ซวยจริง กลายเป็นสาวน้อยไม่พอยังเจอเหล่าเจ้าหญิงของโรงเรียนมาจีบอีก 37 วันอันแสนสงบกับคุณเจ้าชาย
“อะ…ที่สงบเหรอคะ”
ผมถามกลับไปอย่างระแวง เสียงสั่นนิดๆ พลางตอนนี้สภาพของอ่าวไทยเริ่มโผล่ขึ้นมาในหัวของผมเรื่อย ๆ พร้อมกับเหล่าปลาในอ่าวที่กำลงกวักมือเรียกหา
“ทะ..ที่ไหนงั้นเหรอคะ”
“อืม สวนสาธารณะน่ะ”
“สวนสาธารณะ?”
“ไม่ชอบเหรอ?”
“เปล่าค่ะ แค่….”
แค่กลัวว่าจะเอาเราไปฝังทั้งเป็นหรือเปล่าน่ะสิ…. ไม่ใช่ ๆ หลอนหนักไปแล้วฟ้า อย่าลืมสิ นี่คุณบีมนะ คุณเจ้าชายที่บอกว่าชอบเราในวันนั้นน่ะ
ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรกับเราหรอกน่า!!!
“แค่?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ….แค่คิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย”
“ฮะ ๆ หรือว่าอยากได้ดินเนอร์สุดหรูแบบเมื่อวานล่ะ”
คุณบีมยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น แต่นั่นทำเอาผมสะดุ้ง ในใจก็มีความสงสัยเกิดขึ้นมาว่าเจ้าชายคนนี้รู้เรื่องนี้ได้ไง ผมยังไม่ได้เล่าเลยนี่นา
“คุณบีมรู้ได้ไงเนี่ย”
“ความลับน่ะ ว่าแต่อยากได้บรรยากาศโรเมนติกแบบนั้นไหมล่ะ ถ้าอยากล่ะก็จะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยนะ”
“มะ…ไม่ต้องหรอก สวนสาธารณก็ดีเหมือนกันค่ะ”
คุณบีมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินคำตอบ ก่อนจะจูงมือผมเดินออกจากสวนสนุก ลูกน้องของเธอปรากฏตัวขึ้นมาทันทีราวกับวิญญาณ พวกเขารีบวิ่งขึ้นรถกันทันทีเมื่อเห็นว่าคุณบีมกับผมกำลังจะขึ้นรถคันหรูนั่น
“ให้คนไปเตรียมสถานที่แล้วล่ะ รับรองว่าฟ้าจะต้องชอบแน่ ๆ”
เราเดินทางมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางกรุงซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน มันเป็นสวนสาธารณะที่สวยงาม มีต้นไม้ร่มรื่นและสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง บรรยากาศเงียบสงบ มีคนเดินผ่านไปมาบ้างแต่ไม่พลุกพล่านมากนัก
ก็แน่ล่ะ อย่างที่คุณน้ำบอกว่าให้คนไปเตรียมสถานที่เอาไว้ให้แล้ว ถ้ามองไปรอบ ๆ ดี ๆ จะเห็นว่ามีเหล่าชายชุดดำยืนคอยตรวจตราหรือกันที่ไม่ให้คนเข้ามาบริเวณที่พวกเรากำลังเดินทางไปอยู่ ซึ่งก็เป็นไม่กี่ครั้งที่คุณเจ้าชายจะทำอะไรแบบนี้
ว่าแต่ทำแบบนี้ในที่สาธารณะจะไม่มีใครว่างั้นเหรอ
“สวยใช่ไหมล่ะ? นี่น่ะ โครงการของบ้านฉันเองล่ะ” คุณบีมถามพลางพาผมไปนั่งที่ม้านั่งริมสระน้ำ ส่วนผมก็ได้แต่มองรอบ ๆ อย่างทึ่ง ๆ และชมในใจว่าสมแล้วที่เป็นครอบครัวคนมีอิทธิพลหรือนักการเมือง
“อื้อ…สวยจริง ๆ นั่นล่ะ”
ผมตอบตามตรง เพราะสถานที่นี้สวยจริงๆ แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านใบไม้ลงมากระทบผิวน้ำ สร้างประกายระยิบระยับสวยงาม
“ฉันชอบมาที่นี่เวลาต้องการพักผ่อนน่ะ” คุณบีมเอ่ยเบาๆ “ที่นี่มันทำให้ลืมทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นภาระ…หรือเรื่องหนักใจ”
ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจ้องมองไปที่สระน้ำอย่างเหม่อลอยชั่วขณะหนึ่ง รอยยิ้มนั่นยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้กับช่วงเวลาอันแสนเงียบสงบก่อนจะหันหน้ามาหาผม
“แต่ว่านะ….พอได้เจอกับฟ้า…ได้พูดคุย ได้ยินเสียง เรื่องเหล่านั้นมันก็เบาลงราวกับกลายเป็นเพียงแค่ขนนกเลยล่ะรู้ไหม”
“วะ…เวอร์ไปแล้ว” ผมก้มหน้างุด ๆ หลบสายตาอันร้อนแรงที่ถูกส่งมาจากคุณเจ้าชาย
“แต่ฉันพูดจริงนะ” คุณบีมเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ “ฟ้าเป็นคนพิเศษสำหรับฉันจริงๆ”
“คะ…คุณบีม…”
“เพราะงั้นสำหรับคนพิเศษนี่แล้วฉันจึงมีอะไรที่อยากจะมอบให้น่ะ”
ตอนนั้นเองที่คุณบีมหันไปก่อนที่จะมีลูกน้องคนหนึ่งเดินถือกล่องสีดำขนาดใหญ่เดินเอามาให้ คุณบีมรับมันมาก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดมันออกช้า ๆ
อะไรอะ…ปะ…ปืนเหรอ
และนั่นมันก็เป็นความคิดเลอะเทอะของผมแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเพราะในมือของคุณเจ้าชาย สิ่งที่หยิบออกมาคือกีตาร์ตัวหนึ่งซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ผมเคยเห็นในคลิปที่พี่ทิพย์เอามาให้ดู
“กีตาร์?”
คุณบีมยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะวางกีตาร์บนตัก “ตั้งแต่วันนั้นที่ได้เจอฟ้า ฉันก็เริ่มแต่งเพลงนี้เลยล่ะ… อาจไม่ใช่เพลงที่ดีเลิศมากมายแต่ก็เป็นเพลงที่แต่งออกมาจากใจจริง ๆ ของฉัน”
“เพลงงั้นเหรอ?” ภาพรอยยิ้มของคุณเจ้าชายที่เล่นบทเพลงผ่านคลิปที่พี่ทิพย์เคยเอามาให้ดูได้ปรากฏขึ้นมาในหัวจนทำเอาผมเผลอหน้าแดงขึ้นมาเมื่อคิดถึงมัน
“เพลงที่บอกเล่าถึงความรู้สึกของฉัน… ความรู้สึกที่มีต่อฟ้า”
เสียงกีตาร์ค่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของสวนสาธารณะ นิ้วเรียวของคุณบีมไล้ไปตามสายกีตาร์อย่างแผ่วเบา ก่อนที่ท่วงทำนองอันไพเราะจะค่อยๆ บรรเลงขึ้น
ท่วงทำนองที่เธอเล่นช่างอ่อนหวาน ผสานไปกับเสียงน้ำในสระที่กระเพื่อมเบาๆ และเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ แสงแดดยามเย็นที่ลอดผ่านกิ่งไม้ทำให้ใบหน้าด้านข้างของคุณบีมดูอ่อนโยนกว่าที่เคย
เสียงร้องของเธอค่อยๆ แว่วขึ้น นุ่มนวลและหวานซึ้งยิ่งกว่าที่ผมเคยได้ยินในคลิป บทเพลงที่บรรเลงเล่าถึงความรู้สึกในวันแรกที่เราได้พบกัน บทเพลงถึงความสุขของเด็กสาวที่มีต่อผมว่าเธอดีใจมากขนาดไหนในห้วงเวลานั้น
ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ฟังเนื้อเพลงที่บอกเล่าความทรงจำของเราสองคน ทั้งตอนที่หัวเราะด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน ตอนที่ผมพยายามทำตัวเข้มแข็งทั้งที่กลัวจนตัวสั่น ทุกช่วงเวลาถูกร้อยเรียงออกมาเป็นบทเพลงที่งดงาม
ดวงตาของคุณบีมเป็นประกายอ่อนโยนขณะที่เธอร้องเพลง บางครั้งก็เหลือบมองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มบางๆ ทำเอาผมต้องก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ
