ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 2-15
สวนสนุกดีแลนด์ที่ชิบะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมาก ไม่ใช่แค่กับเฉพาะคนญี่ปุ่นเท่านั้น เพราะแม้แต่ในวันธรรมดาก็ยังเนืองแน่นไปด้วยคนในประเทศและเหล่านักท่องเที่ยว มินจุนเป็นกังวลว่าพอมาสถานที่ที่มีคนเป็นจำนวนมากแบบนี้ โทมะอาจจะกลัวจนร้องไห้ ทว่าด้วยความชื่นชอบผู้คนและมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นนิสัยพื้นฐาน โทมะจึงส่งเสียงกรี้ดกร้าดดูตื่นเต้นสนุกสนาน
เด็กน้อยดีดเท้าปึงปังอยากจะออกจากอ้อมกอดของบิดา ไดกิจึงปล่อยโทมะลง แต่ก็ยังจับมือน้อยๆ ของลูกชายที่ทำท่าจะวิ่งออกไปเอาไว้แน่น มินจุนเองก็รั้งโทมะแล้วกำชับอย่างจริงจังอยู่หลายครั้ง
“โทมะ จะไปไหนคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด ห้ามเลยนะ”
“คร้าบ~ ป๊ะป๋า หม่าม้าไปด้วย”
“โทมะ บอกว่าอยู่ข้างนอกให้เรียกจุนไง หม่าม้าเรียกได้แค่ที่บ้านนะ”
“คร้าบ~ จูอุน… จูอุน หนูหยักขึ้นหมุนๆ”
“อื้มๆ ไปขึ้นกัน”
ทว่าระหว่างที่ไดกิกับมินจุนพาโทมะไปที่ม้าหมุน พวกเขาก็พบเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งสัมผัสได้จากทุกๆ การก้าวเดิน ทุกคนที่เดินผ่านเอาแต่จ้องมองพวกเขาทั้งสามคนจนเดินชนกัน บางคนก็ถึงขั้นหยุดเดิน โดยเฉพาะคนที่มองโทมะ พากันเรียกคนข้างๆ ให้หันมามองแถมเดินตามมาข้างหลังอีกต่างหาก ไดกิขมวดคิ้วหมุ่นต่างจากมินจุนที่ทำเพียงยักไหล่ไม่สนใจ ร่างสูงจ้องเขม็งไปทางคนพวกนั้นราวกับจะควักปืนออกมาซะเดี๋ยวนี้ ทำเอามินจุนกังวลใจไปหมด
ในที่สุดก็มาถึงหัวมุมของเครื่องเล่นม้าหมุนจนได้ คนตัวเล็กรู้สึกใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ เหลือบมองไดกิที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ มากกว่ามองโทมะที่กระโดดโลดเต้นกระทืบเท้าปึงปังอย่างร่าเริงเสียอีก
“ไดกิ ผ่อนคลายหน่อยสิครับ”
“หนวกหู ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้แต่แรก ฉันไม่มาแน่”
“ฮะ! ไอ้ที่ต้องทำผมก็ยอมทำหมดแล้ว พอมาถึงก็พูดอย่างนี้เหรอครับ ดูโทมะสิ สนุกขนาดนี้ จะกลับไม่ได้นะครับ”
“ป๊ะป๋า จุอุน จะขึ้น จะขึ้นหมุนๆ!”
