ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 2-14
เมื่อคืนกกกอดคนตัวเล็กที่ใช้ปากทำให้เขาพอใจจนถึงช่วงตีสาม จากนั้นก็พามินจุนที่ผล็อยหลับไปล้างตัวแล้วพามานอนที่ห้องโทมะ แน่นอนว่าเวลาอาหารเช้ายังคงเปนเวลาเดิม แต่ถ้าหากมินจุนมีความกล้าเอ่ยขอเลื่อนเวลาก็อาจจะเลทได้สักครึ่งชั่วโมง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ พวกเขาจึงมาพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารในเวลาหกโมงครึ่งเหมือนเดิม
มือที่ใช้ถือช้อนกับศีรษะของมินจุนกวัดแกว่งไปมาจนกลายเป็นภาพหาดูได้ยาก คนเราสามารถสัปหงกได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไดกิถึงกับนับถือ แต่ไม่รู้เพราะอะไรศีรษะของโทมะถึงสั่นไปมาเป็นสปริงเหมือนกัน นั่งง่วงทั้งๆ ที่ถือช้อนอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อน
ร่างสูงม้วนผ้าเช็ดปากที่วางอยู่ข้างตัวให้แน่น ด้วยอารมณ์โมโหเล็กๆ
หลังจากศีรษะของมินจุนเอนไปซ้ายทีขวาที ชั่วพริบตาเดียวไดกิก็โยนผ้าเช็ดปากไปทางหน้าผากอีกฝ่ายอย่างแรง
กระสุนทะลุผ่านหัว! มินจุนคิดอย่างนั้นพลางกุมหน้าผากตัวเองแน่น ความเจ็บปวดทำเอาหายใจไม่ออก จากนั้นก็ลดมือลงแล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากไดกิ
“อึก! ไดกิ กระสุนที่หน้าผาก…. ใครยิงกระสุนใส่ผม….”
“อย่าสัปหงกตอนกินข้าว ถ้านายยังทำอีกระวังจะเจอของจริง เข้าใจไหม”
“ครับ!”
ร่างบางปิดปาก ‘ฉับ’ ตอบรับเสียงดังแล้วหยิบช้อนขึ้นมาอีกครั้ง โทมะเองก็ตื่นเพราะความวุ่นวายเมื่อครู่ ก่อนจะรีบตักข้าวอย่างเร่งรีบเพราะมินจุนโดนดุ ตักข้าวเข้าปากแท้ๆ แต่ไม่สามารถตั้งสติได้จนมันเข้าปากครึ่งหนึ่ง เข้าจมูกครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่คิดจะหยุดมือที่ตักข้าวกิน
“เอากล่องข้าวไปทำไมครับ ไปซื้อกินเอาก็ได้! ที่นั่นมีหมดแหละครับ”
มินจุนพูดกับเคนตะที่กำลังจัดกระเป๋าใบโตเตรียมของนู่นนี่นั่นไปมากมาย ตัวเขาไม่ชอบแบกของไปไหนมาไหนด้วย โดยเฉพาะเวลาไปสวนสนุก นอกจากกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์แล้วก็จะไม่พกอะไรไปอีก เพราะถ้าของเยอะมันเที่ยวเล่นไม่สะดวกสักเท่าไร มันเป็นสัจธรรมของชีวิตไม่ใช่เหรอ ยากูซ่าไม่รู้จักแม้กระทั่งหลักการใช้ชีวิตง่ายๆ พวกนี้เลยหรือไงนะ
“บอสไม่ดื่มน้ำมั่วๆ ครับ แล้วถ้าซื้อของกินที่นั่น อาจจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น….”