มันคือบทเพลงเพื่อบ่งบอกความรู้สึกของผู้ขับขานที่มีต่อผู้ที่กำลังฟังอย่างแท้จริง บทเพลงที่ถูกแต่งมาเพื่อคนเพียงคนเดียเท่านั้น บทเพลงที่เพียงแค่ฟังก็ทำเอาให้คิดถึงได้แต่ความทรงจำดี ๆ ที่เรามีร่วมกันเสมอมา
บทเพลงที่สื่อว่าแม้เวลาที่พบกันจะแสนสั้นแต่มันก็มีค่าเพียงใดกับคน ๆ หนึ่ง ช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรสามารถมาแทนที่ได้
เมื่อบทเพลงจบลง ผมไม่อาจห้ามรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าได้เลย ความอบอุ่นแผ่ซ่านในหัวใจ นึกไม่ถึงว่าจะมีใครทำอะไรพิเศษแบบนี้ให้กับผม… บทเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อผมโดยเฉพาะ บทเพลงที่บอกเล่าความทรงจำดีๆ ที่เรามีร่วมกัน
คุณบีมวางกีตาร์ลงเบาๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“นี่คือความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันมีให้ฟ้า…” เธอเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณนะ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน”
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ…” ผมตอบกลับไปเบาๆ พลางยิ้มอย่างมีความสุข ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นที่กำลังจะลับขอบฟ้า…
“ความทรงจำอันงดงามพวกนี้…เราจะไม่มีวันลืมมันเลย”
“อืม…. ฉันเองก็เช่นกัน รอยยิ้มอันงดงามนี้ของฟ้าน่ะ จะไม่มีวันลืมมันเลย”
คุณบีมพูดขึ้นมาก่อนที่จะค่อย ๆ โน้มตัวของเธอแล้วค่อย ๆ เอาศีรษะมาพิงที่ไหล่ของผมจนทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะอยู่นิ่งปล่อยให้คุณเจ้าชายอิงแอบต่อไป
“นี่ฟ้า…วันนี้สนุกไหม”
“ค่ะ…สนุกมากเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ….ดีแล้วล่ะ”
“แล้วคุณบีมล่ะ สนุกไหม”
“แน่นอน เป็นวันที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ ดีจนไม่อยากให้มันจบลงเลย”
คุณเจ้าชายพูดต่อไปโดยที่ยังหนุนไหล่ของผมอยู่ ผมเหลือบมองไปก็พบรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ทว่าครั้งนี้มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เข้มแข็งของเจ้าชายอีกต่อไปแต่เป็นรอยยิ้มอันแสนสุขของสาวน้อยคนหนึ่ง
“ฟ้ารู้ไหม บางทีฉันก็อยากเป็นแค่คนธรรมดาๆ” คุณบีมพูดขึ้นมาขณะที่รอยยิ้มจาง ๆ ยังคงปรากฏบนใบหน้า “ไม่ต้องแบกรับอะไรมากมาย ไม่ต้องทำตัวให้สมบูรณ์แบบตลอดเวลา…”
ผมนิ่งฟัง รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่ใช่ด้วยความกลัวเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะได้เห็นอีกด้านของคุณบีมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไม่ต้องคิดมากอะไร ปล่อยใจไปตามสบายเหมือนสายลมที่พัดอย่างอิสระเสรี”
เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะหันขึ้นมาสบตากับผมก่อนที่ตัวของเธอจะค่อย ๆ เคลื่อนลงไปและใช้หัวนั้นหนุนเข้าที่ตักของผม ซึ่งการกระทำที่ปุบปับแบบนี้ก็ทำเอาผมตกใจเล็กน้อยแต่ก็ปล่อยไปเพราะว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของคุณบีม
“นี่ฟ้า”
“คะ?”