“โทมะต้องถึงคิวเราก่อน ถึงจะขึ้นได้นะ รอแป๊บนึง”
ไหนจะต้องอธิบายกับเด็กน้อยว่าให้รอจนกว่าจะถึงคิวของตัวเองก่อน เพราะเอาแต่ถามว่าเมื่อไรจะได้ขึ้นสักที ไหนจะต้องคอยสังเกตอารมณ์ของไดกิ มินจุนแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว เดี๋ยวดิ ฉันก็อยากเที่ยวเล่นเหมือนกันนะ! นี่มันเหมือนโดนลงโทษเลยไม่ใช่เหรอ โชว์ก็โชว์ให้ดูแล้ว มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ร่างบางตั้งใจจะหันพูดกับคนข้างตัว แต่พนักงานกลับเดินเข้ามาหาก่อน
“เอ่อ เด็กต่ำว่าสามขวบต้องนั่งกับผู้ปกครองนะคะ ไม่ทราบว่าท่านไหนคือผู้ปกครองของน้องเหรอคะ”
ใบหน้าของพนักงานสาวขณะพูดกับไดกิขึ้นสีแดง ถ้าเกิดไดกิพูดว่า ‘ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ’ เธออาจจะเป็นลมไปเลยก็ได้ เขามองดูอยู่ก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที
หึ ผู้หญิงพวกนี่นิ แค่เห็นก็ทรุดเลยสินะ แต่วันนี้เขาเป็นของฉันเหอะ นี่ๆ ให้ฉันเอาที่ปัดน้ำฝนมาติดตรงคางให้ไหม หยุดน้ำลายไหลได้แล้วน่า
“มินจุน นายขึ้น ฉันจะไปรอตรงโน้น”
“ไม่เอาครับ คุณเป็นป๊ะป๋านะ ต้องพาลูกขึ้นสิครับ คนนี้เขาเป็นป๊ะป๋าครับ ป๊ะป๋าของเด็กคนนี้ เข้าใจไหมครับ ป๊ะป๋าน่ะ”
มินจุนเบิกตาโตพลางเน้นย้ำคำว่าป๊ะป๋ากับอีกฝ่ายไม่หยุด พนักงานสาวเขินอายทำอะไรไม่ได้ถูกจึงได้แต่ตอบว่า “ค่ะ เชิญขึ้นรอบต่อไปได้เลยนะคะ” แล้วก็วิ่งหนีหายไปทางด้านหลัง
ไดกิกอดอกมองคนกระเง้ากระงอดพลางอุ้มโทมะขึ้นมา เป็นบ้าไปแล้วเหรอ มองด้วยสายตาเหมือนจะถามแบบนั้นโดยไม่พูดอะไร
“เวลาวันนี้ของคุณ เป็นของผมใช่ไหมครับ”
“อืม”
“งั้นก็กรุณาทำตามที่ผมบอกด้วยสิครับ”
“ให้มันพอดีล่ะ”
เมื่อได้ยินคำอนุญาตอย่างไม่คาดฝัน มินจุนก็ใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที ได้หนึ่งวันของไดกิมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ต่อให้ผู้หญิงคนอื่นตาลุกวาวจ้องมองอย่างไร ผู้ชายคนนี้ก็เป็นของเขา
พอขึ้นไปบนม้าหมุน โทมะก็เลือกนั่งยูนิคอร์นอย่างไม่ต้องสงสัย ปกติแล้วพวกเด็กๆ มักจะเลือกนั่งเป็นรถลากด้วยกันกับพ่อแม่ แต่โทมะกลับยืนกรานว่าตัวเองจะนั่งยูนิคอร์น ไดกิจึงจำต้องพาลูกชายขึ้นนั่งคร่อมยูนิคอร์นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนขึ้นไปนั่งร่างสูงส่งสายตาคาดโทษมาให้มินจุนอย่างจริงจัง แต่ร่างบางก็ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วปีนขึ้นไปนั่งม้าตัวข้างๆ แทน
เขาฝากฝังกับเคนตะไว้ว่าให้ถ่ายรูปโทมะทุกอริยาบทไว้แล้ว บางทีภาพตอนนี้อาจจะกลายเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์เลยก็ได้ เพียงแค่คิดก็เกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้ว มินจุนกัดริมฝีปากล่างตัวเองไว้แน่น
ดีแลนด์เป็นสวนสนุกที่สร้างขึ้นเพื่อเด็กๆ มีของให้เที่ยวชมมากมาย แต่เด็กน้อยอายุสามขวบอย่างโทมะ เวลาจะทำอะไรก็ต้องมีพ่อแม่ขึ้นด้วยแทบทุกอัน พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเล่นเครื่องเล่น ทุกทีมินจุนทั้งอ้อนวอนแล้วก็โดนบังคับขู่เข็ญ แต่วันนี้เขากลับไม่นึกกลัวอีกฝ่ายเลย ร่างบางตบไหล่ไดกิ แบ่งปันทุกความสุขที่สามารถสร้างกับโทมะให้ทั้งหมด
ทว่าระหว่างปรบมือหัวเราะด้วยความชอบใจไม่หยุด เขาก็ได้รับสายตาแกมบังคับขู่เข็ญอันน่ากลัวของไดกิเหมือนกัน ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายเมื่อต้องนั่งลงบนเครื่องบินจิ๋วที่เรียกว่าท้องฟ้าบรื้นๆ และสุดท้ายมินจุนก็เป็นคนขึ้นไปเล่นเครื่องบินกับโทมะแทนไดกิ
รางระดับสูงต่ำต่างกันอยู่ห่างจากพื้นดินหนึ่งจุดห้าเมตรฉวัดเฉวียนไปทางนู่นทีทางนี้ที เครื่องบินจิ๋วขับหมุนเวียนไปมาในระยะทางหนึ่งกิโลเมตร ท่าจะอยู่ในระดับที่มินจุนพึงพอใจ เขากับโทมะจึงส่งเสียงร้องอย่างสนุกสนานเป็นเพลง ‘เครื่องบิน บินแย้ว บินแย้ว’
เด็กชายมองเห็นไปเห็นผู้เป็นพ่อยืนอยู่ข้างล่างก็ตะโกนออกมาว่า ‘ป๊ะป๋า’ มินจุนเองก็เรียก ‘ไดกิ’ พร้อมโบกไม้โบกมือให้ ทางเคนตะที่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ ก็ได้เจอกับสิ่งเหลือเชื่อ พอได้ยินคุณชายน้อยร้องเรียก ‘ป๊ะป๋า’ และคำว่า ‘ไดกิ’ จากมินจุน มันคือภาพของบอส ผู้นำกลุ่มอูเอยามะ เจ้าของใบหน้าไร้อารมณ์ ที่ไม่ว่าจะเจอกับยากูซ่ากลุ่มไหนๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าอย่างไดกิ โจ กำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
โทมะหน้าแดงเปล่งปลั่งหลังจากได้เล่นเครื่องเล่นที่เด็กน้อยสามารถขึ้นได้หมดแล้ว เดินโหยงเหยงจับมือมินจุน ทำท่าเหมือนจะโบยบินออกไป
“จูอุน! โทมะซาหนุก ซาหนุกมั่ก”
“โทมะของเราสนุกมากเลยสินะ จุนก็สนุกเหมือนกัน ป๊ะป๋าก็สนุกใช่ไหมครับ”
ร่างบางเอาศอกสะกิดสีข้างพลางส่งสายตาให้ชายหนุ่มหน้าขาวซีด คล้ายเพิ่งกระโดดกลางอากาศจากระยะสองพันเมตรโดยไร้ร่มชูชีพ
“รีบบอกว่าสนุกสิครับ”
“กลับกันได้แล้ว”
“บ้าหรือไง! เพิ่งจะมาเองนะครับ”
ไดกิรู้สึกขมปร่า สำหรับเขามันมากเกินไป ให้ไปสู้มือเปล่ากับยากูซ่าเป็นสิบๆ คนยังจะดีกว่าซะอีก และเรื่องที่ทนไม่ได้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ มนุษย์เด่นสะดุดตาสองคนพากันเดินเชิดหน้าไปทั่วสวนสนุกพร้อมโคอาล่าเกาะบนบ่าคนละตัว แล้วก็เอาแต่เรียกชื่อเขาไม่หยุดไม่หย่อนนี่แหละ ตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนได้ยินแว่วๆ อยู่เลย
ร่างสูงคว้าแขนอีกฝ่ายทันที มินจุนจึงเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมอง ไดกิตั้งใจจะพูดว่า ‘กลับกันได้แล้ว’ แต่ชั่วขณะที่ได้สบสายตากับเจ้าของคำถามว่า “ทำไมเหรอครับ” พร้อมการอมยิ้มน่ารัก เขาก็คิดอะไรไม่ออกจนต้องเปลี่ยนคำพูดแทน
