนี้ผมก็รู้สึกตัวแล้วว่าอะไรที่ทำผิดพลาดไป นั่นก็คือผมนั่งกางขาอ้าแบบที่เคยทำเหมือนตอนสมัยเป็นผู้ชายจนมันดูไม่ดีไม่งาม ยิ่งสำหรับแหล่งรวมกุลสตรีอย่างที่นี่ยิ่งแล้วใหญ่

         แค่นั้นล่ะผมแทบหุบขาไม่ทัน

         “ผะ…เผลอตัวไปหน่อยน่ะครับ”

         “ครับ?”

         “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ… แหะ ๆ”

         ผมแหมือนว่าตัวเองจะหลุดทำกิริยาแบบผู้ชายไปหลายครั้งเอามาก ๆ ไม่ว่าจะนั่งเท้าแขนกับขอบโต๊ะ หรือนั่งไขว่ห้างจนกระโปรงเกือบเปิด ไม่ก็พูดลงท้ายว่าครับกลับไป นั่นทำให้ผมโดนทุกอยู่หลายครั้งหลายคราจนเริ่มคิดแล้วว่าความลับมันจะแตกไหม

         “ฟ้าเป็นแบบนี้คงเข้าได้ดีกับบีมนะคะเนี่ย”

         “คุณบีมงั้นเหรอ?”

         ดูเหมือนจะมีชื่อที่ผมไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาทำเอาผมได้แต่เอียงคอสงสัย

         “ค่ะ อยู่ห้องเดียวกับพวกเรานี่ล่ะ แต่ว่าพอดีติดไปแข็งกีฬาก็เลยยังไม่มาน่ะ”

         อยากรู้จังเลยว่าคน ๆ นั้นเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ คุณน้ำแกถึงได้บอกว่าไอ้สาระพัดการกระทำประดุจผู้ชายเมื่อครู่นั่นของผมถึงจะเข้าได้ดีกันเธอคนนั้น

         “เอาเถอะค่ะ ไหน ๆ ก็หมดคาบเรียนแล้ว ไปทานข้าวกันไหมคะ”

         “เอ๋… เอ่อ ไม่เป็นไรคือเราว่าเราไปนั่งกินคนเดียวจะดีกว่านะ”

         “ฟ้าคะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ เราเป็นเพื่อนกันแล้วจะปล่อยให้ฟ้านั่งคนเดียวได้ยังไง แถมโรงเรียนเราก็กว้าง ถ้าเกิดหลงทางไปนี่แย่เลยนะคะ”

“แต่ว่า… คือ…”

“ไปเถอะ นะ?” น้ำยื่นมือมาจับข้อมือผมเบา ๆ ดึงไปเบา ๆ ท่ามกลางสายตาของเพื่อน ๆ ในห้องที่เริ่มมองมาที่พวกเราด้วยความสนใจส่วนผมก็รู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังเริ่มหลุดลอยไปเรื่อย ๆ ทุกที

“ก็ได้…” ผมพูดด้วยเสียงที่อ่อนล้า

น้ำยิ้มกว้างแล้วดึงผมออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปโรงอาหารในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินผ่านดงไทยมุง ทุกสายตาจ้องมาที่พวกเราอย่างชัดเจน โดยเฉพาะที่ผม แน่นอนสิ ใครจะไม่มองเด็กใหม่ที่ถูกเจ้าหญิงประจำโรงเรียนลากมือไปกินข้าวด้วยแบบนี้

“เอ่อ…คือเหมือนทุกคนจ้องมาทางนี้เลยค่ะ”

“สงสัยเพราะฟ้าน่ารักแน่เลยค่ะ”

ก็จริงอยู่ที่ร่างหญิงสาวของผมนี้มันน่ารักน่ากอดประดุจตุ๊กตา แต่ว่าหากไปเทียบกับความสง่างามของนางฟ้าที่อยู่ข้าง ๆ แล้วนั้นมันเทียบไม่ติดแน่ ๆ เพราะฉะนั้นคนเรียกความสนใจก็คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก….น้ำแน่นอน

ซวยแล้วไหมทล่ะเรา ดันมาอยู่กับสุดยอดคนดึงดูดสายตาแบบนี้ ไม่ถนัดเอาซะเลย.. ไม่เป็นไร นี่มันแค่ทานอาหาร รีบซื้อรีบทาน รีบกลับห้อง

“รู้ไหมคะว่าโรงอาหารของโรงเรียนนี้น่ะขึ้นชื่อว่าอร่อยกว่าที่ไหน แต่ราคาอาจจะแพงไปนิดหน่อยน่ะค่ะ”

แพงนิดหน่อยงั้นเหรอ?

