ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 3-6
พอเข้าไปในห้องหนังสือ ก็ไม่เห็นลูกน้องที่คอยคุ้มกันราวกับเงาของไดกิอย่างเรนเลย มีเพียงชายหนุ่มเจ้าของบ้านน่าหวาดกลัวที่ตอนนี้ดูเหนื่อยล้า กำลังยืนปลดคัฟลิงค์[1]จนบรรยากาศเต็มไปด้วยความอีโรติก
มินจุนยืนตัวตรงกำกางเกงยีนส์ตัวเองแน่น ไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้เลย ไดกิปลดคัฟลิงค์ออกก่อนจะโยนลงบนโต๊ะจนเสียงดัง ‘แกร๊ก’ แล้วหันมามองเขา
“มีเรื่องสงสัยก็เลยเรียกมาแค่นั้น หรือทำอะไรผิดไว้หรือไง”
“ไม่นะครับ… วันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”
จู่ๆ ก็รู้สึกหนักใจกับคำพูดที่ได้ยิน ร่างบางหลบสายตาที่ดูเหมือนจะโกรธ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร แล้วก็ไม่ได้ดูอารมณ์ดีเท่าไหร่นัก ด้วยการหันหน้าไปข้างๆ มองมุมโต๊ะแทน
“จริงเหรอ แต่ฉันหมายถึงเมื่อวานต่างหาก พอดีนึกถึงคำที่นายเผลอพูดออกมาตอนที่ฉันกำลังกอด ก็เลยอยากรู้ความหมายของคำนั้น”
“ผะ เผลอพูดเหรอครับ”
แววตาของมินจุนเริ่มกระวนกระวาย ระยิบระยับแวววาวเหมือนลูกแก้วขยับไปมา ถึงจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ร่างกายก็หยุดสั่นไหวคล้ายกระแสน้ำอ่อนๆ ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขามักจะได้ยินจากคนในครอบครัว และคนสนิทบ่นเสมอว่าตัวเองชอบเผลอ ‘ด่า’ ออกมา
“ไดกิ… เผลอก็คือเผลอนั่นแหละครับ ไม่มีความหมายพิเศษหรอก เพราะงั้น…”
“ฉันบอกว่าอยากรู้ความหมาย”
“ครับ”
“มินจุน”
สำเนียงที่เขาชอบฟัง… คำเกาหลีเพียงคำเดียวที่ได้ยินจากปากของไดกิ การเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงละมุนยิ่งกว่าผู้ประกาศข่าวคนไหนๆ ก็ทำให้ใจเต้นตุบๆ ขึ้นมาได้โดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ คำๆ เดียวว่า ‘มินจุน’
“‘โอซัลฮัล นม’ หมายถึงอะไร”
อื้มมม… ภาษาเกาหลีละมุนๆ ออกมาไม่หยุดเลยแฮะ หูเราเป็นอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย ไดกิพูดภาษาเกาหลี… ฮะ เฮ้ย!?’
ระหว่างหลับตาครุ่นคิดถึงภาษาเกาหลีของไดกิ มินจุนก็ต้องยกมือปิดปากเพราะเกือบจะส่งเสียงร้องออกมา เงยหน้าจ้องอีกฝ่ายพลางถอยไปด้านหลัง
“เมื่อวานนายพูดว่า ‘อี โอซัลฮัล นม!’ นี่”
เขาเกิดอาการแพนิคเพราะภาษาเกาหลีพรั่งพรูจากปากคนตรงหน้าไม่หยุด ก็เลยตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก
“ผะ ผมเหรอ เดี๋ยวๆ ไดกิ คุณพูดภาษาเกาหลีได้เหรอครับ”
คราวนี้ฝ่ายตกใจกลับกลายเป็นไดกิแทน
“ทำไม ฉันก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ ฉันชื่อไดกิ โจ คนญี่ปุ่นมีนามสกุลโจด้วยหรือไง”
“เป็นคนเกาหลีเหรอครับ”
“ก็แค่มีเชื้อสาย แต่ก็รุ่นสามแล้ว”
รุ่นสาม… ไม่ใช่รุ่นสอง แต่เป็นรุ่นสาม! แทบจะไม่เห็นพวกรุ่นสองพูดภาษาเกาหลีได้แล้วนะ แต่รุ่นสามแบบนี้ถึงกับพูดได้อย่างกับผู้ประกาศข่าวเลยเหรอ หลอกลวง! อย่างนี้ก็เข้าใจทุกคำที่เขาเคยสบถมาตลอดเลยน่ะสิ จากความตกใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง ประโยคลามกที่เคยพึมพำเพราะควบคุมความตื่นเต้นไม่อยู่ จนถึงคำสบถที่หลุดออกไปทุกๆ ครั้งที่โมโหอีกฝ่าย มินจุนรู้สึกเหมือนโดนทรยศเมื่อรู้ว่าไดกิไม่ยอมพูดอะไรทั้งที่เข้าใจทุกอย่าง
“แล้วว่าไง”
“อะไรครับ”
“โอซัลฮัล นม[2]”
“…หมายถึงคนชั่วฆ่าหั่นศพเป็นห้าส่วนครับ”
“เหอะ!”
ขนตาสีดำของไดกิขยับไหว ดูตกใจแต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากในทันที
“แล้ว ‘โฮรังมัลโค[3]’ ล่ะ”
“หมายถึงเอาแต่ใจครับ”
คำพวกนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับคนเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคำด่ากว่าห้าหมื่นคำตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากคุณยายแสดงความรักด้วยคำด่าเป็นพิเศษอย่างมินจุนเลย
“เพราะงั้นสำหรับนาย ฉันก็เลยกลายเป็นไอ้คนชั่วฆ่าหั่นศพเป็นห้าส่วน แถมยังเอาแต่ใจอีกสินะ”
ภาษาเกาหลีของไดกิออกเสียงได้อย่างถูกต้องไม่ผิดแม้แต่จังหวะเดียว มิหน่า ตอนนั้นมินจุนเคยลืมตัวภาษาเกาหลีต่อหน้าโทมะ เจ้าเด็กน้อยอ้าปากค้างก่อนจะถามกลับว่า “ป๊ะป๋ายุไหน” ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าอยู่กับลูกชายก็พูดน่ะสิ แต่กลับปิดปากเงียบแค่เฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าเขา แล้วมองดูเขาพูดพร่ำภาษาเกาหลีอย่างสนุกสนานเลยสินะ
มินจุนสรุปเรื่องราวด้วยตัวเองพลางจ้องมองอีกฝ่าย รู้สึกอยากจะหยิบลูกดอกบนโต๊ะหนังสือขึ้นมาปาใส่ตัวเองจริงๆ และความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ร่างบางก็โวยวายใส่ไดกิทันที
“ทำไมคุณต้องปิดบังว่าตัวเองพูดภาษาเกาหลีได้ด้วยล่ะ หรือเพราะสนุกเวลาเห็นผมสะอึกสะอื้น พูดจาแปลกๆ แล้วก็ด่าคุณใช่ไหม แม้แต่โทมะก็ยังรู้ คงมีผมคนเดียวที่ไม่รู้สินะ มันผ่านมาตั้งสามเดือนแล้ว… ผมขอตัว”
หลังพ่นคำพูดเสร็จ เขาก็หมุนตัวหันหลังเดินไปที่ประตู
“หยุดตรงนั้นแหละ!”
เมื่อไดกิขึ้นเสียง มินจุนก็หันควับกลับไปจ้องหน้าแล้วพูดเป็นภาษาเกาหลีตอบ
“อย่ามาสั่งกันนะ ถึงผมจะบอกว่ารัก แต่ก็ไม่เคยบอกให้คุณทำตามใจตัวเองได้ วันนี้ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณมากไปกว่านี้แล้ว”
ทันทีที่พูดออกไปอย่างเย็นชาและหมุนตัวกลับ เขาก็ถูกกระชากด้วยแรงหนักหน่วงจนตัวไปติดอยู่กับแผ่นอกแกร่ง ไดกิเชยคางมนขึ้น ร่างบางหันหนีหลบสายตาและกัดริมฝีปากล่างแน่น พยายามไม่ร้องไห้ออกมา ขณะดวงตาทั้งสองข้างเอ่อคลอด้วยน้ำตา
“ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น แค่ไม่มีโอกาสได้บอกเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่น ไม่มีเหตุผลที่นายต้องโกรธเลย”
“จะโกรธก็ยังต้องได้รับอนุญาตจากคุณก่อนเหรอครับ นี่มันความรู้สึกของผมนะ ปล่อยครับ”
“ก็บอกว่าไม่ใช่แบบนั้นไง”
มินจุนทุ่มพลังสุดตัวเพื่อผลักอีกฝ่ายหลังได้ยินน้ำเสียงติดรำคาญ
“ผมก็โกรธคุณได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่ามาสั่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ! ไอ้คนเอาแต่ใจ… คำนี้มันเอาไว้ใช้เวลาแบบนี้นี่แหละ เอาแต่ใจ!”
จากนั้นก็เปิดประตูห้องหนังสือแล้วเดินออกไปทันที
“หึ! ขนาดตอนโกรธยังน่ารักเลย ฉันก็ท่าจะหนักแล้วละมั้ง…”
ภาษาเกาหลีจากน้ำเสียงทุ้มต่ำของไดกิไม่ได้ดังเล็ดลอดออกไปถึงข้างนอก เพราะประตูห้องปิดแน่นราวกับประตูเหล็กจนทำให้รอบกายเงียบลงถนัดตา
มินจุนยิ่งอึดอัดใจเข้าไปใหญ่เมื่อคนที่เคยกลับบ้านช้าอยู่ช่วงหนึ่งอย่างไดกิ วันนี้ดันกลับมาเร็วและร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน สำหรับเขาแล้ว การได้รู้ว่าอีกฝ่ายพูดภาษาเกาหลีได้ มันเป็นเรื่องชวนช็อกมาก ยากจะเชื่อว่าเลือดหนึ่งในสามส่วนของคนที่ตัวเองตกหลุมรักจะเป็นคนเกาหลี แต่ก็โกรธเพราะไดกิทำเป็นไม่ได้ยินคำหยาบ รวมถึงคำสบถมากมาย ทั้งๆ ที่มีโอกาสเป็นหมื่นๆ ครั้งในการทักท้วง และพูดคุยโต้ตอบกับเขาเป็นภาษาเกาหลี ตอนนี้ร่างบางก็เลยแสดงอาการต่อต้านแบบสมัยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็ยังไม่เคยทำด้วยซ้ำ
“หม่าม้า ขอทูน่าโหน่ยฮับ”
โทมะยังไม่ชินกับการใช้ตะเกียบนักเลยต้องใช้ส้อมจิ้มแทน แต่จิ้มอย่างไรก็ยังไม่โดนสักทีก็เงยหน้ามองมินจุน เขาจึงหั่นทูน่าเป็นชิ้นพอดีคำแล้วเอาไปจิ้มซอสนิดหน่อย ก่อนจะวางบนจานข้าวของโทมะ จากนั้นก็มองเด็กน้อยเคี้ยวหนุบหนับตุ้ยๆ น่ารักด้วยแววตาเอ็นดู
“ปล่อยให้เขากินเอง”
นั่นไง นึกแล้วว่าต้องพูด ไม่มีทางยอมปล่อยไปเฉยๆ อยู่แล้ว… แต่มินจุนเบ้ปากไม่ตอบโต้ไดกิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม้แต่จินตนาการก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ความหวั่นวิตกก่อนหน้านี้ช่วงที่ไดกิไม่อยู่บ้าน ก็ทำเอาเจ็บแสบราวกับโดนยาชาเหมือนกัน…
เมื่อเขาคีบทูน่าชิ้นที่สองจิ้มซอสแล้ววางบนชามข้าวของโทมะอีกรอบ เสียงไม้หยาบๆ กระทบกันจากการวางตะเกียบลงบนโต๊ะอาหารก็ดังขึ้น
“ไม่ได้ยิน?”
“โทมะบอกว่าอยากกิน แต่คีบยาก ผมก็แค่ช่วยเท่านั้นเอง”
“ปล่อยไว้ ให้รู้จักคีบกินเอง”
“เหอะ! ใครบางคนคงถือตะเกียบออกมาด้วยตั้งแต่เกิดเลยล่ะสิ”
มินจุนพึมพำออกมาแค่พอให้ตัวเองได้ยินพลางเชิดหน้าขึ้นจ้องแววตาน่ากลัวของไดกิกลับ
“ตอนอายุเท่านี้ก็ต้องมีคนข้างๆ คอยช่วยทั้งนั้นแหละครับ คุณไดกิอายุมากแล้วคงจะจำไม่ได้ ตอนผมอายุเท่าโทมะ คุณยายก็มักจะคีบกับข้าวมาวางบนชามข้าวให้ตลอด แต่ตอนนี้ก็ใช้ตะเกียบได้ปกติ ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ”
ว่าจบแล้วก็โชว์ความสามารถพิเศษด้วยการควงตะเกียบในมือหนึ่งรอบ ทว่าพอมันกลับมาตำแหน่งเดิมก็ร่วงตกพื้นไป… เฮ้ย ฉันโกรธแล้วนะ เหมือนอะไรบางอย่างพรั่งพรูออกมาจากร่างกาย มินจุนประสานสายตากับไดกิ
‘คิก’
ตาฝาดเปล่าเนี่ย แม้ตะเกียบจะเกือบลอยมาปักเกือบตรงดิ่งอยู่ระหว่างนิ้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายตอบสนองด้วยการหัวเราะ ‘คิก’ ด้วยพฤติกรรมไร้ความน่ากลัวเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป กลับส่งผลให้หัวใจยิ่งเต้นตุบๆ
อะไร… ขำทำไม แทนที่จะโกรธ แต่พอหัวเราะอย่างนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่เลย
“มินจุน”
และคำพูดของไดกิหลังความเงียบครู่หนึ่งก็คือ
“หยุดทำตัวน่ารักแล้วกินข้าวซะ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะได้กินนายก่อน”
ร่างบางใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะเข้าใจความหมายในหัว จากนั้นใบหน้าก็ขึ้นสีแดงพอๆ กับเนื้อปลาทูน่าและเริ่มพูดจาติดขัด
“พะ พะ พูดอะไรของคุณน่ะ ทะ โทมะก็อยู่นะ…”
“อื้อ หม่าม้า โทมะก็จะกิง จะกิงโด้ย”
“อะไร จะกินอะไร โทมะ หม่าม้าบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรให้กินน่ะ”
มินจุนจ้องไดกิเขม็ง แต่ก็อธิบายโทมะฟัง เด็กน้อยเบ้ปากเหมือนอย่างที่เขาเคยทำเมื่อครู่ พองลมในแก้มแบบปลาปักเป้าพร้อมส่ายหัวไปมา
“มะเอา ให้แต่ป๊ะป๋า ตะไมมะให้โทมะ”
เอิ่ม… ทานข้าวเย็นอยู่ดีๆ ก็เริ่มจะมีน้ำโหซะงั้น ของขึ้นเพราะอารมณ์โกรธเลยขึ้นเสียงใส่ทางคุณชายบ้านอูเอยามะ… ไม่สิ คุณชายบ้านโจ
“ไม่ให้ทั้งคู่นั่นแหละ”
“จิงเหยอ”
“จริงเหรอ”
เมื่อเจ้าหนูน้อยน่ารักน่าชังที่สุดในโลก และชายหนุ่มสุดเซ็กซี่ชวนให้หลอมละลายแค่เพียงได้ยินเสียง แถมยังมีรอยสักลายเสือดาวบนท่อนขาข้างหนึ่งถามขึ้นมาพร้อมกัน มินจุนก็เริ่มสับสนมองทั้งคู่สลับไปมา ทั้งๆ ที่ยังถือตะเกียบไว้ในมือ
“มะให้จิงๆ เหยอ”
“เปล่านะ โทมะ ไม่ใช่แบบนั้น หม่าม้าให้โทมะทุกอย่างเลย แต่… นั่นมัน… มันกินไม่ได้”
มินจุนเหงื่อไหลซก เพราะต้องปลอบโทมะที่ทำปากยื่นปากยาว ใบหน้าเล็กๆ นั่นคล้ายจะร้องไห้ออกมาซะเดี๋ยวนี้
“ให้แต่ป๊ะป๋าเหยอ”
เมื่อได้ยินคำถามของโทมะ เขาก็เหลือบมองไดกิที่ยังจ้องกันไม่หยุดจนหน้าแทบจะพรุน ก่อนจะทำเสียง เหอะ! ขึ้นจมูกแล้วตอบเสียงดังฟังชัด
“ไม่ ป๊ะป๋าก็ไม่ให้”
“จริงเหรอ”
“กะ ก็จริงน่ะสิครับ จะให้โกหกหรือไง”
“เหรอ งั้นก็คงต้องยอมล่ะนะ พอได้แล้ว กินข้าวไปเงียบๆ”
และไดกิก็เปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นเย็นชา จ้องหน้ามินจุนอีกครั้งแล้วก็กลับไปทานข้าวต่อ … ดูเป็นกังวล มินจุนเพียงแค่สังเกตเห็น แต่ไม่สามารถชี้แจงออะไรออกไปได้ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างยากลำบาก
[1] คัฟลิงค์ กระดุมกลัดปลายแขนของเสื้อเชิ้ต
[2] โอซัลฮัล นม (오살할 놈) มีที่มาจาก 오살 (五殺 : โอซัล) เป็นการลงโทษในสมัยก่อนคือการหั่นร่างกายเป็นท่อน 5 ท่อน ศีรษะ แขน และขา แต่ปัจจุบันใช้เป็นคำเปรียบเทียบ หมายถึง คนชั่วช้าสามานย์ที่สามารถฆ่าคนด้วยการหั่นแยกชิ้นส่วนออกเป็นห้าส่วนได้
[3] โฮรังมัลโค (호랑말코) หมายถึง คนเจ้ากี้เจ้าการ เอาแต่ใจ
Comments