“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินก่อนเถอะ”
ไม่มีทางที่เขาจะหิวหรอก แต่กลับรู้สึกปั่นป่วนอย่างไรชอบกล… สองคนที่เหลือดีอกดีใจกับคำพูดของไดกิ ก่อนจะพากันเดินหาแฟมิลี่เรสเตอรองเพื่อเข้าไปทานอาหาร
ภายในรถยนต์ มินจุนเช็ดศีรษะของเด็กน้อยที่ตอนนี้สัปหงกจากความง่วงนอน พอนึกถึงรอยยิ้มเปี่ยมความสุขและสนุกสนานตลอดทั้งวันของโทมะแล้ว เขาก็ยกยิ้มพร้อมดวงตาแดงเรื่อ พอคิดๆ ดูแล้วไดกิก็ไม่ได้โมโหอะไรมากมาย แถมคอยเดินตามหลังโทมะ ทำหน้าที่ป๊ะป๋าได้อย่างดีเยี่ยม
ตอนอยู่ในร้านอาหาร มินจุนเลียนแบบท่าทางของกิมีซังกุง เขาใช้ช้อนคนอาหารทุกจานของไดกิแล้วนำมาจ่อที่ปลายจมูก แต่แล้วก็ต้องหัวเราะออกมา เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะโมโหถ้าทำแบบนั้น แล้วก็เริ่มเล่นตลกแอบเอาช้อนเข้าปากตัวเองเงียบๆ
เมื่อนึกถึงหน้าไดกิ เสียงหัวใจก็เต้นตุบๆ หน้าร้อนวูบวาบไปหมด วันนี้จะได้อยู่กับเขาไหมนะ
“ถึงแล้วครับ”
“ถึงปุ๊ปทำปั๊ปไม่ได้นะ… อย่างแรกต้องก็พาโทมะไปอาบน้ำแล้วพาเข้านอนก่อน ค่อย…”
“เอ่อ ท่านมินจุน!?”
ทว่าทันทีที่ได้ยินเสียงของเคนตะ มินจุนก็ลุกพรวด ก่อนกุมหัวตัวเองที่ชนเข้ากับเพดานรถยิ้มให้อีกคนราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่าๆ เพดานรถนี่เตี้ยจังเลย ผมไม่เป็นอะไรครับ ไม่ต้องกังวล”
“ครับ… ถ้าอย่างนั้น ผมจะอุ้มคุณชายไปเองนะครับ”
หลังเจอสายตาที่จ้องมองอย่างกังวลใจจากเคนตะ มินจุนหลีกทางให้อีกฝ่ายอุ้มโทมะลงจากรถ ไดกิลงมาก่อนหน้านี้แล้วกำลังยืนคุยกับเรน ผู้รับหน้าที่เฝ้าบ้านในวันนี้ ถึงจะไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยผ่อนคลายสบายๆ กลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง
เนื่องจากได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน โทมะเลยไม่งอแงแม้จะถูกปลุกขึ้นมาล้างหน้า แปรงฟัน และเมื่อพาเข้านอน หัวถึงหมอนปุ๊บ เด็กน้อยก็เข้าสู่นิทราไปในทันที ระหว่างที่เขากำลังบีบนวดเท้าเล็กๆ ของโทมะจากการวิ่งเล่นทั้งวัน ไดกิก็เดินออกมาจากห้องของตัวเองด้วยชุดสูทเต็มยศ
มินจุนไม่สามารถเอ่ยถามได้ว่าคืนนี้จะไปที่ไหน ได้แต่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วมองตาม ต่อให้ไดกิเมินเฉยกันแล้วเดินออกไปทั้งอย่างนั้น เขาก็ตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี วันนี้มันยังไม่จบลงด้วยซ้ำ เขาอยากเรียกร้อง อยากสั่งให้ทำตามใจตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอ
ร่างสูงรับรู้ถึงสายตานั้น จึงปล่อยให้เรนเดินออกไป ส่วนตัวเองเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก ชายหนุ่มตรงหน้าดูหล่อเหลามากจนมินจุนไม่อยากให้ใครเห็นเลย แม้ชุดลำลองจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่สำหรับไดกิน่ะ อย่างไรก็ต้องชุดสูทสิ ถึงจะเหมาะ
ไดกิเหลือบมองลูกชายที่หลับอยู่ ก่อนจะเบนสายตามาหามินจุน
“ยังไม่จบวันแท้ๆ ขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมจะทดไว้ เดี๋ยวจะคิดยันวินาทีเลย”
คนตรงหน้ายกยิ้มเล็กน้อย
“ดูไม่รู้เลยว่านายเป็นคนขี้กลัว หรือว่าไม่ใช่กันแน่ นายเป็นคนแรกเลยนะที่ใช้งานฉันหนักขนาดนี้ แต่ยังไงก็… พักผ่อนซะ”
“จะไปไหนเหรอครับ”
มินจุนสงสัยจนแทบบ้า และท้ายที่สุดก็เอ่ยถามจนได้
“โอซาก้า มีเรื่องต้องจัดการ ฝากโทมะด้วย”
โอซาก้า… หัวใจเหมือนหล่นลงพื้นดังตุบ โอซาก้าที่อยู่ของกลุ่มซึเอชิโร่ กลุ่มที่สังหารแม่แท้ๆ ของโทมะ ไดกิไม่รู้ว่าเขารู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว ร่างบางจึงพยายามซ่อนเร้นไม่แสดงความกังวลออกไป
“ทำไม จะฝากทักทายไทจิไหมล่ะ”
“ผมไม่มีธุระกับเขาสักหน่อย”
“เหรอ แต่เหมือนนายจะเคยบอกว่าตรงสเปกนะ”
“จำไม่ได้ครับ…”
เมื่อน้ำตาคล้ายว่าจะไหล มินจุนจึงหันหนีไปอีกทาง ไดกิจะไปพบใคร จะเกิดการต่อสู้กับกลุ่มซึเอชิโร่หรือเปล่า ในหัวเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวลจนถึงขั้นรู้สึกพะอืดพะอม
ไดกิประคองหน้ามินจุนด้วยสองมือให้หันกลับมามอง
“ร้องไห้ทำไม”
“ไม่ได้ร้องครับ”
“โกหก มีแต่น้ำตา คงไม่ใช่ว่าเพราะอดใช้ฉันยันดึกๆ ดื่นๆ ก็เลยโกรธหรอกนะ”
ใบหน้าบางร้อนรุ่มราวกับถ่านติดไฟหลังได้ยินคำพูดสองแง่สองง่าม
“พะ พูดอะไรของคุณน่ะ”
“หึ! ไหนว่าจะทดไว้นี่ รอแล้วกัน“
ร่างสูงหัวเราะขึ้นจมูก แต่ขณะที่อีกฝ่ายลดมือลง มินจุนก็รีบคว้าไว้อย่างรวดเร็ว
“จะกลับเมื่อไรครับ แล้วจะ… ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
แววตาของไดกิค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“มะรืนก็กลับแล้ว มีปัญหาก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าทำหน้าแบบนั้น”
เขาเลยวางใจหลังได้ยินคำยืนยัน ทว่าน้ำตาหนึ่งหยดกลับทิ้งสัมผัสลงบนหลังมือใหญ่ จังหวะนั้นไดกิส่งเสียงคล้ายเสียงคำราม ก่อนจะล็อกใบหน้ามินจุนแล้วประทับจูบลงไปอย่างรุนแรง
ริมฝีปากที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ลิ้นร้อนเกี่ยวตะหวัดราวกับไล่ล่า กระทั่งลิ้มของเขาอ่อนแรงจนเจ็บปวด แต่มินจุนก็ยังยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง ตอบสนองต่อรสจูบดุเดือดอย่างไร้สติ
“อ๊ะ…”
พอถูกขบกัดริมฝีปากล่าง เขาก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่ขาหายไปจากความเสียวซ่านที่เกือบกลายเป็นความเจ็บปวด ไดกิรั้งมินจุนเข้ามาใกล้แล้วโถมจูบต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผละออกอย่างนึกเสียดาย
“เดี๋ยวกลับมา”
ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงอดกลั้นเพียงสั้นๆ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก คล้ายขจัดสิ่งที่ติดค้างในใจออกหมดแล้ว
Comments