ผมเหลือบตาไปมองป้ายราคาก็แทบตาทะลุออกมาจากเบ้า เมื่อราคาที่มันเขียนเอาไว้อยู่มันเล่นแพงกว่าราคาอาหารที่ขายข้างนอกสักหนึ่งถึงสองเท่าตัวได้ จนมันผิดวิสัยโรงอาหารของโรงเรียนเอามาก ๆ

แต่ถ้าจำไม่ผิด เหมือนคุณประทานบริษัทบอกว่ามีเงินค่าใช้จ่ายรายวันให้แบบไม่ต้องห่วงเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเขาส่งผมมาที่แห่งนี้แล้วก็คงน่าจะคำนวนเรื่องค่าครองชีพที่แพงหูดับของที่นี่ไว้แล้ว

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เราน่ะเตรียมตัวมาอย่าง……ดี?”

ว่าแล้วก็ล้วงกระเป๋าของตัวเองเพื่อตรวจสอบดูว่าเงินที่ได้มานั้นมันเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นเองเมื่อมือของผมได้สัมผัสเข้ากับกระเป๋าของตัวเอง สิ่งที่พบก็คือ…..ความว่างเปล่า

งานงอกแล้วไงเรา…. พอกระโปรงมันไม่มีกระเป๋าใส่ของแล้วก็เลยลืมหยิบกระเป๋าเงินมาด้วยแน่ ๆ งานนี้ซวยแล้วไง ซวยสุด ๆ ไปเลย

“มีอะไรเหรอเปล่าคะฟ้า?”

เด็กสาวตรงหน้าหันมาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อพบว่าตอนนี้ผมหน้าซีดยิ่งกว่าไข่ต้ม ดวงตาสีฟ้าสวยนั่นพยายามมองมาอย่างกับพี่สาวที่ห่วงน้องของตัวเอง

“เอ่อคือ…. เอ่อ…..”

จะบอกดีไหมนะ จะบอกว่าลืมเอากระเป๋าตังมาดีไหมนะ… แต่ว่าถ้าบอกไปนี่ ดูไม่จืดเลยนะณัฐเอ๋ย…..

“หรือว่าลืมเอาเงินมาเหรอคะ?”

ราวกับว่าตัวเองมีจิตสัมผัสพิเศษ คุณเจ้าหญิงตรงหน้าสามารถเดาได้ถูกต้องในทันทีโดยแทบไม่ต้องให้ผมบอกอะไร ยิ่งพอเป็นแบบนั้นยิ่งทำให้ผมหลบตาเธอไปแต่แล้วก็ต้องหันกลับมาเมื่อเธอจู่ ๆ ก็ควักแบ๊งคสีเทาออกมายื่นให้แบบหน้าตาเฉย

“งั้นเราให้ยืมเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ”

         เล็กน้อย!!  เงินหนึ่งพันเนี่ยนะเล็กน้อย รู้ไหมว่านั่นมันค่าข้าวระดับกินได้เป็นสัปดาห์เลยนะ นี่ยื่นกันมาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ…. ใจดีเกินไปแล้ว

         ไม่สิ ใจเย็นก่อนนะณัฐ นายต้องใจเย็นก่อน อย่าลืมสิว่าที่นี่มันโรงเรียนเอกชนชั้นหนึ่ง จะมีอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลก…. บางทีนี่อาจจะเป็นการทดลองใจของเหล่าพวกลูกคุณหนูทั้งหลายก็ได้ ใช่แล้ว อาจจะเป็นการทดลองใจว่านายเป็นคนโลภเหรอเปล่านั่นไง ใช่ อย่าหลงกลเธอเด็ดขาด

         “เอ่อ มันออกจะมากเกินไปหน่อย เดี๋ยวมื้อนี้เรากินน้ำเปล่าเอาก็ได้”

         แน่นอนว่าในชีวิตของเรา มันก็มีบางครั้งที่อยากเก็บเงินซื้ออะไรหรือไม่ก็เผลอใช้เงินเกินตัวจนหมดก่อนที่จะได้จากพ่อแม่ จะไปขอมันก็ออกจะทรพีเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพึ่งมาตลอดเวลาเจอวิกฤตนี้ก็คือตู้กดน้ำเปล่ามหัศจรรย์ของโรงเรียนนั่นเอง

         “ไม่ได้นะคะ!!!”

