ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 106 ข่าว
อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ย่อมขานรับกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ทราบ!”
“ดี! ได้เวลาอันสมควรแล้ว ข้าควรจะประกาศการประลองเพื่อจัดอันดับศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า แล้วเหาะออกไปจากลานหยกประกาศรายชื่อศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และเรื่องราวอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการประลองจัดอันดับในวันพรุ่งนี้
แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากท้องฟ้านอกเขาหิน จากนั้นไอหมอกอันหนาแน่นก็แยกออกจากกัน นกห้าสีแปลกประหลาดขนาดลำตัวยาวหลายจั้งบินออกมาจากในนั้น หัวมันดูคล้ายกับอีแร้ง แต่ขนตรงหางกลับยาวเป็นอย่างมาก และยังมีกรงเล็บยักษ์แปลกประหลาดสีแดงสดราวกับเลือด
พอนกตัวนี้ปรากฏมันก็บินพุ่งมายังเขาหิน ทำให้ศิษย์จำนวนมากฮือฮาขึ้นมาในทันที
“ไม่ตกตื่นตระหนกไป นี่เป็นนกจิตวิญญาณของอาจารย์ปู่เยี่ยนของพวกเจ้า” พอประมุขนิกายเห็นนกประหลาดนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ครู่เดียวก็กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง
น้ำเสียงของเขาดังก้องฟ้าและสะท้อนกลับมาอยู่ไม่หยุด ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างเข้าใจในฉับพลัน แล้วก็ใช้สายตาที่ดูเคารพ และยำเกรงมองไปยังนกประหลาดห้าสีที่กำลังบินใกล้เข้ามา
ในนิกายยังมีอาจารย์ปู่ผู้มีพลังมหาศาลผู้หนึ่ง ซึ่งศิษย์ทุกคนต่างก็เคยได้ยินเรื่องราวของเขา
แต่อาจารย์ปู่ผู้นี้กลับไม่เคยโผล่หน้าออกมาให้เห็นเลย แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณในนิกายก็มีน้อยมากที่ได้เจอหน้าเขา ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสสูงส่งของนิกายท่านนี้ดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปชั่วครู่ นกประหลาดก็บินมาถึงเหนือลานหยก หลังจากมันบินวนหนึ่งรอบแล้วก็ปล่อยกรงเล็บสีแดงของมันออกมา แผ่นหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งหล่นออกมาจากในนั้น จากนั้นก็หมุนตัวบินกลับไปยังทิศทางที่บินมา
พอประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป แผ่นหยกสีเขียวก็พุ่งเข้ามาในมือเขา และเขาวางมันไว้บนหน้าผากอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมาแผ่นหยกสีเขียวก็เปล่งแสงจางๆ ออกมา สีหน้าประหลาดใจของประมุขนิกายปีศาจก็หายไปอย่างรวดเร็วเปลี่ยนเป็นอาการสะดุ้งตกใจอย่างสุดขีด
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่ท่านประมุข เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่ฉีรอจนประมุขนิกายปีศาจหยิบแผ่นหยกออกจากหน้าผาก แล้วถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“อาจารย์อาเยี่ยนออกคำสั่งมาว่า ไม่ต้องดำเนินการประลองการจัดอันดับในวันพรุ่งนี้แล้ว ให้ศิษย์แกนนำทั้งสิบคนรีบออกเดินทางไปเกาะสยบมังกรในวันพรุ่งนี้” ประมุขนิกายปีศาจสงบอารมณ์ได้แล้ว จึงได้กล่าวประโยคที่ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“อะไรนะ ทำไมอาจารย์อาเยี่ยนถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้ ทั้งยังให้เฉียนเอ๋อร์ และศิษย์คนอื่นๆ ไปทำอะไรที่เกาะสยบมังกร?” ฉู่ฉีถามด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
“อาจารย์อาเพิ่งจะได้รับจดหมายจากผู้อาวุโสหมิงอวี้ ในนั้นบอกว่าตอนที่ผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ และหอสายธารโลหิตตามล่ามังกรแดงนั้น ค้นพบว่าสถานที่ที่ไฟใต้พิภพระเบิดออกมามีทางเข้าแดนลึกลับที่ไม่ทราบชื่อ แต่ทางเข้านี้ถูกมังกรแดงตัวนั้นทำลายจนพังทลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้มีแต่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้นที่เข้าไปได้ และเพื่อคุ้มครองไม่ให้ทางเข้านี้พังทลายลงมายังจำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายลงมือช่วยจึงจะประคองไว้ได้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่อาจารย์อาเยี่ยน และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ได้ปรึกษากันแล้ว จึงได้ตัดสินใจให้ทำการทดสอบความเป็นความตายก่อนกำหนด โดยให้ศิษย์แกนนำทั้งสิบคนของแต่ละนิกายเข้าไปในนั้น และจะตัดสินลำดับของพวกเขาจากของล้ำค่าที่หาได้ในนั้น ด้วยเหตุนี้เราจะเสียเวลาไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องพาศิษย์ทั้งสิบคนไปเกาะสยบมังกรให้เร็วที่สุด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยท่าทีที่ร้อนรนเป็นอย่างมาก
“อะไรนะ ค้นพบทางเข้าแดนลึกลับที่ไม่รู้จัก!”
“มีพื้นที่เท่าไหร?”
“เคยมีคนเข้าไปไหม?”
“มีผนึกจำกัดหรือไม่?”
ฉู่ฉี กุยหรูฉวน ชายฉกรรจ์แซ่เหลย ได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนจะอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจระคนดีใจ ในขณะเดียวกันน้ำเสียงของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
มิน่าเล่าพวกเขาถึงเป็นเช่นนี้!
แดนลึกลับที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นแดนที่ไม่เคยมีคนค้นพบมาก่อน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ รูปแบบแรกมันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์ที่มีพลังแข็งแกร่ง
ภายในแดนลึกลับแบบแรกเต็มไปด้วยของล้ำค่าอย่างสมุนไพรจิตวิญญาณ หินจิตวิญญาณ ซึ่งสถานที่แบบนี้จะมีอันตรายค่อนข้างน้อย ส่วนอีกแบบหนึ่งจะซ่อนของล้ำค่าที่ตกทอดต่อๆ กันมา แต่ในนั้นจะอันตรายเป็นอย่างมาก และไม่รู้ว่ามีกับดักอันน่ากลัวที่ทำให้สูญสิ้นคนไปมากมายเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นแดนลึกลับแบบไหนก็ตาม พอมีคนหาผลประโยชน์ในนั้นออกมาได้ มันก็มากพอทำสำหรับใช้ทั้งนิกายหรือหลายนิกาย แม้กระทั่งเคยมีนิกายเล็กๆ บางนิกายที่โชคดีได้รับชุดวิชาที่ยอดเยี่ยมจากในแดนลึกลับบางแห่ง จากนั้นก็ใช้เวลาภายในไม่กี่ร้อยปีก็สามารถประกาศตัวเป็นใหญ่ในบริเวณแคว้นแถบนั้นได้
แน่นอนว่าวิกฤตกับโอกาสล้วนเป็นของคู่กัน มีบางนิกายที่เคยเป็นนิกายใหญ่แต่เพื่อที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่ จึงส่งกำลังทั้งหมดที่มีเข้าไปแดนลึกลับสุดท้ายก็โดนทำลายจนย่อยยับ จนถูกลบชื่อออกไปจากโลกแห่งการฝึกฝน
ตอนนี้แดนลึกลับที่ถูกค้นพบมีอยู่น้อยมาก ทางเข้าบางแห่งปรากฏอยู่ได้ไม่นานแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทางเข้าแดนลึกลับบางแห่งต้องใช้วิธีการเปิดที่รุนแรง และมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาในการเปิด ยิ่งไปกว่านั้นแดนลึกลับบางแห่งยังถูกวางกับดักอันลึกลับไว้ โดยที่นิกายทั่วไปไม่สามารถทำลายมันได้ทำได้เพียงมองดูแล้วทอดถอนใจเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทุกครั้งที่มีการค้นพบก็ก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดกันอีกรอบ
เพื่อที่จะได้ครอบครองทางเข้าแดนลับแห่งใหม่ แต่ละนิกายต่างก็ลงมือกันอย่างรุนแรง
ครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทางเข้าแดนลึกลับแห่งใหม่ได้พังทลายลงมาจนไม่สามารถยึดครองได้เอง เชื่อว่าทางนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตคงไม่บอกนิกายอื่นๆ อย่างแน่นอน และคงจะเก็บข่าวนี้ไว้แล้วเข้าไปสำรวจเองอย่างเงียบๆ
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ที่พวกเจ้าถามมาทั้งหมดนั้นข้าเองก็ไม่ค่อยชัดเจนมากนัก อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวถึงเรื่องนี้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ท่านอาจจะไปเกาะสยบมังกรก่อนแล้ว ดังนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะนำศิษย์แกนนำทั้งสิบนี้ตามไปด้วยตนเอง ศิษย์พี่หวง ศิษย์น้องจาง ท่านทั้งสองค่อนข้างเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลกับดักพรุ่งนี้ก็ไปพร้อมกับข้าเถอะ! อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นก็อยู่เฝ้านิกายรอฟังข่าวอยู่เงียบๆ ก็พอ ข้าทำตามคำสั่งของอาจารย์อาเยี่ยน ศิษย์น้องทุกท่านต่างก็ทำในสิ่งที่ตนเองต้องทำให้ดี ระยะเวลาอันสั้นนี้อย่าปล่อยให้เรื่องนี้รั่วไหลไปได้” ประมุขนิกายปีศาจหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วสั่งกำชับอีกรอบ
“ทราบ! ศิษย์พี่ท่านประมุข ข้าทั้งสองจะกลับไปเตรียมตัวให้ดี จะต้องไม่ทำให้เสียการใหญ่อย่างเด็ดขาด” ผู้อาวุโสแซ่หวงกับอาจารย์อาจางตอบรับด้วยความยินดี
ถึงแม้ฉู่ฉี หญิงแซ่หลิน และคนอื่นๆ จะรู้สึกไม่พอใจบ้าง แต่เมื่อประมุขนิกายปีศาจอ้างชื่อของอาจารย์อาเยี่ยนออกมา พวกเขาก็จำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างช่วยไม่ได้
ขณะนี้ ประมุขนิกายปีศาจเหาะออกจากลานหยก แล้วประกาศไปยังศิษย์ด้านล่างด้วยเสียงอันดังกังวาน
“ผลศิษย์แกนทั้งสิบในการประลองใหญ่ครั้งนี้ได้ออกมาแล้ว ซึ่งได้แก่หยางเฉียน เฟิงฉาน …… หลิ่วหมิง เหลยเจิ้น รวมทั้งหมดสิบคน แต่เป็นเพราะสาเหตุสำคัญบางอย่าง การประลองของศิษย์แกนนำทั้งสิบในวันพรุ่งนี้จะถูกยกเลิกชั่วคราว และจากนี้ไปนิกายเราจะปิดเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในระหว่างเวลานี้ผู้ที่ไม่ได้รับคำสั่งจากนิกายห้ามออกไปจากนิกายโดยพลการเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกขับไล่ออกจากนิกาย เอาล่ะ! นอกจากหยางเฉียนและศิษย์แกนนำทั้งเก้าแล้ว คนอื่นๆ ก็กลับไปยังที่พักเถอะ!”