“ขอหนุนตักแบบนี้หน่อยได้ไหม”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้เป็นแบบเจ้าชายที่เข้มแข็งอย่างที่เป็นแต่กลับเป็นเสียงแสนหวานนุ่ม เสียงของสาวน้อยคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
“ตามสบายเลยค่ะ” ผมตอบกลับไปเบาๆ ขณะที่มือก็ลูบศีรษะของคุณบีมเบาๆ อย่างเอ็นดู ดวงตาของสองเราค่อย ๆ จ้องตากัน และสิ่งที่เห็นคือดวงตาสีน้ำตาลที่หวานซึ้งกำลังจ้องมาด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น
“นี่ฟ้า…” เธอเรียกผมอีกครั้ง เสียงของเธอเบาจนเหมือนกระซิบ
“คะ?” ผมตอบกลับ ขณะที่ยังคงลูบศีรษะเธอเบาๆ
“รู้ไหม… หลายคนมักจะบอกว่าฉันเป็นคนที่เข้มแข็ง ดูแลคนอื่นได้เสมอ แต่บางที…” เธอหลับตา รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนริมฝีปาก “ฉันก็อยากเป็นคนอ่อนแอบ้าง อยากมีคนที่ฉันพึ่งพาได้เหมือนกัน”
คำพูดของเธอทำให้ผมชะงักไปชั่วขณะ ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความสง่างามเสมอ ดูน่าทะนุถนอมขึ้นมาในวินาทีนั้น
“คุณบีม…” ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอในมุมที่เปราะบางแบบนี้
“มันเหนื่อยนะ ที่ต้องทำตัวเหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมตลอดเวลา” เธอพูดต่อ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ “เวลาที่ฉันต้องยิ้มให้ใครๆ ทั้งที่บางทีฉันก็อยากร้องไห้ อยากบ่น อยากอ้อนใครสักคนบ้าง”
“แล้วทำไมไม่ลองบ่นดูล่ะคะ?” ผมพูดขึ้น พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้เบาลง “คุณเจ้าชายไม่ต้องทำตัวสมบูรณ์แบบตลอดเวลาก็ได้นะ”
เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปิดตาและจ้องมาที่ผม “ฟ้า…ถ้าฉันบ่นไปเรื่อย ๆ แบบนี้ เธอจะยินดีฟังไหม?”
“แน่นอนสิคะ” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “จะฟังจนกว่าคุณจะพอใจเลยล่ะ”
“งั้นฉันขอบ่นหน่อยแล้วกัน…” เธอพูดด้วยน้ำเสียงติดขำ แต่แววตากลับดูจริงจัง
เธอสูดหายใจลึก ก่อนจะพูดต่อ “ฟ้า…รู้ไหมว่าตอนที่ต้องจัดการเรื่องของครอบครัว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางทีฉันต้องคอยระวังทุกคำพูด ทุกการกระทำ เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับคนรอบตัว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ผมถามพลางมองหน้าเธอด้วยความเห็นใจ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าภาระที่เธอแบกรับนั้นมันมากมายขนาดไหน คนที่ต้องจัดการอะไรเกินกว่าอายุของตัวเองตั้งแต่เด็กแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรสักวันก็ต้องมีวันที่รับไม่ไหว
“ใช่…แต่พอได้เจอฟ้า ฉันรู้สึกเหมือนโลกมันเบาขึ้นเลยล่ะ” เธอยิ้มบางๆ “ฟ้ารู้ไหมว่าตอนที่ฟ้าปกป้องเราน่ะ…เราดีใจแค่ไหน มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเองก็เป็นเหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่ง…คนธรรมดาที่มีคนแสนดีมาปกป้อง”
หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เธอพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่แววตากลับดูเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างจากผม
“ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าตอนนั้นเราสั่นกลัวเป็นลูกนกเลยนะ”
“ฮะ ๆ แต่ว่าสำหรับฉันน่ะ มันเท่มากเลยล่ะ เท่ซะจนอยากอ้อนเหมือนกับสาวน้อยคนหนึ่งเลยนะ”
นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าไอ้สิ่งที่คุณบีมบอกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันนั้นเธอจะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ และเมื่อจ้องมองลงไปสิ่งที่พบก็คือแววตาอันอ่อนแอของสาวน้อยคนหนึ่งที่หวังให้ใครสักคนมาดูแล เพราะงั้นผมจึงพูดออกไป
“จะอ้อนก็ได้นะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ถ้าอยากอ้อน…ก็อ้อนได้เต็มที่เลย”
เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะมือของผม “งั้นฟ้าต้องรับผิดชอบแล้วนะ รับผิดชอบเป็นคนที่ให้ฉันพึ่งพาเวลาที่อ่อนล้า เวลาที่สิ้นหวัง….”
“ระ..รับผิดชอบเหรอคะ?” ผมถามพลางหน้าแดงด้วยความเขิน
“ใช่” เธอตอบอย่างหนักแน่น “ตลอดไปเลยนะ?”
“ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
“อืม…คงต้องอ้อนจนกว่าฟ้าจะรับนั่นแหละ” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาและใช้สองแขนโอบรอบเอวผม “แบบนี้ไงล่ะ~”
“คะ…คุณบีม!” ผมร้องขึ้นด้วยความตกใจแต่สักพักคนขี้แกล้งคนนี้ก็หยุดมือของตัวเองลงก่อนที่จะยกมือของตัวเองขึ้นมาสัมผัสที่แก้มทั้งสองข้างของผม
“ฟ้า…” เธอเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงหวานซึ้ง ใบหน้าของเธออยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ “รู้ไหม… ฉันชอบเวลาที่ฟ้าทำตัวเท่แบบนี้ที่สุดเลยล่ะ”
ผมทำได้แค่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับเธอ ถึงจะไม่รู้ว่าคำว่าเท่ของผมนี้เธอหมายถึงในแง่มุมไหน แต่ในใจกลับรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาด
“ขออยู่แบบนี้อีกสักพักได้ไหม?” เธอถามเบาๆ
“ตะ…ตามสบายเลยค่ะ” ผมตอบกลับไปอย่างเขินอาย ขณะที่เธอก็ยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะหมุนหัวกลับมาหนุนตักของผมอีกครั้งหนึ่ง
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ แสงแดดยามเย็นที่กำลังจะลับขอบฟ้าทำให้ช่วงเวลานี้ดูพิเศษกว่าครั้งไหนๆ
“ฟ้า…ขอบคุณนะ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ต้องแข็งแกร่งตลอดเวลา” เสียงกระซิบเบาๆ ของเธอดังขึ้น ก่อนที่เธอจะหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
“ค่ะ…ขอบคุณเหมือนกัน ที่ไว้ใจเรา” ผมกระซิบตอบเบาๆ และลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างทะนุถนอม
ช่วงเวลาแห่งความสุขเช่นนี้ในใจหนึ่งก็อยากให้มันเป็นต่อไปเรื่อย ๆ แต่ว่าก็ยังมีบางอย่างค้างคาในใจเช่นกัน แบบเดียวกับคุณน้ำ…. ถ้าเกิดว่าผมไม่ใช่ผมแบบที่เธอคนนี้รู้จัก แล้วความรู้สึกที่มีกันอยู่ตอนนี้มันจะเป็นอย่างไร
“นี่ฟ้า….”
“คะ?”
“ทำไมถึงต้องยิ้มเศร้า ๆ แบบนั้นล่ะ หรือว่าฉันทำให้ไม่สบายใจ”
คุณบีมพูดขึ้นพลางดวงตาสีน้ำตาลนั่นก็เริ่มทอแววของความเสียใจจึงทำให้ผมเรียบส่ายหัวรัว ๆ
“ไม่หรอกค่ะ..แค่เรากังวลนิดหน่อย”
“กังวลเหรอ”
“ค่ะ…กังวลว่าบางที…บางทีหากเราไม่ใช่คนแบบที่คุณบีมคิด….”