น้ำรีบพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นมา จนผมเผลอสตั้นไปชั่วขณะ หากดูสีหน้าของเธอแล้วมันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าตัวเธอนั้นตกใจมากแค่ไหน

“มะ…ไม่ได้นี่หมายถึงอะไรเหรอคะ?”

ผมถามด้วยความงุนงง เพราะกับอีแค่งดทานข้าวเที่ยงไปสักวันมันจะเป็นอะไรไป มากกว่านั้นผมกับเพื่อนก็เคยทำมาแล้ว แค่นี้สิว ๆ

“ฟ้าจะกินน้ำเปล่าไปมื้อกลางวันแบบนี้ไม่ได้นะคะ! เดี๋ยวป่วยไปจะทำยังไง”

“แค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

“ไม่ค่ะ อย่างไรก็ไม่ได้”

“แต่จะให้ยืมเงินเพื่อนเยอะขนาดนั้นมันก็….”

“เงินแค่นั้นให้เลยก็ได้ค่ะ สิ่งสำคัญคือสุขภาพของคุณต่างหาก”

โห… แม่คุณ รวยมาจากไหนเนี่ยยกเงินให้เลยหนึ่งพันฟรี ๆ ไม่คิดเงิน ว่าแล้วตาของผมก็เหลือบไปมองดูว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร

ธารินทร์ จิราวัฒนากุล

         นามสกุลคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน……

         แต่คิดไปได้ไม่นานก็เหมือนบรรลุธรรม จิราวัฒนากุล ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นตระกูลนักธุรกิจที่ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดแทบจะทุกสาขาในประเทศไทย ระดับที่ว่าเดินไปไหนอย่างน้อยมันก็ต้องเห็นชื่อตระกูลนี้ประดับอยู่อันดับต้น ๆ ของผู้ถือหุ้น

         และคนจากตระกูลที่ว่านั้นก็กำลังยื่นแบ๊งคสีเทาให้ผมแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ ทั้งสิ้น….

         นั่นสินะ มันเป็นแบบนี้เองสินะ โลกของคนรวยกับสามัญชนนี่มันช่างต่างราวฟ้ากับเหวจริง ๆ ว่าแต่อะไรมันดลใจให้เธอมาเกาะติดสามัญชนคนธรรมดาอย่างผมกันล่ะเนี่ย

         “นะคะ… รับเถอะค่ะ ไม่งั้นเราจะโกรธฟ้าจริง ๆ ด้วยนะ”

         โกรธ…..

         เพียงแค่ได้ยินคำนี้ผมก็รู้สึกเสียววาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง เพราะนี่เป็นสัญญาณอันตรายถึงชีวิตของเราได้ หากถามว่าทำไม….

         การทำให้เด็กสาวผู้นี้โกรธมันก็หมายถึงการทำให้ตระกูลใหญ่โตไม่พอใจ และแบบนั้นคุณพ่อของเธอที่เป็นเจ้าอิทธิพลก็อาจจะโมโหได้ที่มาทำให้ลูกสาวสุดรักของเขาต้องหงุดหงิด ซึ่งหนทางในการแก้ปัญหานั้นก็คือ….

         อ่าวไทย… ใช่ ผมจะโดนจับโยนลงไปที่อ่าวไทยอย่างแน่นอน!!!

         เอาล่ะณัฐเอ๋ย ตอนนี้มันเป็นการตัดสินว่านายจะให้ค่าอะไรมากกว่ากัน ระหว่างศักดิ์ศรีกับชีวิต…….แน่นอนว่ามันต้องเป็น…..

         “งั้นรบกวนด้วยนะคะ”

         ชีวิต…..

         เพียงแค่ตอบตกลง เด็กสาวผมสีทองตรงหน้าก็ยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะคว้ามือของผมแล้วเอาธนบัตรสีเทาวางใส่ในมือ ซึ่งแม้มันจะเป็นเพียงกระดาษอันเบาหวิว แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามันหนักอึ้งราวกับลูกเหล็กก็ไม่ปาน

         “แล้วฟ้าอยากกินอะไรไหมคะ”

         “อะไรก็ได้….ค่ะ”

         ไม่กล้าขัดคุณนางหรอกครับ…..

         “อะไรก็ได้นี่ของยากเลยนะคะ”

         “ก็เราเพิ่งมานี่นา ไม่ค่อยสันทัดร้านเท่าไหร่คุณน้ำเลือกให้เลยแล้วกัน”

         “งั้นเอาเป็นร้านนั้นแล้วกันนะ”

         เธอชี้ไปที่ร้านซึ่งดูแล้วน่าจะแพงที่สุด โดยมันมีราคาเขียนไว้ว่าเยอะกว่าร้านอื่น ๆ ถึงอีกเท่าตัวหนึ่งแต่อาหารเองก็ชั้นเลิศใช้ได้

         “นี่ร้านอร่อยสุดของโรงเรียนเลยนะคะ”

         “ค่ะ”

         ดูโหงวเฮ้งแล้วก็น่าจะใช่แหละ มีแต่อาหารต่างชาติทั้งนั้นเลย…. โห มียันสเต็กวากิว เอห้า นี่เขาขายของแบบนี้ให้กับนักเรียนด้วยเหรอเนี่ย โรงเรียนนี้มันสุดยอดไปแล้ว

         ด้วยความเกรงใจกับราคาที่ประดุจเหมือนเข้าไปกินในโรงแรมห้าดาว ผมจึงเลือกเพียงแค่แกงกะหรี่ง่าย ๆ เท่านั้น แต่ก็นั่นล่ะ ขึ้นชื่อว่าร้านราคาแพงมันก็เลยไม่ใช่ข้าวแกงกะหรี่ธรรมดา แต่เป็นข้าวที่ประดับไปด้วยเนื้อนำเข้าอย่างหรู……

         ซึ่งมันน่าประหลาดใจมากที่เด็กสาวคนนี้กลับไม่ได้สั่งของแพงกว่านี้แต่ดันมาสั่งแกงกะหรี่เหมือนผมซะอย่างงั้น แต่นั่นมันก็เรื่องส่วนตัว และผมก็ยังไม่อยากถูกนำไปลอยอ่าวไทย ดังนั้นผมจึงเงียบและเดินตามเธอจนเรามาหยุดอยู่ที่ที่นั่งของโรงอาหารติดแอร์แสนสบาย

         “ฟ้าคะ กินสิคะ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ”

 น้ำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้ผมรีบตักข้าวแกงกะหรี่เข้าปากอย่างเกร็ง ๆ แต่ทันทีที่คำแรกเข้าปาก รสชาติที่เข้มข้นของเนื้อวากิวและซอสแกงกะหรี่ที่กลมกล่อมก็ทำให้ผมชะงักไปชั่วขณะ รสชาติมันดีเกินกว่าที่คิดไว้ ผมแทบจะอยากบอกออกไปว่ามันอร่อยมาก

“เป็นยังไงบ้างคะ? อร่อยไหม?”

“อะ… อร่อยค่ะ”

ผมตอบกลับไปทั้งที่พยายามเก็บอาการไม่ให้ดูตื่นเต้นเกินไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผลออมยิ้มเบา ๆ ทำให้น้ำหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางของผม

“ดีใจที่ฟ้าชอบค่ะ”

ขณะที่พวกเราทานข้าวกันอยู่นั้น น้ำก็หยุดตักข้าวและยื่นมือมาจับข้อมือผมเบา ๆ จนผมสะดุ้งเล็กน้อย

“ฟ้าคะ มีข้าวติดอยู่บนแก้มค่ะ”

เธอกล่าวก่อนจะยิ้มหวาน และไม่รอให้ผมตอบอะไร น้ำก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าของเธอเช็ดข้าวที่ติดอยู่บนแก้มผมออกให้เบา ๆ ทำเอาผมรู้สึกร้อนขึ้นมาทันที มันประดุจเหมือนว่ามีใครเอาหินร้อน ๆ มาวางบนหน้าผมก็ไม่ปาน

