ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 2-3
มินจุนนั่งลงที่หน้าโต๊ะอาหารว่างเปล่าพลางหันมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ โทมะนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเด็กเหมือนปกติ เอาหน้าท้าวกับโต๊ะมองเขาแล้วอมยิ้ม ส่วนไดกิที่มักจะจิบกาแฟพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์เสมอกลับนั่งไขว่ห้างพิงหลังสบายๆ กับเก้าอี้โดยไม่มีหนังสือพิมพ์ในมือ จ้องมองมาทางเขาอย่างทะลุทะลวง รอบดวงตาปรากฎรอยยิ้มแปลกๆ ไม่รู้ทำไมท่าทางอีกฝ่ายถึงชวนให้มินจุนเสียวสันหลังขึ้นมา
“โทมะจะกิงข้าวพ้อมหม่าม้าเลยยังมะกิง กิงด้วยกังนะ”
“อ๋อ โทมะยังไม่ได้ทานข้าวนี่เอง แล้วป๊ะป๋าล่ะ”
“ป๊ะป๋ากิงแย้ว”
‘แล้วทำไมยังนั่งอยู่อีกเล่า ช่วยหายไปที่อื่นจะดีมาก’
คนตัวเล็กเหลือบมองไดกิด้วยความไม่สบายใจ และตอนนั้นกลิ่นหอมชวนคิดถึงลอยมาเตะจมูกพร้อมๆ กับถาดที่ถูกยกออกมา ว้าว ซุปถั่วงอก! อาหารแก้อาการเมาค้างในตำนานของเกาหลีที่ต้องกินให้ได้หลังจากดื่มเหล้า เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเตรียมซุปถั่วงอกชั้นยอดให้ตัวเอง จู่ๆ ความเกลียดชังทั้งหมดก็กลายเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คล้ายมวลสารเล็กๆ อย่างอะตอม ไม่สิ เป็นอนุภาคฮิกส์[1]หรืออะไรก็ตามที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้และจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อซุปถั่วงอกยกมาวางตรงหน้า มินจุนมองไปทางไดกิแล้วยิ้มส่งคำขอบคุณพร้อมหยิบช้อนขึ้นมา ทว่าขณะกำลังจะตักซุปตรงหน้า ชายหนุ่มก็ยกมือหยุดเขาไว้
“เดี๋ยวก่อน เอาเข้ามา”
เดี๋ยวสิ แค่นี้ก็พอแล้วนะ จะสั่งให้เอาอะไรมาอีกล่ะ น้ำผึ้งเหรอ มินจุนมองชินบะถือถาดมาให้ไดกิด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้า
พอคนตรงหน้าทำมือส่งสัญญาณ ถาดซุปถั่วงอกของมินจุนก็ถูกย้ายไปไว้ตรงหน้าไดกิทันที
“หลังดื่มเหล้าก็ต้องกินซุปถั่วงอกรสเผ็ดสิ ถึงจะสุดยอด ว่าไหม ฉันก็เลยเตรียมไว้เพื่อนายโดยเฉพาะ ไปซื้อถึงร้านอาหารเกาหลีที่ไกลออกไปถึงสิบสามกิโลเลยนะ “
ชินบะนำอาหารที่บนถาดที่ตัวเองถือมาให้มินจุนดู
มันคือจานสีขาวที่เต็มไปด้วยพริกสีแดงเข้มกับพริกชองยัง[2]แสนเผ็ดร้อนจนจมูกแทบหยุดทำงาน
ไดกิไม่ได้ใช้ช้อนของเด็ก แต่เป็นช้อนสำหรับผู้ใหญ่ตักพริกขึ้นมาจนพูนใส่ในถ้วยซุปถั่วงอกควันฉุยแล้วคนให้เข้ากัน
“แค่นี้คงไม่พอใช่ไหม นายเป็นคนเกาหลีแท้ๆ เลยนี่”
จากนั้นก็พริกขึ้นมาจนพูนใส่ถ้วยซุปอีกช้อนพร้อมคนอย่างตั้งใจเพื่อให้มันละลายเข้ากัน ก่อนจะเลื่อนถ้วยมาให้เขา
ภายในหัวของมินจุนที่เมื่อครู่คิดไปถึงอนุภาคฮิกส์ รวมถึงก้อนความเกลียดชังที่สลายหายไป มันเพิ่มหัวข้อเลวร้ายเข้าไปอีกหนึ่งและเริ่มรวมตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว
‘ว่าแล้วว่าทำไมถึงมาทำดีด้วย ทั้งเอาเสื้อคลุมมาให้ ทายาให้ ไหนถามอะไรแปลกๆ แถมเตรียมซุปถั่วงอกให้… ไอ้คนต่ำช้า เอาของกินมาเล่นตลกได้ไง’
โทมะกังวลเมื่อเห็นมินจุนเริ่มมีท่าทางฟืดฟาดจึงเอามือน้อยๆ ลูบหลังมือเบาๆ
“หม่าม้า อังนี้อาหย่อยมั้ย”
โทมะตักซุปถั่วงอกสีใสตรงหน้าขึ้นมาช้อนหนึ่ง และเมื่อกินเข้าไปก็ร้องว่าอาหย่อยๆ ออกมา
“รีบกิน ฉันรออยู่”
‘ไดกิ ไอ้คนเลว ถ้าฉันกินซุปนี้เข้าไปแล้วเผ็ดจนตายนะ ต่อให้ต้องกลายเป็นผีก็จะมาตามหลอกนาย เอาพริกมาโปรยใส่นายไปตลอดชีวิตเลย’
มินจุนตะโกนร่ำร้องอยู่ภายในใจพลางมองซุปถั่วงอกสีใสของโทมะด้วยความอิจฉา ก่อนจะตักซุปถั่วงอกที่กลายเป็นสีแดงของตัวเองเข้าปากด้วยมือสั่นเทา
“นี่อะไรเหรอครับ”
ระหว่างมินจุนกำลังจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าของโทมะก็เจอเข้ากับผ้าห่มผืนเล็กสีดำ เขาจึงเอ่ยถามเคนตะ
“เป็นผ้าห่มที่ท่านโทมะเคยใช้ตอนเป็นทารกครับ ท่านโทมะชอบมากไม่ยอมทิ้งเลยเก็บไว้น่ะครับ”
เขามองผ้าห่มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างสนใจและเมื่อคิดอะไรบางอย่างออกเลยร้องเรียกโทมะ
“โทมะ~”
เด็กน้อยเพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นกับเคนตะเสร็จ และตอนนี้กำลังระบายสีลงบนกระดาษสีขาวอยู่ในห้องเรียน
ถึงจะไม่น่าตกใจขนาดนั้น แต่เคนตะก็เป็นคุณครูโรงเรียนประถมที่ผ่านการสอบมาแล้ว ไม่รู้เหตุผลหรอกกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เลือกทางนั้นต่อ แต่กลับมาเป็นยากูซ่าแทน แต่ที่แน่ๆ คือโทนน้ำเสียงเคนตะไม่มีความสูงต่ำและไม่ควรเอาไปใช้กับใครนอกจากคนป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ ตัวอย่างก็เห็นได้จากมินจุนกับโทมะ ทั้งคู่เข้าเรียนด้วยกันยังไม่ถึงหนึ่งนาที หัวก็สักปงกเหมือนตุ๊กตาติดสปริง การที่คนๆ นี้ไม่ไปเป็นครูสอนนักเรียนประถมวัย แต่เลือกจะมาเป็นยากูซ่าต้องเป็นพรจากสวรรค์ประมานให้แก่เด็กๆ ในประเทศญี่ปุ่นแน่นอน
“คร้าบ หม่าม้า~”
โทมะวิ่งมาหามินจุนทั้งๆ ที่สองมือเต็มไปด้วยสีเทียน
“โทมะ จำครั้งก่อนที่ทำข้าวห่อสาหร่ายกินกับหม่าม้าได้ไหม”
เด็กน้อยเอียงคอครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าแล้วหัวเราะเสียงดัง
“อื้อ ข้าวฉีดำ!”