“กังวลว่าถ้าเธอไม่ใช่คนที่ฉันคิด? หมายความว่ายังไงเหรอฟ้า?”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ใจมันสับสน ความลับที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้ ความจริงที่ผมกลัวว่าหากวันหนึ่งมันถูกเปิดเผย ความสัมพันธ์ที่งดงามแบบนี้อาจพังทลายลง
“ก็…” ผมเอ่ยเบาๆ เสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน “กลัวว่าถ้าเราทำอะไรผิดพลาด…หรือถ้าคุณบีมรู้เรื่องบางอย่าง… คุณบีมอาจจะไม่อยากอยู่ข้างเราก็ได้”
“ฟ้า”
“คะ..อ๊ะ”
จู่ ๆ คุณเจ้าชายก็ดึงศีรษะของผมลงไปจนตอนนี้หน้าผากของพวกเราทั้งสองสัมผัสกันและกัน ใบหน้าห่างกันไม่กี่เซนติเมตรจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่ส่งผ่านมา
บีมสบตาผม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอเปล่งประกายด้วยความจริงจังและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึก
“ฟ้า…ไม่ว่าฟ้าจะเป็นยังไง…หรือมีอะไรที่ฉันยังไม่รู้ ขอแค่เธอเป็นตัวของตัวเอง ฉันก็จะยังอยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ เธอเสมอ”
ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยนเมื่อมือของเธอยกขึ้นมาแตะที่แก้มของผม “เพราะสำหรับฉัน ฟ้าคือคนสำคัญที่ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าฟ้าจะกลัวอะไร หรือกังวลแค่ไหน…ฉันก็จะไม่ปล่อยมือจากฟ้าเด็ดขาด”
หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบระเบิด ความอบอุ่นจากคำพูดของเธอหลอมละลายทุกความกังวลที่ผมมี ราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงแค่เรา
“เข้าใจไหม?” เธอกระซิบเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้หัวใจผมสั่นไหว “สำหรับฉัน ฟ้าคือที่สุด…และจะเป็นแบบนั้นเสมอ”
ในวินาทีนั้น ผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ นอกจากพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาจากความลึกของหัวใจ
บีมยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกระชับศีรษะของผมแน่นขึ้น เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับโน้มตัวเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอมากกว่าเดิม
จากนั้น ริมฝีปากของเธอก็ประทับลงบนหน้าผากของผม…เบาและนุ่มนวล ราวกับกำลังทะนุถนอมสิ่งที่เธอรักที่สุดในโลก ความอบอุ่นจากสัมผัสนั้นไหลผ่านเข้ามาเหมือนกระแสน้ำอุ่นในฤดูหนาว มันไม่ใช่เพียงการสัมผัส แต่เป็นคำสัญญา เป็นความรู้สึกที่หนักแน่นและมั่นคงจนทำให้ผมแทบลืมหายใจ
ผมนิ่งค้างอยู่ในจังหวะนั้น ปล่อยให้หัวใจเต้นไปตามจังหวะของเธอ เมื่อเธอผละออก ใบหน้าของเธอยังคงอยู่ใกล้ ดวงตาสีน้ำตาลของเธอยังคงจ้องมองผมด้วยแววตาที่บอกทุกอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด
“อย่ากังวลไปเลยนะ” เธอกระซิบข้างหูผมหลังจากผละออกไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอฉายแววอ่อนโยนและมั่นคง “ฉันจะอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าฟ้าจะเป็นยังไง หรือเจอกับอะไร ฉันจะไม่ไปไหน”
คำพูดของเธอและสัมผัสอันอ่อนโยนทำให้หัวใจของผมอบอุ่นราวกับถูกห่อหุ้มด้วยแสงแดดยามเช้า
“ค่ะ…ขอบคุณนะ คุณบีม” ผมกระซิบตอบ และในอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกที่เธอมีให้มันมั่นคงเพียงใด…และมันทำให้ผมอยากเก็บช่วงเวลานี้ไว้ตลอดไป
Comments