ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 2-2
ตอนเด็กๆ มินจุนเคยร้องไห้เพราะเห็นปลานอนแข็งตัวอยู่ในกล่องไม้ มันจะหนาวขนาดไหนกันนะ… ลำตัวของปลาก็งออยู่ด้วยนี่นา ถ้าน้ำแข็งละลายก็อาจจะคลายออกได้ แต่ท่าจะเจ็บเอวน่าดู… และตอนนี้มินจุนก็รู้สึกเหมือนอยู่ในกล่องแช่แข็งเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เอวของเขางอเหมือนปลาตัวนั้น ถึงจะมีผ้าห่มคลุมอยู่ แต่ก็มันก็ทั้งบางทั้งหนาว
‘ไม่ใช่ผ้าห่มห้องโทมะนี่… เอ๋ ที่นี่ที่ไหนหว่า’
มินจุนจับศีรษะตัวเองเมื่อรู้สึกเหมือนโดนแยกส่วนพลางขยับตัวไปมาใต้ผ้าห่ม จากนั้นก็ได้ยินเสียงจากที่ไหนสักที่
“ป๊ะป๋า หม่าม้าตายแย้วเหยอ”
“เปล่า ถึงตอนนี้จะยังไม่ตาย แต่พอตื่นมาก็คงรู้สึกอยากตายเองแหละ”
“มะอาว! หม่าม้าตายไม่ได้นะ”
แม้จะได้ยินเสียงร้องไห้ของโทมะ แต่หม่าม้าที่ยังไม่ตายและอยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างมินจุนก็ลุกออกไปข้างนอกไม่ได้ เพราะนึกออกแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน…
หลังจากกล่าวอรุณสวัสดิ์ราวกับคนบ้าแล้ว ร่างบางรีบก็คลานออกมาอย่างรวดเร็วอย่างกับฟ้าแลบแล้ววิ่งไปทางห้องน้ำ แม้ว่าร่างกายจะเริ่มละลายภายใต้ฝักบัว แต่ความหนาวเหน็บกลับไม่เบาบางลงเลย เพราะคำสั่งของเจ้าของห้องให้เปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อระบายอากาศเนื่องจากในห้องมีแต่กลิ่นเหล้า ซึ่งมันก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มินจุนรู้สึกเย็นยะเยือก ถูกทิ้งขว้างอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางเป็นปลาแช่แข็งกว่าหนึ่งชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่านั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองกลับสวมโค้ทตัวหนา…
มินจุนขยุ้มเส้นผมใต้สายน้ำอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำแรงขนาดไหนเส้นผมจำนวนหนึ่งถึงหลุดติดมือมาด้วย ยิ่งเห็นก็ยิ่งเจ็บหัวใจ โธ่ เส้นผมที่น่าสงสารของฉัน เจอเจ้าของไม่ดี เติบโตได้ไม่เท่าไรก็โดนถอนออกซะแล้ว ต้องหายไปเหมือนฝุ่นละอองสินะ…
ความโชคดีที่ยังพอมีอยู่คือเขาจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว รู้สึกแค่ว่าในความฝันตัวเองกำลังปีนเขาอยู่ตลอด มันก็ไม่ได้มีจุดไหนทำให้เกิดปัญหาได้ ทว่าปัญหาก็คือทำไมถึงได้ไปอยู่บนเตียงไดกิในสภาพเกือบเปลือยนั่นแหละ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด มินจุนได้แต่พึมพำว่าไม่น่าเลย ไม่น่าจริงๆ พร้อมกับภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิดแบบจริงจังที่สุดในชีวิตตลอดยี่สิบสองปีของตัวเอง
และพออาบน้ำเสร็จ ถึงรู้ตัวว่าไม่ได้เตรียมทั้งชั้นใน ทั้งเสื้อผ้าเข้ามาเลยสักตัว
‘เวรเอ๊ย ไดกิต้องนั่งอยู่ในห้องแน่ๆ ทำไงดีล่ะเนี่ย แล้วทำไมวันนี้เขาถึงไม่ไปทำงานเล่า!’
มินจุนค่อยๆ แง้มประตูออกมาดู โชคดีที่ในห้องนี้ไม่มีใครอยู่ เขาเลยรีบออกมาอย่างรวดเร็วแล้วเช็ดตัวด้วยความเร็วระดับเดียวกับแสง ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูผืนที่ใหญ่ที่สุดพันรอบเอวตัวเอง
“เดี๋ยวสิ ทำไมขาเรามีรอยช้ำเยอะอย่างนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นทั้งเตะ ทั้งถีบเราตลอดคืนหรอกนะ ไอ้พวกยากูซ่าเลือดเย็น!”
