ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 2-5

Now you are reading ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด Chapter 2-5 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่ไปครับ สถานที่แบบนั้นเลยนะครับ คนอย่างผมคงได้ตายก่อนจะเดินเข้าไปล่ะมั้ง อยู่ที่นี่ก็กลัวทุกวันอยู่แล้วนะครับ”

“กลัว?”

ไดกิไม่สบอารมณ์กับคำว่ากลัวจึงเดินเข้าไปหามินจุนหนึ่งก้าว ร่างบางยืนตัวตรงทันทีเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ก่อนจะมองกลับพพร้อมเอ่ยคำพูดคาดไม่ถึงออกมา

“ยากูซ่ากลุ่มอื่นๆ จะบุกเข้ามาเมื่อไรก็ไม่รู้ อาจจะเกิดสงครามขึ้นมาก็ได้นี่ครับ ถ้าที่นี่เต็มไปด้วยเลือดจะทำยังไง ถึงผมจะเรียนพยาบาลมา แต่ก็เห็นเลือดขนาดนั้นไม่ได้นะครับ แล้วจะพาโทมะไปหลบที่ไหน นู่นนี่นั่นอีกเยอะแยะเลยครับ”

“ดูหนังมากไปแล้ว”

ชายหนุ่มกลับมาทำหน้าเรียบสงบอีกครั้งขณะจ้องมองมินจุนก่อนจะพูดต่อ

“ถ้ายืนยันขนาดนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันไม่ได้คิดจะบังคับอยู่แล้ว… แต่ที่นายสัญญากับโทมะไว้ จะทำยังไงล่ะ”

“สัญญาเหรอครับ”

“โทมะพูดว่า หม่าม้าเป็นคนบอกเองว่าจะไปด้วย หึ อย่าบอกนะว่าจะโกหกเด็กน่ะ”

สายตาของไดกิเปลี่ยนเป็นคมกริบ ‘คนที่ขอร้องคือเด็กคนนั้นต่างหาก! นายลองอ้อนวอนฉันดูสิ คุกเข่า!’ คนตัวเล็กจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น พร้อมคิดอย่างเคร่งเครียดว่าตัวเองไปสัญญากับโทมะตั้งแต่เมื่อไหร่ และพอนึกออกว่าโทมะพูดคำว่า ‘งั้นไปด้วยกังนะ สังยา!’ ก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที

“เอ่อ คนอื่นๆ อาจจะไม่ทราบ แต่ผม… หัวใจอ่อนแอ บางครั้งก็เต้นแรงไปเองเหมือนผิดปกติเลยครับ ถ้าต้องไปที่นั่น หัวใจเล็กๆ อ่อนแอๆ ของผม คงรับไม่ไหวแน่… โทมะ… หม่าม้าคนนี้จะอยู่ได้ยังไง”

ไดกิขมวดคิ้วเมื่อมินจุนเริ่มโชว์ความสามารถพิเศษในการพูดวกไปวนมา ร่างสูงพยายามควบคุมไม่ตะโกนออกมาแล้วเอ่ยถามอย่างใจเย็น

“แล้ว?”

ร่างบางลุกพรวดขึ้น แม้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้จะเป็นเพราะโทมะ แต่เขากลับส่งแรงไปยังดวงตาแล้วจ้องมองไดกิรุนแรงกว่าปกติ

“แล้วทำไมต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วย”

“ก็นายเป็นหม่าม้า”

“อ๋อ อย่างงี้นี่เอง ผมเป็นหม่าม้านี่เนอะ แล้วทำไมต้องกิโมโนครับ”

“เพราะนายไม่มีหน้าอก”

“อ๋อ นั่นสินะ ผมมันไม่มีหน้าอก”

มินจุนพยักหน้าราวกับเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง

“เพราะผมเป็นผู้ชายก็เลยต้องใส่ชุดผู้หญิง ผมไม่มีหน้าอก หาเสื้อผ้าใส่ยากก็เลยต้องใส่กิโมโน ผมต้องเรียนชงชาเพื่อไปพบกับท่านตาที่ชื่นชอบการชงชา… นี่ใช่ไหมครับ สิ่งที่อยากจะบอก”

“ใช่”

เมื่อไดกิตอบรับเสร็จก็พยักหน้าไปทางเรนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“แต่ว่า… ทำไงดี ผมดื่มชาไม่ได้นะ มันขม”

ใช่แล้ว นั่นแหละ ต่อมรับรสชาติของมินจุนอยู่ระดับเดียวกับโทมะ จริงๆ โตขึ้นแล้วมันก็ควรจะดีขึ้น เขาเองก็เคยคิดแบบนั้น แต่ยิ่งลองมากแค่ไหน มันก็ไม่ยอมดีขึ้นเลย

มินจุนเช็ดน้ำตาพลางเกาหัวแกรกๆ ไดกิจ้องมองมินจุนด้วยความเงียบหนักขนาดสิบตัน ก่อนจะมองเลยไปยังคนที่อยู่โดยรอบแล้วออกคำสั่งช้าๆ

“โทรหาเมอิสะ ถ้าไม่สามารถทำให้ผู้ชายคนนี้เป็นผู้หญิงได้ภายในหนึ่งเดือน… วันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่พวกนายจะได้หายใจ เข้าใจไหม”

“ครับ”

“โอ๊ย! เจ็บครับ”

เมื่อคนสวมใส่ยูคาตะของผู้หญิงนั่งพับเข่าอยู่เริ่มไม่มีสมาธิและเผละออกด้านข้าง เมอิสะจึงใช้ไม้เรียวตีเข้าที่น่องเขาอย่างไม่ลังเล ทว่ามินจุนก็ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดๆ กับอีกฝ่ายได้ มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาเท่านั้น

ก็จะบ่นได้ไงล่ะ เมอิสะเป็นเหมือนแม่ทางใจที่เลี้ยงดูไดกิสุดยอดคนโหดมาในฐานะภรรยาคนที่สองของจินเป ขณะทำตามคำสั่งของไดกิอย่างไม่มีเงื่อนไข จิตใจของเธอก็เต็มไปด้วยความแค้นเคืองที่มีต่อสามี จึงรีบเสนอตัวอย่างกระตือรือร้นยิ่งกว่าใครเพื่อมาสอนมินจุน ด้วยความคิดที่ว่างานนี้จะทำให้ตาเฒ่าจินเปต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแน่นอน

เขากำลังเรียนมารยาทในการชงชาอยู่ แต่การดื่มชาถือเป็นขั้นตอนที่สอง เวลานี้เมอิสะกำลังสอนให้มินจุนทรมานกับการนั่งพับเข่าให้เกินหนึ่งนาที

“อย่าว่าแต่หนึ่งนาทีเลย แค่สามสิบวินาที ก็ทนไม่ได้แล้วเหรอคะ”

“ฮือๆ ใครจะไปทำได้วะ… อันนี้มันยากไปนะครับ”

“วะเหรอคะ เวลานี้เป็นสตรีสวมใส่ชุดยูคาตะ แต่กลับพูดจาหยาบคายออกมา ท่าจะยังห่างไกลกับคำว่ามีสตินะคะ ดิฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าให้คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง”

ใช่แล้ว หลังจากตอนนั้นมินจุนก็ใช้ชีวิตด้วยการใส่ชุดยูคาคะของผู้หญิง เดิมทีเขาก็มีใบหน้าค่อนข้างเล็กอยู่แล้ว สวมใส่ชุดเช่นนี้แล้วก็ต้องนำเส้นผมที่ยาวละต้นคอทัดหลังใบหู ประดับด้วยกิ๊บติดผมรูปผีเสื้อ และห้ามทำการกระทำใดๆ แบบผู้ชายทั้งนั้น

“หม่าม้า โทมะนั่งได้นานน้า ดูจิๆ”

เวลาที่มินจุนเข้ารับการฝึกอบรบเรื่องมารยาท โทมะก็จะเข้ามาด้วย ร่างบางนั่งได้ไม่ถึงสามสิบวินาทีด้วยซ้ำ แต่เด็กอย่างโทมะกลับอดทนนั่งได้เป็นสิบๆ นาที ความแตกต่างทางวัฒนธรรมนี่สุดยอดไปเลย มินจุนคิดพลางมองเด็กน้อยด้วยความประทับใจ

“ดูสิคะ ท่านโทมะยังทำได้ ท่านมินจุนก็ต้องทำได้ค่ะ เพราะฉะนั้นลองนั่งดูอีกครั้งค่ะ”

พอเมอิสะเริ่มตวัดไม้เรียวยาว มินจุนก็ยืดตัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทว่าขาเขากลับโดนเหน็บเล่นงานจนทรุดลงไปอีกครั้งพร้อมส่งเสียงร้องคล้ายคนใกล้ตาย ด้วยเหตุนั้นชายยูคาตะจึงเลิกขึ้นจนเผยขาอ่อนขาวเนียน

“อ๊ากกก! เดี๋ยวนะครับ ที่ขา… หนูมัน อึก!”

เขานอนลงกับพื้นพร้อมกับใช้นิ้วปาดน้ำตา โทมะเองก็ร้องเมี๊ยวๆ ลุกมาวนรอบตัวมินจุน ดูสนุกสนานเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เมื่อเป็นแบบนี้เมอิสะก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอคอยจนกว่าจะไล่หนูไปจนหมด เธอจึงผ่อนคลายใบหน้าน่ากลัวลงและมองทั้งคู่อย่างอ่อนโยนแทน

“โทมะ คราวนี้หนูยักษ์เลยนะ ต้องเรียกแมวมาสักห้าตัวเลย ฮือ… เจ็บจัง…”

“เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว แฮ่กๆ เมี๊ยว เมี๊ยว!”

โทมะหอบหายใจพร้อมกับร้องเมี๊ยวๆ จนครบห้าครั้ง จากนั้นก็เหนื่อยจนต้องล้มตัวลงนอนข้างๆ มินจุน

“เมี๊ยวมาแย้ว ปะแย้ว”

ว่าพลางแบมือให้หม้าม่าดู

“เก่งมาก อ๊ะ อย่า เจ็บ! โทมะ เจ็บจริงๆ นะ!”

หลังเห็นโทมะทำท่าเหมือนตั้งใจจะจับขา มินจุนก็ดีดตัวขึ้นมาแล้วเขยิบไปด้านหลัง วันนี้หนูไต่ขึ้นมาจนถึงน่องขาทีเดียว แม้แต่เลือดยังจับตัวเป็นก้อนๆ เจ็บไม่ใช่เล่น

จังหวะนั้นไดกิเพิ่งกลับมาถึงบ้าน และกำลังเดินผ่านบริเวณห้องนั่งเล่นใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่ฝึกสอน ร่างสูงหันไปเห็นมินจุนนอนอยู่กับพื้นเผยให้เห็นขาอ่อนพอดีจึงหยุดเดิน

“ทุกคนหันไป”

ได้ยินเจ้านายออกคำสั่งอย่างดุดัน เรนเลยรีบหันไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ไดกิเดินตรงเข้าไปหาร่างบาง

“ทำอะไรกัน”

“ป๊ะป๋า”

พอเห็นผู้เป็นพ่อ โทมะก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหา

“ป๊ะป๋า หม่าม้าดนหนูกัด เจ่บขาโด้ย โทมะเลยเมี๊ยวๆ ใส่”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะบอส”

“ทำไมถึงอยู่ในสภาพนั้นล่ะครับ”

“เหน็บน่ะค่ะ… แค่สามสิบวิก็ยังนั่งไม่ได้ น่าเป็นห่วงว่าเมื่อไรจะได้เริ่มเรียนชงชา”

“ก็ผมเป็นคนเกาหลีนี่ครับ”

“หางเสียง!”

เมอิสะสวนกลับอย่างเข้มงวด มินจุนจึงต้องเปลี่ยนหางเสียงเงียบๆ

“ก็มันยากนี่คะ”

“ไหนดู”

“ไม่ได้ค่ะ ห้ามจับ มันเป็นก้อนๆ จับแล้วดิฉันอาจจะตายก็ได้ค่ะ”

“เลิกเล่นละครสักที”

ไดกิถอดถุงมือออกแล้วนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยกขาเรียวขึ้นมา เวลานั้นมินจุนกรีดร้องออกมาทันที

“ตายแน่ โอ๊ยๆ ตายแน่!”

โทมะตกใจเสียงโวยวายก็เลยเริ่มสะอึกสะอื้น “ดิฉันจะพาท่านโทมะออกไปข้างนอกนะคะ” เมอิสะเอ่ยชเนนั้นแล้วจับมือพาคุณชายตัวน้อยเดินออกจากห้องไป

“เงียบปากหน่อย ตรงนี้เหรอ”

ร่างสูงคลำตรงน่องของอีกฝ่ายจนเจอบริเวณที่เป็นก้อน จากนั้นก็เริ่มลูบขยำคล้ายนวดบริเวณนั้น เมื่อไดกิกดจุดที่ขึ้นเป็นก้อนอย่างแรง มินจุนก็ต้องส่ายกหน้ากลั้นความเจ็บปวด และเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไปก็เลยยกมือขึ้นตีต้นขาของไดกิ

“อึก! เจ็บนะครับ ทำเบาๆ หน่อยสิ”

“ก็ทำเบาๆ อยู่”

“แต่ว่า… อ๊ะ อึก… ตรงนั้น… เจ็บมากเลย”

“อย่าร้อง มันค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว รู้สึกไหม”

“อือ… รู้สึกครับ”

“เริ่มนุ่มแล้ว พอทำแบบนี้ก็เริ่มหายเจ็บแล้วใช่ไหม”

ก็แค่คลายจุดที่เลือดแข็งเป็นก้อนเท่านั้นเอง ทว่าเรน ฮาคุโตะและอิสึกิที่ได้ยินบทสนทนากลิ่นอายเรทสิบเก้าบวก กลับรู้สึกเหมือนร่างกายถูกบีบรัดด้วยของขนาดใหญ่จนไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ในทางกลับกันหากได้รับคำสั่งว่าให้หายตัวไปจากตรงนี้ มันน่าจะดีกว่าเสียอีก

“ลุกได้ไหม”

บอสยากูซ่าช่วยจัดชายยูคาตะของคนตัวเล็กให้เรียบร้อยแล้วดึงแขนบางให้ลุกขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของมินจุน จากนั้นก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่เครื่องประดับรูปผีเสื้อตรงใบหู มือใหญ่เอื้อมเฉียดผ่านใบหูไปลูบคลำเครื่องประดับผมชิ้นนั้น

“ผมเป็นเกย์ ไม่ใช่ผู้หญิง”

“รู้แล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดจะสั่งให้นายกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ”

“ผมจะพยายามตั้งใจทำให้ดี เพราะสัญญากับโทมะไว้แล้ว แต่ผมก็เชื่อใจปากตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”

“วันนั้นฉันจะอยู่ข้างๆ นาย”

หัวใจวุ่นวายพลันสงบลงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ไดกิเชยใบหน้ามนขึ้น มินจุนเองก็ขยับเท้าสวมทาบิ[1] พาริมฝีปากของตนเข้าใกล้ริมฝีปากอีกฝ่าย พอหลับตาลงก็รู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายจมูกเพราะลมหายใจของคนตรงหน้า

“ท่านโทมะ ไม่ได้ค่ะ” หลังน้ำเสียงร้อนรนก็ตามมาด้วย “มะเอา ถอยปัย” เสียงโทมะวิ่งตึงตังแว่วเข้ามา อีกเพียงนิดเดียวก็จะสัมผัสกันแล้ว มันยิ่งทำให้ริมฝีปากของไดกิน่าดึงดูดมากจนยากเกินกว่าจะหันหน้าหนี ทว่ามินจุนก็ดันแผ่นอกแกร่งด้วยสองมืออย่างยากลำบาก ก่อนจะหันไปทางโทมะ

“หม่าม้า จับหนูแย้วเหยอ”

“หือ? อื้ม จับแล้วล่ะ”

“มะเจ่บเหยอ”

“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว”

“หม่าม้า”

ไม่รู้ว่าโทมะแปลกใจกับการสวมใส่ชุดยูคาตะของเขาหรืออย่างไร แต่เด็กน้อยเอาแต่เรียกว่าหม่าม้าทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลตลอดทั้งวัน

“หิว”

“จริงเหรอ ป๊ะป๋าก็กลับมาแล้ว งั้นเราไปกินข้าวกันไหม”

“คร้าบ~”

มินจุนสัมผัสถึงหอมหวานไม่มีที่สิ้นสุดจากแววตาเย็นชาและไร้ความรู้สึก เหมือนต้องเองกำลังถูกครอบงำจากผู้ชายที่ชื่อไดกิ เขาจับมือโทมะเพื่อปลอบประโลมความเสียดายของตัวเอง แล้วตรงไปที่ห้องอาหาร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด