ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีบทที่ 1584 ต่างฝ่ายต่างเคลื่อนไหว
เยี่ยนจ้าวเกอฝ่าภัยพิบัติปฐมลี้ลับ ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด สำเร็จระดับสุญญตา ย่อมกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟ้าเหนือฟ้าในวันนี้
นอกจากคนของผาบัวแแดงที่มีฟู่อวิ๋นฉือเป็นผู้นำแล้ว ขุมกำลังจากแต่ละแห่งย่อมรวมตัวกันที่เขากว่างเฉิง เพื่อแสดงความยินดีกับเยี่ยนจ้าวเกอ
มรกตท่องฟ้ากับฟ้าน้ำพุหยกได้รับข่าว มีคนมาเพื่อแสดงความยินดีและเข้าร่วมพิธีเช่นกัน
เสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านในดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอ แสดงความยินดีกับเขา
“ยินดีกับใต้เท้ากษัตริย์เยี่ยนที่เลื่อนสู่ระดับเซียนกำเนิดสุญญตา ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด!” เฟิงอวิ๋นเซิงพูดพลางหัวเราะ
เยี่ยนจ้าวเกอสั่งการความคิด ส่งกระแสเสียงแก่นาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนคนอื่นๆ เรียกข้าใช้ฉายานี้ยังพอทำเนา ถ้าเจ้าใช้ข้ากลับไม่คู่ควรแล้ว หากจะยึดกฎจริงๆ ก็สมควรเป็นข้าเรียกเจ้าว่าท่านเทวกษัตริย์จึงจะถูก”
เฟิงอวิ๋นเซิงน้ำเสียงอ่อนโยน หัวเราะคิก “ตอนที่ข้ายังไม่ขึ้นสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็เรียกท่านแบบนี้มาก่อน”
ตามการเห็นพ้องแต่โบราณที่ตกลงกันจนกลายเป็นธรรมเนียมก่อนมหาภัยพิบัติ ถ้าไม่ใช่เซียนจริงแท้ห้ามเรียกจักรพรรดิ มิใช่เซียนลี้ลับห้ามเรียกษัตริย์ ผู้ฝ่าฝืนเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกคนรวมตัวกันโจมตี ถึงขั้นที่จักรพรรดิและกษัตริย์ตัวจริงหาเรื่อง
ตอนยังอยู่บนโลกลอยน้ำ เยี่ยนจ้าวเกอถล่มใต้หล้า บนโลกลอยน้ำมีคำเรียก ‘กษัตริย์เยี่ยน’
นั่นเป็นผลผลิตพิเศษในโลกที่มีระดับค่อนข้างต่ำ ซึ่งอารยธรรมหลังมหาภัยพิบัติสร้างขึ้นใหม่ เพียงกระจายอยู่ในโลกเบื้องล่าง ตามปกติแล้วคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าต่อให้รู้เข้า ก็ยึดถือเป็นเรื่องตลก ไม่มีทางเอาเรื่องเหมือนก่อนมหาภัยพิบัติ
ทว่าวันนี้ กษัตริย์เยี่ยนมีชื่อสมกับความเป็นจริงมาหลายปี ปัจจุบันเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งก้าวข้ามระดับเซียนลี้ลับ สำเร็จเป็นเซียนกำเนิดสุญญตา ขึ้นสู่ตำแหน่งจ้าวสวรรค์
หันกลับไปมองอดีต กาลเวลาร้อยกว่าปีผ่านไป สำหรับคนธรรมดาอาจยาวนาน แต่สำหรับจอมยุทธ์แล้ว กลับเร็วจนทำให้คนต้องร้องอุทาน
แต่ในโลกลอยน้ำ ณ เวลานั้น ระดับพลังฝึกปรือของทุกคนถึงขึ้นไปไม่ถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ เฟิงอวิ๋นเซิงกลับมีความรู้สึกที่รุนแรงในใจว่า สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอจะได้ฉายา ‘กษัตริย์เยี่ยน’ มาครอง
ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่คิดไว้
กษัตริย์เยี่ยน เป็นแค่จุดเริ่มต้น
“เจ้ายังเร็วกว่าข้า” เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางหัวเราะเช่นกัน
“ข้าเป็นวาสนาความบังเอิญ อนาคตจะมีเพทภัย” เฟิงอวิ๋นเซิงมีน้ำเสียงราบเรียบยิ่ง เหมือนกับคนที่จะเจอภัยพิบัติมิใช่ตัวเอง
เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ “กาลสมัยสร้างวีรบุรุษ วีรบุรุษสร้างกาลสมัย ไหนเลยจะแบ่งกันได้ชัดเจนแบบนั้น ผู้ใดบอกได้บ้างว่ามิอาจพึ่งพาวาสนาความโชคดีของตัวเองได้? เรื่องราวในอนาคตยังไม่แน่นัก เพียงกระทำให้เต็มที่ จิตใจจะได้สงบสุข”
“เช่นนั้นพวกเรามาพยายามกับเรื่องตรงหน้าเท่าที่จะทำได้เถอะ” เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ถูกต้อง ด่านมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร หากผ่านไปได้ก็จะเป็นฟ้าดินแห่งใหม่ ยุคสมัยใหม่ หลังมหาภัยพิบัติ สำนักเต๋าสายหลักของพวกเราสั่งสมมาหลายปีขนาดนี้ จะเปลี่ยนแปลงฟ้าดินได้หรือไม่ อยู่ที่ด่านนี้ ก้าวสุดท้ายในการเดินทางหมื่นลี้”
พิธีกรรมจบลง แขกบางส่วนมิได้จากไป
อย่างเช่นเกาชิงเสวียนกับหลงซิงเฉวียน
ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือระดับสุดยอดในจักรวาลฟ้าฟื้นรวมตัวกันที่ห้องโถง วางแผนเรื่องราวต่อจากนี้
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน ด้านนอกจักรวาลฟ้าฟื้น ยอดฝีมือศาสนาพุทธกับมหาเทวะเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งเริ่มโอบล้อมสำนักเต๋าสายหลักอีกครั้ง
ทุกคนกำลังจับตาดูขีดจำกัดเวลาสี่สิบเก้าปีอยู่
หลายปีมานี้ การเล็งเป้าที่จักรวาลฟ้าฟื้นของพวกทีปังกรพุทธะ บางครั้งก็ผ่อนคลายบางครั้งก็เร่งร้อน
ในสถานการณ์ที่คนบนจักรวาลฟ้าฟื้นยิ่งสงบเสงี่ยม ลดร่องรอยการออกไปด้านนอก ความยากในการค้นหากลุ้มรุมของอีกฝ่ายก็เพิ่มขึ้นมาก มีโอกาสดีๆ ไม่กี่ครั้ง
แต่ว่าวันนี้ครบสี่สิบเก้าปีแล้ว พวกทีปังกรพุทธะย่อมเร่งการกดดันและโอบล้อมสำนักเต๋าสายหลักอย่าง ‘สามัคคี’ เพื่อ ‘สะกด’ การตามหากระบี่เล่มสุดท้ายของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
ทางโถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวรบรากันไม่เลิก เกิดสงครามร้อยปีขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่มออกฌานอย่างสมบูรณ์ได้ไม่ทันไร ก็เจอของขวัญใหญ่จากพวกทีปังกรพุทธะและเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ทันที
มุกค้ำทะเลยี่สิบสี่ชิ้นกลายเป็นเทพธรรมบาลยี่สิบสี่องค์ เกือบบีบจักรวาลฟ้าฟื้นไว้ตรงกลางได้
แต่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยนจ้าวเกอ ตำหนักโอสถยังคงหนีออกจากวงล้อม จากไปอย่างผ่าเผยได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระชับวงล้อมเข้ามา
“ศิษย์พี่สวี ลำบากแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอมองสวีเฟยที่กลับมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ที่พวกทีปังกรพุทธะเจอโอกาสในช่วงนี้ พัดกระพือสภาวะโจมตีโอบล้อมจนเกือบหยุดจักรวาลฟ้าฟื้นไว้ได้ เป็นเพราะว่าไม่นานมานี้สวีเฟยเพิ่งจะกลับมา
แต่นี่กลับเป็นผลลัพธ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอปรึกษาและจัดการพร้อมกับทุกคนก่อนจะเข้าฌาน
ใกล้จะคบสี่สิบเก้าปีแล้ว ตามเหตุผล สำนักเต๋าสายหลักย่อมต้องคิดเคลื่อนไหวหลังสงบมานาน หากไม่เสี่ยงแม้แต่น้อย เพียงอยู่อย่างเงียบๆ กลับสร้างความสงสัยแก่ผู้คน
อีกด้านหนึ่งพวกเยี่ยนจ้าวเกอก็จำเป็นต้องสร้างการเชื่อมต่อและการสื่อสารส่วนหนึ่งกับโลกภายนอก เพื่อจะได้ปูทางไว้สำหรับการเคลื่อนไหวต่อจากนี้
“เตรียมการเรียบร้อยแล้ว” สวีเฟยกล่าว
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราเริ่มเถอะ”
เขาโอนสิทธิ์ในการควบคุมตำหนักโอสถกับเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับให้เสวี่ยชูชิงผู้เป็นมารดาชั่วคราว เพื่อที่หลังจากตนออกไปจากจักรวาลฟ้าฟื้น ตำหนักโอสถภายใต้การควบคุมของเสวี่ยชูชิงยังคงหลบรอดการโอบล้อมของพวกทีปังกรพุทธะได้อย่างเต็มที่
ปัจจุบันเสวี่ยชูชิงเลื่อนเป็นเซียนมาหลายปี ระดับมั่นคง มีความสามารถด้านค่ายกลล้ำลึก ความคุ้นเคยต่อตำหนักโอสถเพียงเป็นรองเยี่ยนจ้าวเกอ ให้นางเป็นคนควบคุม เยี่ยนจ้าวเกอไม่ต้องเป็นห่วง
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็มิได้รีบร้อนทำพิธี ใช้ซากนิวาสสถานในอดีตของเทวกษัตริย์ประพฤติเต๋าเป็นเบาะแส เพื่อไป ‘ค้นหา’ กระบี่สังหารเซียน
เขา เยี่ยนตี๋ สวีเฟย และเกาชิงเสวียน ออกจากฟ้าเหนือฟ้า ไปจากจักรวาลฟ้าฟื้นพร้อมกัน
ทุกคนแบ่งกำลังออกเป็นหลายเส้นทาง เฟิงอวิ๋นเซิงออกจากตาของเยี่ยนจ้าวเกอชั่วคราว รวมตัวกับความว่างเปล่า หายตัวไปเหมือนเซียนสวรรค์คนอื่นๆ
หลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอบอกลากันแล้ว ก็หายไปในส่วนลึกของความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน
พร้อมกับที่พวกเขาเคลื่อนไหว สถานที่อื่นก็มีลื่นใต้น้ำซัดสาด
หลังตำหนักโอสถหนีหลุดรอดก้นตาข่ายไปได้อีกครั้ง ทีปังกรพุทธะมิได้รู้สึกท้อถอย กลับไปยังแดนสุขาวดีตะวันตก
“เวลากำลังจะมาถึง อดีตพุทธะดูเหมือนจะวางแผนไว้รัดกุมแล้ว” พระโพธิสัตว์กวนอิมถอนใจเบาๆ
ทีปังกรพุทธะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุและผลเกาะเกี่ยวมากเกินไป ทุกอย่างยากเป็นไปตามที่คิดไว้ เพียงแค่วางแผนไว้มากเท่านั้น”
“เรื่องราวเกี่ยวพันถึงสามพิสุทธิ์สายหลัก ข้าไม่เข้าร่วมแล้ว อดีตพุทธะตามสบาย” พระโพธิสัตว์กวนอิมส่ายหน้า พนมมือไหว้ ก่อนจะหมุนกายจากไป
ทีปังกรพุทธะยิ้มพลางพนมมือไหว้กลับ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังวิหารใจกลางแดนสุขาวดีตะวันตก
“ต้องการคุยกับนพยมโลก ขอให้พระพุทธองค์ประทานร่างแปลงเพื่อลดทอนอุปสรรค” ทีปังกรพุทธะพนมมือพลางเอย
ในวิหารมีบัวเขียวดอกหนึ่งลอยออกมาอย่างไร้เสียง แล้วตกลงตรงหน้าทีปังกรพุทธะ
ทีปังกรพุทธะเก็บบัวเขียว หลังจากขอบคุณพระพุทธะ ก็จากไปทันที
สถานที่ที่นพยมโลกอยู่ไม่เร้นลับเท่าวังดุสิต ไม่จำเป็นต้องให้อามิตาภพุทธเจ้าชี้แนะ ทีปังกรพุทธะก็ทราบว่าจะไปที่นั่นได้อย่างไร
แต่ท่านย่อมไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง
เพียงออกจากแดนสุขาวดีบัวขาว นั่งลงกลางความว่างเปล่า สั่งการความคิด แค่ครู่เดียว ไฟตะเกียงในแสงพุทธที่กลมสมบูรณ์บนศีรษะก็ส่ายไหวเบาๆ
ควันเขียวลอยขึ้นบนไส้ตะเกียง สักพักหนึ่งก็กลายกลายเป็นลวดลายห้าสี
ควันสีผนึกเป็นภาพเงาของชายชราผู้หนึ่ง เผชิญหน้ากับทีปังกรพุทธะ “สหายร่วมเส้นาทงสบายดี ไฉนอยู่ๆ จึงคิดพบข้า?”
“สหายร่วมเส้นทางสบายดี” ทีปังกรพุทธะมองมารจิตแรกเริ่มที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่ต้องการพบสหายร่วมเส้นทาง ย่อมมีเรื่องคิดปรึกษา”
Comments