ได้ยินประกาศเช่นนี้แล้ว ศิษย์หลายคนต่างก็ตกใจจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ภายใต้สายตาที่มองลงมาอย่างเข้มขวดของประมุขนิกายปีศาจพวกเขาย่อมไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆ ออกมา
จากนั้นบรรดาศิษย์ต่างก็ค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากเขาหิน พริบตาเดียวบนยอดเขานั้นก็เหลือเพียงหลิ่วหมิง และศิษย์แกนนำทั้งเก้าเท่านั้น พวกเขาต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง
“พวกเจ้าไม่ต้องตกใจไป ที่ข้าให้พวกเจ้าอยู่ต่อก็เพราะว่าจะต้องอธิบายสาเหตุให้พวกเจ้าฟังอย่างแน่นอน เรื่องมันเป็นแบบนี้ อาจารย์ปู่เยี่ยนของพวกเจ้า…….” ประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ เล่าเรื่องเกี่ยวกับแดนลึกลับ และเรื่องการเลื่อนการทดสอบความเป็นความตายเข้ามาก่อนให้ฟังอย่างคร่าวๆ
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินก็เบิกตาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“เพราะว่าเรื่องมันกะทันหันจนเกินไป ก็เลยไม่มีเวลาจัดการท้าสู้ชิงอันดับให้พวกเจ้า พวกเจ้าต้องไปที่ทางเข้าแดนลึกลับให้เร็วที่สุด เข้าไปทดสอบความเป็นความตายในนั้นกับศิษย์นิกายอื่นๆ ซึ่งเป็นงานที่ควรจะจัดขึ้นในหนึ่งปีให้หลัง ในขณะเดียวกันคะแนนของการทดสอบในครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินอันดับบนแผ่นศิลาจันทราของพวกเจ้า ส่วนกฎต่างๆ พอถึงที่นั่นอาจารย์ปู่จะอธิบายให้พวกเจ้าอย่างละเอียดเอง สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือกลับไปสะสมพลังให้ดีๆ พอพรุ่งนี้เช้าก็ออกเดินทางพร้อมกับข้า ขอเพียงแค่นิกายของเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการทดสอบความเป็นความตายนี้ได้มากพวกเจ้าจะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม นอกจากนี้ข่าวนี้ยังถือเป็นความลับจะต้องไม่บอกกับศิษย์ผู้อื่นโดยเด็ดขาด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงและศิษย์แกนนำทั้งหลายฟังจบแล้วจึงได้เข้าใจในฉับพลัน ถึงแม้แต่ละคนจะคิดเห็นต่างกันแต่ก็โค้งตัวตอบรับแต่โดยดี
ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวเหาะกลับไปยังลานหยกปรึกษาหารือเรื่องแดนลึกลับกับอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่อ
ศิษย์แกนนำทั้งสิบก็ค่อยๆ ทยอยออกจากเขาหินไป
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็กลับมาถึงที่พักของตนเอง แล้วเริ่มคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องแดนลึกลับ
เรื่องนี้อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นแบบเหนือความคาดหมาย
เดิมทีเขาคิดว่าจะมีเวลาปีกว่าๆ ในการฝึกฝน แล้วถึงจะเข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งนั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเลื่อนเข้ามาก่อนกำหนด ทั้งยังต้องเข้าไปในแดนลึกลับที่ไม่รู้ว่ามีสิ่งดีหรือสิ่งร้ายอยู่ในนั้น
ในแดนลึกลับที่ไม่รู้จักนี้ เกรงว่าพลังที่ฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา ที่สำคัญคือความสามารถในการรับรู้และวินิจฉัยอันตรายต่างๆ ที่อาจเข้ามา ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ตอนอยู่บนเกาะมฤตยูเขามีประสบการณ์ต่อสู้ที่ผ่านความเป็นความตายมาหลายปี ในด้านนี้เขาคงได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ มาก
และพอหลิ่วหมิงนึกถึงของล้ำค่าต่างๆ ที่ผู้ฝึกฝนได้รับจากแดนลึกลับ และพอออกมาจากในนั้นก็ฝึกฝนก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ทำให้เขาอดใจเต้นโครมครามไม่ได้
ถึงแม้ว่าของล้ำค่าต่างๆ ที่ได้รับจากแดนลึกลับจะยึดตามเคยชินเดิมคือกว่าครึ่งหนึ่งต้องมอบให้กับนิกาย แต่ขอเพียงรักษาได้เพียงส่วนเล็กๆ ในนั้น เกรงว่าคงเพียงพอที่จะใช้แลกกับทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าอาจจะต้องสูญเสียชีวิตกับอันตรายในแดนลึกลับนั้น ตอนอยู่บนเกาะมฤตยูเมื่อหลายปีก่อนเขาผ่านเส้นความเป็นความตายมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เขาจึงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
ความร่ำรวยใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ไม่เสี่ยงตายก็จะไม่ได้มา ยิ่งกลัวตายก็ยิ่งเป็นเหตุให้ตายเร็ว ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เขาเข้าใจดีกว่าผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก
อันตรายจะมากเพียงใดเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่มองเห็นว่ามีทางได้รับผลประโยชน์ก็คุ้มค่าที่จะเอาชีวิตเข้าแลกสักครั้ง
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เงียบๆ และไม่สามารถหาเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ได้ จากนั้นเขาก็ปิดเปลือกตาลงด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ แล้วเริ่มฟื้นฟูพลังเวทย์ที่สูญเสียไปในการประลองใหญ่ครั้งนี้
……………………………………….
Comments