เดิมทีมินจุนเป็นคนมีขนบนร่างกายน้อยอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจนอกจากผิวกายเรียบเนียน ทว่าตอนนี้กลับมีลวดลายชวนมอง แต่ก็ชวนให้รู้สึกเจ็บแปลบๆ ด้วยกระจายเต็มไปหมด
เขาถอนหายใจยาวแสนยาว แทบจะยาวไปถึงเกาะเชจูแล้วเปิดประตูเพื่อจะออกจากห้อง
“อ๊ากกก! ผมผิดไปแล้ว! เวลากินเหล้า ผมจะจำอะไรไม่ได้เลย คือๆ โกรธอยู่เหรอครับ แต่ที่เข้าไปในห้องน่ะ… ผมไม่ได้มีเจตนาแฝงนะ ยังไงผมก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี…”
ทันทีที่เปิดประตูออก ก็พบไดกิในชุดกางเกงผ้าฝ้ายขนแคชเมียร์ตัวบาง ไม่ใช่ชุดสูทอย่างปกติ ยืนถือชุดคลุมตัวหนาในมือข้างหนึ่ง ร่างบางไม่แม้กระทั่งจะสบตาอีกฝ่ายขณะยื่นสองมืออกไปรับชุดคลุมพลางแก้ตัวไปด้วย อีกฝ่ายโยนชุดคลุมใส่โดยไม่พูดอะไรแล้วทำสัญญาณว่าให้เดินตามมา
‘อะไรเนี่ย ให้ใส่แล้วเดินตามไปเหรอ ก็พูดออกมาสิ ให้ตายเถอะ โคตรจะเท่เลย! ว่าจะตัดใจแล้วเชียว… ที่ว่างก็ไม่มีให้กัน แต่ดันมาทำให้ใจเราสั่นเพราะชุดลำลองแบบนี้ แล้วจะให้ทำยังไง มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ! ’
มินจุนปิดประตูลงอีกครั้ง เพื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วปลดผ้าขนหนูเปลี่ยนเป็นสวมชุดคลุมแทน การไม่ใส่ชั้นในมันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะการที่อีกฝ่ายเอาชุดคลุมมาให้สวม ก็คงจะไม่ทำอะไรหรอก เมื่อทำอะไรเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้อง แต่ก็ไม่พบไดกิแล้ว
พอเดินเข้าไปในห้องของโทมะก็เจอไดกิอยู่ที่นั่น บอกให้ตามมาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องหมายถึงที่นี่ แต่เนื่องจากท่าทางของชายหนุ่มทำให้หัวใจของมินจุนเหมือนกระโดดอยู่บนแทรมโพลีน หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับนักกีฬาที่วิ่งถึงเส้นชัยไปอีก 1000 เมตร มินจุนวางมือบนอกยืนลูบ และปลอบประโลมหัวใจตัวเองที่อยากจะพุ่งพรวดออกมา โทมะเห็นมินจุนแล้วถือขวดยาบางอย่างวิ่งเข้ามาหา
“หม่าม้า ตะไมนอนกับป๊ะป๋าล่ะ มะจ้อบโทมะเหยอ”
หัวใจของมินจุนร่วงหล่นทันที ไม่รู้หรอกว่าเมื่อวานตัวเองทำเรื่องบ้าๆ อะไรลงไปบ้าง แต่ในฐานะแม่เขากลับทิ้งโทมะไว้คนเดียวแล้วคลานขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงไดกิ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมากับความรู้สึกผิด มินจุนสวดกอดโทมะพร้อมกับลูบศีรษะเล็กๆ
“ไม่ใช่นะ หม่าม้าชอบโทมะที่สุดในโลกเลย เมื่อวานมัน… นิดหน่อยน่ะ…”
“ป๊ะป๋าบอกว่าอยากนอนกับหม่าม้า”
น่าตกใจที่ไดกิยอมทำตามคำขอของมินจุนเพื่อพูดให้โทมะเข้าใจ เด็กน้อยจึงเผยรอยยิ้มสดใสกระโดดหยองเหยงบนพื้นพรมอีกครั้ง
“อ๋า~ หม่าม้ากับป๊ะป๋านอนด้วยกัง หม่าม้าก้ะจ้อบโทมะ ช้ะมะ”
“ชะ… ใช่ ชอบมากๆๆ เลย”
ไดกิจ้องมองไปทางคนขอบตาแดงและโทมะที่กำลังยิ้มแย้มสดใส ก่อนจะจับแขนมินจุนมานั่งที่เตียง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า ทันทีที่โดนเลิกปลายเสื้อคลุมขึ้น ร่างบางก็รีบจับมันไว้แน่นตามสัญชาติญาณทันทีพร้อมส่งเสียงร้องออกมา
“จะ จะทำอะไรครับ กลางวันแสกๆ …แบบนี้ ไม่สิ ตอนเช้า…”
“หนวกหู คิดว่าฉันจะทำอะไร เอามือออก!”
มินจุนเลยวางสองมือลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยทันทีที่ไดกิสั่ง จากนั้นก็กลั้นหายใจเฝ้ามองการกระทำของอีกฝ่าย ไดกิเลิกชายเสื้อคลุมขึ้น แต่ปิดบริเวณต้นขาอ่อนขึ้นไปเพื่อปกปิดส่วนสำคัญ แล้วรับขวดยาที่โทมะวิ่งถือเข้ามาให้เมื่อเห็นว่าป๊ะป๋ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วทามันลงไปบนรอยช้ำสีเขียวเข้ม มินจุนตกใจกับการกระทำอันคาดไม่มากจนภายในหัวที่เจ็บแปลบๆ แทบจะกลายเป็นความตื่นตะหนก
“ผะ ผมทำเองครับ”
“อยู่เฉยๆ ถึงจะเคยบอกไปแล้ว แต่บ้านฉันสร้างบนที่ราบ ไม่มีทางคดเคี้ยว หรือทางลาดชัดอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับ”
แม้ไม่รู้ว่าไดกิกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่มินจุนก็พยักหน้ารับอย่างไม่ขัดขืน พอมือใหญ่เริ่มคลึงเป็นวงกลมบนรอยช้ำ ไม่สิ เมื่อทำแบบนั้นเพื่อทายา ร่างบางก็หลับตาแน่นให้กับความรู้สึกบางอย่างและพยายามจะอดทนพลางคิดถึงเรื่องอื่นๆ แต่ไม่รู้ทำไมมืออีกฝ่ายถึงเลื่อนจากรอยช้ำไปถึงขาอ่อนด้านในได้ มินจุนเลยส่งเสียง ‘อ๊ะ’ ออกมาพร้อมถดตัวไปทางด้านหลัง
ไดกิเงยหน้ามองมินจุน มินจุนสายหัวในใจเต็มไปด้วยคำว่า เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ…
“คือมันเจ็บก็เลย… ผมก็เองก็ไม่รู้ว่าทำไม”
“อย่ามาเล่นตลก”
“ไม่ใช่นะครับ แต่ตรงนั้นมันเป็นจุดที่ทำให้ผมรู้สึก…”
มินจุนขยับสายตาไปทางนั้นทีทางโน้นที ระหว่างพูดต่อไม่ถูก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนเคนตะเจะดินเข้ามา
ไดกิใช้ผ้าคลุมปิดขาอ่อนของมินจุนทันที
“ขออภัยครับ…บอส”
เมื่อเคนตะเห็นมินจุนอยู่ในชุดคลุมก็รีบกล่าวขอโทษพร้อมหันหนีไปอีกทางหนึ่ง
“มีอะไร”
“เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วครับ”
“อืม พาโทมะไปรอที่ห้องอาหาร”
“ครับ”
เมื่ออีกฝ่ายเรียก โทมะก็ไม่ขัดขืนยอมให้เคนตะอุ้มแต่โดยดี “หม่าม้าเจอกังที่ห้องอาหารน้า” แถมยังโบกมือให้แล้วหายออกไป
อะๆ ไม่ได้นะ โทมะขอร้องล่ะ เวลาแบบนี้อย่าทิ้งหม่าม้าไว้กับป๊ะป๋าตามลำพังสิ มินจุนกลืนคำพูดที่เกือบจะหลุดปากลงไปอย่างยากลำบาก แล้วฝืนยิ้มโบกมือให้โทมะ
พอเหลือกันอยู่แค่สองคน ไม่รู้เพราะอะไรแต่เขาคิดว่าสัมผัสของไดกิให้ความรู้สึกนุ่มนวลขึ้น แน่นอนว่าคนตรงหน้าต้องโมโหกันอยู่แน่ๆ ไม่รู้หรอกว่าตอนเมาแล้วตัวเองไปทำอะไรเอาไว้ แต่มีสองอย่างที่คงพอจะยืนยันได้
ก็คือทั้งการคิดจะขึ้นคล่อมไดกิด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและคำสบถติดปากนั่นต้องจบลงด้วยความล้มเหลวแน่นอน…
เขาทนต่อความเงียบแสนหนักหน่วงนี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าจะต้องพูดอะไรบางอย่าง ทว่าคำถามต่อมาของไดกิก็ทำเอามินจุนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“นายชอบฉัน?”
ไดกิลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองด้วยสายตาเฉียบคม ร่างบางถูกดึงดูดด้วยสายตานั้นจนได้แต่อ้าปากผะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก อึดอัดราวหัวใจราวกับโดนรัดด้วยหนังยาง ร่างสูงเชยคางมนขึ้นให้มองหน้ากัน
“อย่าให้ต้องถามอีกเป็นครั้งที่สอง ชอบฉันหรือไง”
แม้มันจะเป็นสิ่งที่ตัวเองยืนกรานมาตลอด แต่ดูเหมือนวันนี้ไดกิจะเอ่ยถามแบบมีความหมายแฝง ร่างบางจึงผลักอีกฝ่ายออก
“นั่นมัน… มัน… บอกไม่ได้ครับ”
มินจุนไม่สามารถตอบได้ว่า… ชอบ เพราะเขาไม่มีความมั่นใจมากพอในการรอฟังคำที่คนตรงหน้าจะสวนกลับมา หลังจากตัวเองสารภาพไป
‘มันก็เป็นสิทธิ์ของนายที่จะชอบฉัน แต่ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักครั้ง เลิกฝันได้แล้ว’ มินจุนนึกภาพไดกิพูดแบบนั้นต่อหน้าคล้ายใช้มีดตัดฉับแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอยู่คนเดียว
“งั้นเหรอ คิดดูให้ดีๆ แล้วกัน แล้วฉันจะมาถามใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปห้องอาหารซะ”
Comments