“ขะ… ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฟ้าน่ารักแบบนี้ ถ้ามีอะไรต้องช่วยอยู่แล้ว”

โอ้โห มีชมกันด้วย…. ถึงชมไปผมก็ไม่มีอะไรให้คุณหนูหรอกนะครับ!!! แต่ใครเล่าจะพูดแบบนั้นได้

ทุกจังหวะของการกินข้าวเธอก็คอยทั้งเช็ดปากบ้าง ไม่ก็ตักอาหารมาเพิ่มให้บ้าง จนทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทานอาหารกับผู้ปกครองอย่างไรอย่างนั้น

อันที่จริงตามหลักการของเหล่าชายหนุ่มแล้ว การที่มีสาวงามมาคอยดูแลระหว่างการกินอาหารนี่คงเป็นหนึ่งในความฝันของชีวิตเลย ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ต่างกัน เพียงแต่ตอนนี้ความกดดันจากการกลัวอ่าวไทยมันมากเสียจนผมไม่สามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนหวานนี่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ฟ้าคะ พรุ่งนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?”

น้ำถามพร้อมกับจ้องตาผมด้วยสายตาที่เป็นมิตร แต่ความใกล้ชิดนั้นทำเอาผมชะงักไปชั่วครู่

“พะ…พรุ่งนี้?”

ผมอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันไปดื่มน้ำอย่างเร็ว บ้าน่า เราจะยังมีบรรยากาศสุดน่ากลัวต่ออีกงั้นเหรอ!! แต่ถึงแบบนั้นจำไว้นะณัฐ อย่าปฏิเสธหากไม่อยากทดลองน้ำในอ่าวไทย

“เอ่อ…ไม่เป็นไรครับ… เอ่อ…ได้ค่ะ”

“งั้นพรุ่งนี้เราจะเลือกร้านอร่อย ๆ ให้อีกนะคะ แต่รอบนี้ฟ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเลย เพราะเรายินดีดูแลฟ้าเสมอค่ะ”

เมื่อมันยากที่จะปฏิเสธก็มีแต่ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป

“งั้นก็… ขอบคุณนะคุณน้ำ…””

เมื่อทานอาหารเสร็จ น้ำก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้ผมอีกครั้งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ

“ฟ้านี่น่ารักจริง ๆ เลยนะคะ”

รู้สึกแค่วันแรกของการเรียน ผมจะโดนชมว่าน่ารักไม่รู้กี่สิบครั้งแล้วจากเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า และตอนนั้นเองผมก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของห้องอาหารที่เต็มไปด้วยออร่าสีชมพูของเหล่าสาวน้อยรอบ ๆ ที่กำลังจ้องมองมาที่พวกเรา ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเธอกำลังคิดไปถึงไหน แต่ผมนี่คิดได้ถึงแต่อ่าวไทยเท่านั้น

“ดูน่ารักจังเนอะ”

“ใช่ ๆ นอกจากเจ้าชายแล้วก็มีเด็กใหม่นี่ล่ะที่ดูอย่างไรก็เหมาะสม”

“ให้ตายสิ อยากเดินไปคุยกับเด็กใหม่บ้างจัง”

ดูเหมือนผมจะเริ่มตกเป็นเป้าสายตาทุกที นั่นทำให้ผมเริ่มรูกว่าตัวเองเริ่มเกิดอาการกลัวสังคมขึ้นกว่าเดิม ใช่ ผมไม่ค่อยชอบตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่เพราะมันทำให้อึดอัด ดังนั้นเมื่อทานข้าวเสร็จผมจึงรีบออกมาจากโรงอาหารโดยไว ซึ่งน้ำก็ไม่ว่าอะไรยังคงตามประกบผมไม่ห่าง

ขณะที่เราเดินออกจากโรงอาหาร น้ำหันมามองผมพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน

“ฟ้าคะ คราวหน้าถ้าลืมกระเป๋าเงินอีกบอกเราได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไปพลางคิดในใจว่า ครั้งหน้าต้องไม่ลืมกระเป๋าเด็ดขาด ไม่งั้นมีหวังอ่าวไทยได้เรียกหาแน่นอน

 

 

 

        

 

 

 

        

        

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด