ตำนานเทพกู้จักรวาล 606 ศพแห้งแห่งแสงฉาน

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 606 ศพแห้งแห่งแสงฉาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีได้ยินเสียงของฉินมู่ พวกเขาทั้งสองก็กระอักเลือดออกมา ทว่าพวกเขาไม่ได้กระอักเลือดเพราะฉินมู่ แต่เพราะจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในพยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์ มันแปรเปลี่ยนเป็นทางช้างเผือกอันสุกสกาว

แสงดาวดึงดูดและเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน โซ่แสงดาวก่อตัวขึ้นมาจากอักษรรูนทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วน แปรเปลี่ยนเป็นพยุหะสังหารที่กำลังดำเนินไป และทำร้ายทั้งสองคนพร้อมๆ กัน!

ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อมองจากมุมมองของพวกเขา กล่องหยกเล็กๆ ที่ใจกลางทางช้างเผือกได้กลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดมหึมา มันลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในทางช้างเผือก และแสงรังสีสุริยันอันเข้มข้นอย่างไร้ปานเปรียบก็เข้าไปกระหวัดพันกับหมู่ดาว

พยุหะสังหารนี้ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะรับมือได้!

“สามหมื่นห้าพันปี ตัวเลขนี้จริงหรือเท็จ?”

พวกเขาทั้งสองกระอักเลือดออกมากำใหญ่ กัดฟันกรอด ต่างก็ขับเคลื่อนวิธีป้องกันออกมา “ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ต้องพยายามทุกอย่างเท่าที่ทำได้!”

สมองของพวกเขาเร่งเครื่องทำงานด้วยพลังเต็มพิกัด และคิดคำนวณเส้นทางโคจรของดวงดาวและแสงดาว พวกเขาหลบหลีกโซ่แสงดาวและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พยุหะสังหารค่อยๆ หยุดลงและดวงดาวในบริเวณโดยรอบก็กลับมาเป็นขนาดปกติ แปรเปลี่ยนกลับเป็นเม็ดทรายดาวที่หมุนวนไปอย่างแช่มช้า

เหงื่อเย็นเยียบกลิ้งหล่นลงจากหน้าผากของฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลี ขณะที่พวกเขากำลังจะพุ่งตรงไปยังใจกลางพยุหะสังหารเพื่อแย่งชิงกล่องเล็ก ฉินมู่ก็ยืนอยู่ข้างหน้ามันแล้ว

ฉีเจี่ยวอี๋แตกตื่น เขากำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นปราณและโลหิตของเขาก็พวยพุ่งปั่นป่วน เขาชะงักทันที

เขานั้นได้รับบาดเจ็บและถูกโซ่แสงดาวซัดเฉียดไปเมื่อครู่ บาดแผลใหญ่ปรากฏที่หัวไหล่ของเขา แต่บาดแผลนี้ไม่สมานเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ ในทางตรงข้าม เลือดและเนื้อเอาแต่ไหลออกไป และหยดใหญ่ของมันลอยไปยังศพเหี่ยวแห้งบนบัลลังก์เหล็ก

เขารีบหันขวับมองไปที่เจ๋อหัวหลี เจ๋อหัวหลีเองก็ได้รับบาดเจ็บ และไม่อาจควบคุมปราณและโลหิตของตนได้เช่นกัน เลือดของเขาก็ลอยไปยังศพแห้งนั้น!

เลือดหยดแรกตกลงไปบนปากของศพแห้ง

รอบข้างพลันเงียบกริบ เงียบเสียจนน่ากลัว

“อูออออ–”

เสียงกู่ร้องยาวพลันดังมาจากปากของศพแห้ง เสียงกรอบแกรบดังตามมา ทั้งสองคนรู้สึกขนหัวลุกชันจนสุดเหยียดขณะที่พวกเขารีบปิดผนึกบาดแผลบนร่างกาย แต่แม้จะทำเช่นนั้น ก็ยังรู้สึกว่าพลังชีวิตกำลังถูกสูบออกไปอยู่ดี

“มีอะไรแปลกๆ นะ!”