“อุบัติเหตุ? ยาพิษอะไรพวกนั้นเหรอครับ”
แววตาของเคนตะจริงจังขึ้นมา ทั้งๆ ที่เขาพูดเล่นๆ ติดรำคาญด้วยซ้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทางจริงจังจนทำให้มินจุนเสียใจที่ถามออกไปแบบนั้น
“งั้นเราอย่าพูดเรื่องน่ากลัวนะครับ เวลาคุณเคนตะพูดทีไร ผมรู้สึกเหมือนเป็นจริงทุกที”
“ก็เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครับ ท่านจินทาโร่ บอสรุ่นที่ห้าของอูเอยามะ……”
“หยุดเลย คุณเคนตะ ผมจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแล้ว วันนี้คือวันร่าเริงสดใส! เป็นวันที่ทุกคนจะไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน พอไปถึงแล้ว ผมจะซื้อแฮมเบอร์ ซื้อสายไหมให้โทมะกิน แล้วก็เล่นกันอย่างสนุกสนานเลย เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องสนุกไปด้วยกันนะครับ เข้าใจไหม ส่วนบอสของคุณน่ะ ผมจะปกป้องเอง ใช่แล้ว เดี๋ยวผมจะเป็นกิมีซังกุง[1]ให้เอง ไม่ต้องกังวลนะครับ”
“กิมีซังกุงเหรอครับ”
“เอ่อ ก็แบบ… หมายถึงผมจะลองกินก่อน ถ้ามันโอเค ไดกิก็กินได้ ประมาณนั้นแหละครับ”
คิ้วของเคนตะขยับไปมาเป็นคลื่นหลังมองท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมของคนตรงหน้า มันติดเป็นนิสัยไปแล้วเวลาเจอเรื่องตัดสินใจลำบาก จากนั้นจึงเอาข้าวกล่องที่โชทำเตรียมไว้ออกอย่างช่วยไม่ได้ จนเหลือเพียงน้ำเปล่าสองขวด ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายหลัง
“หม่าม้า ตงนี้ตึกๆ ตึกๆ เยย”
แน่นอนว่าวันนี้โทมะสวมเสื้อผ้าแบบคัพเพิลลุคในฝัน กางเกงยีนส์กับเสื้อแมนทูแมนสีขาวลายหยดน้ำ พร้อมห้อยโคอาล่าไอเทมยอดฮิตในช่วงนี้ไว้ที่ไหล่หนึ่งตัว เด็กน้อยวางมือบนสะดือพลางมองมินจุน
“หื้อ เจ็บตรงไหน”
“อื้อออ มะใช่ ตงนี้ตึกๆ เจยๆ”
ท่าทางบ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้นทำเอามินจุนทั้งเอ็นดู ทั้งเจ็บปวด โทมะไม่รู้จักแม้แต่การเล่นสนุกพื้นฐานทั่วไปด้วยซ้ำ สำหรับชีวิตเด็กอายุสามขวบจะมีอะไรได้บ้าง ก็แค่เล่นกับเพื่อน กิน อาบน้ำ แล้วก็กินอีกรอบ วนอยู่แค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ แต่โทมะไม่มีเพื่อนเล่นสักคนเดียวด้วยซ้ำ
เขาเลยคุกเข่าลงหน้าแล้วดึงเด็กชายเข้ามากอด
“ไม่เป็นไร เวลาเราสนุกมันก็จะตึกๆ แบบนี้แหละ หม่าม้าเองก็เป็นเหมือนกัน จับดูสิ”
จากนั้นก็จับมือน้อยๆ มาทาบบนหัวใจของตัวเอง มันเกิดอาการเต้นผิดปกติเพราะมีความสุขที่จะได้ใช้เวลากับไดกิทั้งวัน
“ว้าวว ตึกๆ เหมือนกังเยย”
อะไรกัน ของเราก็เต้นเร็วมากเลยเหรอ ร่างบางหัวเราะกับท่าทางของโทมะ โทมะเองก็กอดคอหม่าม้าหัวเราะลั่น
ทว่าทันทีที่อิสึกิและฮาคุโตะในชุดสูท คาดแว่นกันแดดไว้บนศีรษะเดินเข้ามาในห้อง เสียงหัวเราะเปี่ยมความสุขของมินจุนก็มลายหายไปภายในชั่วพริบตาราวกับจุดไฟบนเชือกไนลอน หลังจ้องมองไปทางชายหนุ่มทั้งสองคน
เดิมทีเขาตั้งใจจะไปกับโทมะ แล้วก็ไดกิแค่สามคน แต่ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ไม่มีทางยอมปล่อยให้บอสไปคนเดียวเด็ดขาด ทั้งคู่พร้อมจะคว้านท้อง แถมเคนตะเองก็ประท้วงด้วยความเงียบเหมือนคนพร้อมจะตายเช่นกัน สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจให้ไปด้วยกันทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเงื่อนไขของมินจุนมีเพียงข้อเดียวคือ ขอให้ไปแบบไม่ใช่ยากูซ่า ทว่าตอนนี้กลับโดดเด่นยิ่งกว่ายากูซ่าซะอีก! หลังได้เห็นทั้งสองคนปรากฎตัวพร้อมชุดสูทไม่ต่างอะไรกับบอดี้การ์ด ร่างบางเบนสายตาไปทางพวกเขา
“ผมให้เวลาสิบนาที ไปเปลี่ยนชุดให้เป็นชุดคนธรรมดา… ไม่สิ กับคนพวกนี้ต้องระบุให้ชัดเจน ไปเปลี่ยนใส่กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ต แล้วก็เสื้อโค้ตแทน เข้าใจไหมครับ สิบนาทีนะครับ แต่บางทีอาจจะหมดโอกาสก่อนเวลาก็ได้ ถ้าเกิดไดกิเดินออกมาจากห้องนั้น แล้วบอกว่า ‘ไปได้แล้ว’ เร็วเข้า รีบไปสิครับ”