“นั่นแหละๆ ข้าวสีดำ! โทมะเรามาเล่นห่อข้าวกันไหม”
“เย่นๆ”
ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอได้ยินคำว่าเล่นโทมะก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้น ยิ้มแย้มและส่งเสียงร้องอย่างสนุกสนานไปรอบๆ ตัวมินจุน
“งั้นเอาสีเทียนไปเก็บแล้วล้างมือก่อนนะ”
“คร้าบ~”
“โทมะเป็นข้าวนะ”
“อื้อๆ โทมะเปงข้าว! เปงข้าว”
มินจุนปูผ้าห่มสีดำผืนนั้นไปทางโทมะ “วันนี้คือวันกินข้าวห่อสาหร่าย! ตักข้าวขึ้นมา” ก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กวางลงไป
“ว้าว! ซาหนุกจังๆ”
จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูอีกผืนที่เตรียมไว้ก่อนแล้วมาวางไว้ข้างๆ โทมะอีกที
“นี่คือหัวไชเท้าดอง… อะ วันนี้มีแต่หัวไชเท้าดองแฮะ งั้นทำข้าวห่อสาหร่ายหัวไชเท้าดองเนอะ”
ว่าแล้วก็เริ่มม้วนผ้าห่มที่มีโทมะอยู่ข้างใน ด้วยการหมุนๆ กลับหัวกลับหางไปด้านหน้า โทมะสนุกสนานหัวเราะเสียงใสก้องกังวาน แม้เสียงหัวเราะของโทมะที่ดังสะท้อนไปทั่วห้องภายในบ้านของยากูซ่า ซึ่งครองพื้นที่ส่วนหนึ่งของโตเกียวจะให้ความรู้สึกไม่เข้ากันสักเท่าไรนัก แต่มินจุนก็มีความสุข
“อ้าว ด้านข้างแตกซะแล้ว”
มินจุนจั๊กจี้เข้าที่สีข้างเด็กน้อย โทมะจึงขยับดุ๊กดิ๊กไปมาเหมือนงูอยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างบางหันไปมองเคนตะที่กำลังเฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้ากระตุกอยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะเช็ดหางตาที่น้ำตาไหลเนื่องจากหัวเราะมากเกินไปแล้วเอ่ยถาม
“ทำไมเหรอครับ คุณเคนตะก็อยากเล่นเหรอ”
“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น…”
นั่นมันก็แค่จับเด็กนอนไม่ใช่หรือไง เคนตะมองมินจุนด้วยสายตาแบบนั้นพลางส่ายหัว
“ไม่มีอะไรครับ”
ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือของเคนตะก็ดังขึ้น เจ้าตัวกดรับสายด้วยสองมืออย่างสุภาพ
[ฉันเอง โทมะล่ะ ทำไมถึงเสียงดังขนาดนี้]
“ท่านโทมะกับท่านมินจุนเล่นกันอยู่ครับ”
[เล่นเหรอ เปลี่ยนสาย!]
แม้จะไม่ได้ระบุว่าเปลี่ยนสายให้ใคร แต่เคนตะก็ส่งมือถือไปทางมินจุนแล้วพูดอย่างนอบน้อม
“บอสครับ”
ร่างบางหยุดหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นไดกิ คลายผ้าห่มให้โทมะแล้วรับโทรศัพท์ไป
“มินจุนครับ”
[ทำไมเสียงดังนัก]
“คือ..”
“ป๊ะป๋า โทมะเปงข้าว ข้าวห่อสาหย่าย ฮ่าๆ ข้าวห่อสาหย่าย!”
พอรู้ว่าเป็นสายจากพ่อ โทมะก็จับมือถือแล้วตะโกนเข้าไป
[เล่นแบบปกติกันไม่ได้เลยใช่ไหม]
“ผมก็คิดว่ามันปกติแล้วนะครับ โทมะเองก็ชอบ”
[ฉันอยากให้ลูกฉันเป็นคน ไม่ใช่ข้าวห่อสาหร่าย เห็ด หรือสีเทียน]
“จะพยายามครับ”
[ดี ฝากด้วย วันนี้พาโทมะนอนสักสองชั่วโมง ตอนห้าโมงฉันจะเข้าไปรับ]
“วันนี้จะออกไปทานข้าวข้างนอกเหรอครับ เยส! ผมเองก็ต้องนอนสักสองชั่วโมงด้วยใช่ไหม ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนห้าโมงนะครับ”
[แค่โทมะก็พอ]
ความคาดหวังที่คิดว่าจะได้ไปด้วยกัน ความอ้างว้างใจสลายพร้อมความอับอายที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็ถาโถมเข้ามาในชั่วพริบตา ทำเอามินจุนพูดไม่ออกเหลือแต่แรงที่ใช้จับโทรศัพท์มือถือเท่านั้น หวังอะไรอยู่ นี่เราอยู่ในภาพลวงตาคิดว่าตัวเองเป็นแม่โทมะจริงๆ มาตลอดเลยสินะ ความเป็นจริงทำให้หัวใจของมินจุนรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
[จะไปบ้านใหญ่ ทานข้าวข้างนอกน่ะไว้คราวหน้า]
ไดกิดูเหมือนจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของปลายสาย เลยอธิบายตารางของวันนี้ให้ฟังสั้นๆ บ้านใหญ่อาจจะหมายถึงสถานที่รวมตัวของกลุ่มอุเอยามะ ถ้าหากเป็นสถานที่แบบนั้นจริงๆ ต่อให้อีกฝ่ายชวนไปมินจุนเองก็คงจะอยากปฏิเสธ แต่หัวใจที่หวาดหวั่นไปแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
“ครับ ทราบแล้วครับ”
มินจุนตอบเสียงเบาแล้วกดวางสายไป
[1] อนุภาคฮิกส์ (Higgs Boson) เป็นอนุภาคมูลฐานชนิดหนึ่งที่อยู่ในแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์ของอนุภาค
[2] พริกชองยัง หนึ่งในพริกที่เผ็ดที่สุดของประเทศเกาหลี
Comments