เจ๋อหัวหลีตัดสินใจในเสี้ยววินาที เขารีบถอยกรูดและออกไปจากวิหาร ฉีเจี่ยวอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเขามองไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งยังอยู่ในพยุหะ เขากัดฟันกรอดและถอยออกไปจากวิหารเช่นกัน

ในพริบตาที่ฉีเจี่ยวอี๋ออกไปจากวิหาร เขาก็สะบัดแขนเสื้อ และต้นอู่ถงโบราณอันสาดส่องเพลิงทองคำก็ปรากฏเพื่อปิดกั้นประตูเอาไว้

เจ๋อหัวหลีหันกลับไปและยกดาบมารของเขาขึ้นมาเพื่อฟาดฟันลงไป แสงจากดาบพลันแยกออกจากกันและครอบคลุมต้นอู่ถงโบราณ

ทั้งสองคนพุ่งทะยานลงไปจากภูเขาราวกับมังกรดุสองตัว ทิ้งไว้แต่ภาพค้างติดตา

ฉินมู่ก็รู้สึกขนหัวลุกจนเต็มเหยียด เขารีบคว้ากล่องเล็กและวิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ เมื่อปราณและโลหิตไหลออกไปจากเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ พวกมันลอยไปยังศพแห้งและตกลงไปยังหัวสองหัวของมัน เสียงกรอบแกรบก็ดังมาจากหัวทั้งสองนั้น จากนั้นสามหัวก็ค่อยๆ หันมาและมองตรงที่เขา

ในเบ้าตาของศีรษะทั้งสาม ดวงตาเหี่ยวฝ่อก็ค่อยๆ มีโลหิตมาหล่อเลี้ยงและพองขึ้นมาช้าๆ

ฉินมู่ได้ออกมาจากพยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์เรียบร้อยแล้ว และไปยังประตูวิหาร แต่ทันใดนั้น ต้นอู่ถงโบราณก็ฟาดลงมาใส่เขา

“ไอ้เปรตแซ่ฉี!”

ฉินมู่เหน็บกล่องเล็กไว้ใต้รักแร้ ขณะที่อีกมือหนึ่งของเขาคว้าจับไจกระบี่ ด้วยแรงสั่นสะเทือน ไจกระบี่เล็กๆ นับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ปะทะเข้ากับต้นอู่ถงโบราณ!

ฉีเจี่ยวอี๋ได้ขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะของเขาด้วยความเร่งรีบ ดังนั้นพลานุภาพของต้นอู่ถงโบราณจึงมิได้แข็งแกร่งนัก มันทำได้เพียงแค่ขัดขวางเขาไว้อึดใจเดียว หากว่ามันเป็นกระบวนท่าที่สมบูรณ์ ฉินมู่ก็คงจะต้องขับเคลื่อนกระบี่ภัยพิบัติเพื่อรับมือ

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ฟาดฟันไปและตัดโค่นต้นอู่ถงโบราณ ทะลวงผ่านมรรคา วิชา และทักษะเทวะของฉีเจี่ยวอี๋ แต่กระนั้น แสงมีดก็ตามเข้ามาและฟาดใส่หน้าของเขา ทำลายกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์

เจ๋อหัวหลี!

ฉินมู่โกรธเกรี้ยวขณะที่หลบหลีกคมดาบของกระบวนท่านี้ เขาหมุนตัวสะบัดกระบี่ไปรอบๆ กระบวนท่าที่สองของกระบี่เต๋า–รวบห้าปราณมัดสามกำเนิด–ก็ปะทุออกมา ทำลายกระบวนท่าของเจ๋อหัวหลี

ไม่มีทักษะเทวะที่กีดขวางประตูอีกต่อไป

ฉินมู่ย่อตัวลงและขาของเขาก็ระเบิดพลังถีบตัวให้พุ่งไปข้างหน้า ด้วยเสียงปังดังสนั่น อากาศข้างหน้าเขาก็ถูกอัดเป็นกำแพง อันปริแยกออกจากกันหลังจากนั้น

ร่างกายของฉินมู่ลอยขึ้นไปบนอากาศขณะที่เขาพุ่งออกไปจากประตูวิหาร รอยยิ้มค่อยๆ คลี่คลายออกมาบนใบหน้า

แต่ทว่า ร่างกายของเขาพลันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ

ไม่ทันที่เขาจะได้ยิ้มเต็มแก้ม รอยยิ้มก็หายไป ความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาในใบหน้าของเขา

เท้าของเขาลอยกลับไปข้างหลังและเขาไม่สามารถแตะพื้นได้ ไม่ว่าเขาจะขับเคลื่อนทักษะเทวะอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์

ฉินมู่จัดแจงเสื้อผ้าของตนบนอากาศ และประคองถือกล่องเล็กขึ้นมาอย่างนอบน้อม

เมื่อเท้าของเขาแตะพื้น ฉินมู่ก็รีบยกกล่องหยกขึ้นสูงเหนือหัวและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสไว้ชีวิตข้าด้วย!”

มือของเขารู้สึกเบาลงเมื่อกล่องเล็กนั้นลอยขึ้นไป ฉินมู่แอบมองดูและเห็นว่ากล่องหยกนั้นลอยไปตกลงตรงหน้าซากร่างแห้งเหี่ยวอันมีสามเศียรหกกร

“อูออออออออ–”

ศพแห้งนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ศพแห้ง เพียงแต่ปราณและโลหิตของเขาแห้งเหือดไป พลังชีวิตของเขาถูกสูบออก ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่กึ่งเป็นกึ่งตาย เมื่อฉินมู่และพรรคพวกมาถึง ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีได้รับบาดเจ็บและส่งโลหิตสดไปยังปากของเขา นี่เพียงพอที่จะจุดพลังชีวิตของเขาขึ้นมาใหม่อีกหน

เสียงหวีดร้องน่าสยองดังมาจากคอของเขา เมื่อเขาดูเหมือนกำลังปรับการทำงานของร่างเนื้อตนเอง เสียงกรอบแกรบดังมาจากข้างในร่างกายราวกับว่ากระดูกของเขากำลังกระทบกัน

“อู–น้ำ…หรือเลือด!”

ฉินมู่รีบนำเอาถุงน้ำออกมาและมอบให้เขาอย่างนอบน้อม ตั้งแต่เมื่อผจญกับทะเลทรายเพลิงโหม เขาก็มักจะมีถุงน้ำติดตัวไว้ตลอดเวลาอันเต็มไปด้วยน้ำสะอาด เก็บไว้ในถุงเต๋าตี้

ศพแห้งยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก การเคลื่อนไหวของงมันเชื่องช้า

“ผู้อาวุโส ให้ข้าช่วยเถอะ”

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเปิดถุงน้ำออกอย่างสุภาพ จากนั้นเขาก็วางมันลงไปที่ปากของศพแห้ง หลังจากศพแห้งดื่มมันเข้าไปทั้งหมด ศีรษะทางขวาของเขาก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “น้ำ–”

ฉินมู่นำเอาถุงน้ำอีกถุงออกมา และวางมันไว้ที่ปากของเขา เมื่อเขาดื่มมันจนหมด ฉินมู่ก็นำถุงน้ำที่สามออกมาและจ่อให้ที่ศีรษะทางซ้ายของเขา

ศีรษะทางซ้ายของศพนี้ ดื่มน้ำเข้าไปด้วยความยากลำบาก ฉินมู่ลอบมองดูและแตกตื่นในใจ เขาพบว่าศีรษะทั้งสองที่ได้ดื่มน้ำค่อยๆ ขยายพองออกมาด้วยเลือดและเนื้อ มันดูเหมือนว่าจะมีปราณและโลหิตไหลเวียนในร่างกายของเขา

ไม่เพียงแค่นั้น เส้นเลือดของเขาอันเหมือนกับแผ่นดินอันแห้งผากพลันได้รับหยาดพิรุณชุ่มฉ่ำ ไม่นานนั้นก็มีเสียงของโลหิตไหลเวียนในเส้นเลือด

ศพแห้งนี้…ไม่สิ มันไม่ใช่ศพแห้ง มันน่าจะเป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งจากสามหมื่นห้าพันปีก่อน! เขาได้ฝึกปรือวิชาประหลาดนี้อันทำให้เขาสามารถจำศีลในสภาวะที่เหมือนตายได้ วิชาฝึกปรือนี้มหัศจรรย์และผิดธรรมดาเสียจริง ฉินมู่ครุ่นคิดในใจ

ใบหน้าของศพค่อยๆ เติมเต็มกลับมาช้าๆ เขาสามารถมองเห็นเค้าหน้าได้ มันไม่ใช่เพียงแค่หนังติดกระดูกอย่างตอนแรก

แต่ถึงอย่างไร กายเนื้อของเขาคงจะเหือดแห้งหมดพลังมากเกินไป เขาจึงไม่อาจฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมด้วยเพียงดื่มน้ำเปล่า แต่ทว่าก็ยังพอมองออกว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

“ผู้อาวุโส–”

ฉินมู่กำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็เห็นว่าชายสามหัวหกแขนนี้ลืมตาขึ้นมา ในเบ้าตาของเขา ลูกตาค่อยๆ เต่งเต็ม ไม่ช้า ตาดำและตาขาวของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจน

“ปีนี้ปีอะไรแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างอ่อนระโหย เขายกมือข้างหนึ่งจับกล่องเล็ก วางมันไว้ที่หัวเข่า

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบไป “ตอนนี้เป็นปีแห่งสันตินิรันดร์ ส่วนว่าจะเป็นปีที่เท่าไร ข้าไม่แน่ใจนัก”

“สันตินิรันดร์?”