พออาศัยอยู่กับบอสยากูซ่ามาสามเดือน น้ำเสียงของมินจุนก็ไม่ต่างอะไรกับบอสมาเอง ดั่งคำกล่าวที่ว่าหากสุนัขอาศัยอยู่ในสำนัก ก็กลายเป็นผู้ดูแลสำนักคนต่อไปได้ เมื่อได้รับคำสั่งฮาคุโตะและอิสึกิจึงพากันวิ่งออกไปอย่างเกรงกลัว
มินจุนมองพวกเขาพลางส่ายหน้าไปมา ยังไม่ต้องคิดไปถึงดีแลนด์เลย แค่นี้ก็รู้สึกเหนื่อยอกเหนื่อยใจตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากบ้านแล้ว และจังหวะนั้นประตูห้องของไดกิก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฎตัวของเจ้าของห้อง
เขาอุทานว่า ‘ว้าว!’ ออกมาอัตโนมัติ ตอนแรกกะว่าจะเอ่ย ‘สายแล้วนะครับ!’ ดักอีกฝ่าย แต่มินจุนกลับปรบมือรัวๆ เสียงดังและชื่นชมเซนส์ในการแต่งกายสไตล์ชุดออกรอบตีกอล์ฟอย่างเหมาะสม
“ไปได้แล้ว ฮาคุโตะกับอิสึกิล่ะ”
สายตาของร่างสูงไถ่ถามไปทางเคนตะ แต่มินจุนที่กำลังจับมือโทมะอยู่ก็รีบตอบทันที
“แต่งตัวอย่างกับบอดี้การ์ด ผมเลยบอกให้ไปเปลี่ยนชุดมาใหม่ครับ เดี๋ยวไปเจอกันที่รถเลย”
ไดกิจึงหยุดก้าวเดิน แล้วหันมามองมินจุนตั้งแต่หัวจรดเท้าช้าๆ ก่อนจะเบนสายตาลงมามองลูกชายที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ
ชายหนุ่มจ้องมองทั้งสองคนที่สวมชุดแบบคัพเพิล ห้อยโคอาล่าบนเสื้อโค้ตคนละตัวด้วยใบหน้าดุดัน
“นั่นอะไร”
“อะไร… หมายถึงอะไรเหรอครับ”
มินจุนอมยิ้มยักไหล่ขึ้นลงเหมือนไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร
“ชุด!”
ไดกิทำหน้าเครียดชี้ไปที่โคอาล่าบนไหล่
“อะ… อ๋อ เสื้อโค้ตไง! ช่วงนี้กำลังฮิตเลยนะครับ หมดแล้วหมดเลยไม่มีขายอีก เป็นเสื้อโค้ตคู่ของพ่อแม่กับลูกๆ มีแพนด้า สิงโต หนู มีทุกอย่างเลยครับ อ๊ะ ไม่มีเสือดาวแหะ น่าเสียดาย! แต่พวกเราใส่ได้แค่สีฟ้านี่นา ถึงมีก็ซื้อไม่ได้อยู่ดีเนอะ ฮ่าๆ ทำไมเหรอครับ ไม่ชอบโคอาล่าเหรอ”
ร่างบางอธิบายรัวราวกับปืนกล ไดกิดูปวดหัวมากก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง รู้สึกไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วจึงตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไปเดินห่างๆ”
โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่รถเบนซ์สีดำ แต่เป็นรถยนต์ธรรมดาๆ ผลิตในประเทศ มินจุนอุ้มโทมะนั่งบนคาร์ซีต แล้วคว้ามือไดกิที่กำลังจะเดินไปนั่งรถคันหน้าไว้
“วันนี้นั่งกับโทมะนะครับ ก็ปิกนิคกับครอบครัวนี่นา…”
ชายหนุ่มมองใบหน้าขึ้นสีแดงราวกับเขินอายของคนตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ สะบัดมืออกจากการเกาะกุมเบาๆ
“ฉันกับลูกไม่นั่งรถคันเดียวกัน โทมะเองก็รู้ดี”
หลังจากมินจุนได้รับความกระทบกระเทือนจากประโยคนั้นจนหัวใจสั่นไหว รถยนต์จึงเคลื่อนตัวออกจากบ้านและใช้เวลาครู่หนึ่งก็ขึ้นทางด่วน คนตัวเล็กนั่งเงียบพลางคิดทบทวนคำพูดของไดกิ แม้แต่เขาเองก็ยังพอเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับใครคนหนึ่ง อีกคนจำเป็นจะต้องอยู่รอด จู่ๆ มินจุนก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ได้แต่ส่ายหัวแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมาหาโทมะที่เขย่ามือของเขาอยู่
วันนี้จะเที่ยวให้สนุกเลย ต้องลงทุนขนาดไหนกว่าจะได้เวลานี้มา ช่วยตัวเองให้คนอื่นดูอะ! แล้วยังต่อหน้าหมอนั่นอีก ใช่ๆ ไม่ต้องคิดอะไร เที่ยวให้สนุกเถอะ
“โทมะ เรามาร้องเพลงกันไหม”
“อื้อ”
“เพลงภาษาเกาหลีนะ ฟังดีๆ ล่ะ”
“หมีสามตัวอยู่บ้านเดียวกัน…”
“หมีฉามตัวยุบ้างเดียวกัง…”
“มีพ่อหมี มีแม่หมี มีลูกหมี…”
“มีพ่อหมี มีแม่หมี มียูกหมี…”
[1] กิมีซังกุง ชื่อเรียกผู้มีหน้าที่ชิมอาหารของพระราชา ก่อนที่พระราชาจะเสวย
Comments