ชายสามหัวหกแขนหมายจะลุกขึ้น แต่เขาทำไม่ได้ เขาถามขณะที่หอบหายใจ “ไม่ใช่ว่ามันควรจะเป็นปีแห่งจักรพรรดิก่อตั้งหรือ หรือว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้สิ้นสุดไปแล้วเหมือนกัน”

ฉินมู่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “มันได้จบไปแล้วเมื่อสองหมื่นปีก่อน ผู้อาวุโส ท่านคงจะได้จมลงไปในการจำศีลเมื่อสองหมื่นปีก่อน และเมื่อท่านตื่นขึ้นมามันก็ผ่านไปสองหมื่นปีแล้ว ทำไมผู้อาวุโสถึงมายังเขตแดนของเผ่ามาร ที่นี่คือสวรรค์หลัวฝูของเผ่ามาร และการมาถึงของท่านเป็นสาเหตุให้เผ่ามารเผชิญการทำลายล้าง เป็นสาเหตุให้พวกมารเข้าไปรุกรานสวรรค์ไท่หวง ดาวเคราะห์ของผู้อาวุโส…”

ชายสามหัวหกแขนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้าเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากยุคแสงฉาน ข้าไปซุ่มซ่อนทางนั้นและทางนี้ตลอดปียาวนานนับไม่ถ้วน เพราะว่าพวกข้าต้องการกลับไปยังประเทศเกิด พวกข้าก็ออกมาจากสถานที่ซ่อนและหมายจะกลับดินแดนบรรพชนแห่งแสงฉาน เมื่อพวกเราเดินทางมา พวกข้าก็ได้ยินว่ามันเป็นยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีมายังสถานที่แห่งนี้ อันได้เผชิญเข้ากับศัตรู”

“ศัตรู?” ฉินมู่ตกตะลึง

ชายสามหัวหกแขนกล่วอย่างเยือกเย็น “ศัตรูที่ได้ทำลายยุคสมัยแสงฉานของข้า ในเมื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง มันก็น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ฮี่ๆ ข้าได้ยินว่ามีแม้กระทั่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งก่อนยุคจักรพรรดิก่อตั้ง…”

เขาส่ายหัว “ข้าคือเผ่าเทพแสงฉานแห่งยุคสมัยแสงฉาน ชื่อของข้าคือชื่อซี เดิมทีข้าเป็นหัวหน้าเพชฌฆาตแห่งสภาสวรรค์แสงฉาน มีอำนาจควบคุมความเป็นและความตาย เทพใดที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญก็ยากที่จะหลบลี้หนีไปจากแท่นประหารเทพได้”

ฉินมู่ร้องออกมา “ถ้าอย่างนั้น ขุนเขาเทวะนี้–”

“ขุนเขาเทวะนี้มิใช่ภูเขา แต่คือแท่นประหารเทพ”

ชายสามหัวหกแขนนามชื่อซีหยุดลงเพื่อสูดหายใจ “ประหารเทพเจ้าบนแท่นประหารเทพ แท่นนี้ได้ดูดซับโลหิตของเทพเจ้ามากมายที่ได้ก่อกรรมทำชั่ว เมื่อเวลาผ่านไป ก็เกิดคำสาปอันยิ่งใหญ่ผุดขึ้นมา แม้แต่ข้าเองก็ได้รับผลกระทบ เมื่อข้าต่อสู้กับพวกมาร ข้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นแท่นประหารเทพจึงเริ่มดูดกลืนพลังของข้า ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดผนึกตนเองและเข้าจำศีล มาสิ มาช่วยพยุงข้าหน่อย”

ฉินมู่ก้าวเข้าไปข้างหน้าและพยุงเขา ฝ่ามือของชื่อซีคว้าจับไปที่บ่าใกล้ๆ คอของฉินมู่ ขณะที่ลุกขึ้นมาด้วยร่างอันสั่นเทิ้ม

ฉินมู่พยายามทานทนความเจ็บ “ผู้อาวุโส ท่านกำลังทำให้ข้าเจ็บ”

ชื่อซีเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขายังคงกดไปที่บ่าของเด็กหนุ่มและเดินไปยังเบื้องหน้าภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขาเพ่งพิศมองนภาประดับดาวบนนั้นและพึมพำ “แผ่นดินบรรพชน แผ่นดินบรรพชนอยู่ที่นี่…ข้ายังไม่ตาย ข้ายังกลับไปได้ พวกเขาจะต้องรอให้ข้ารายงานกลับไป…เจ้ารู้หรือไม่ สาเหตุที่แท่นประหารเทพนี้มีความร้ายกาจน่าพรั่นพรึงก็เพราะว่ามันถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยแท่นประหารเทพในสมบัติเทวะปราสาทสวรรค์ มันเป็นของยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ”

ฉินมู่ตกตะลึงและพึมพำ “ยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ…”

เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดออกมาจากบ่า เล็บของชื่อซีปักเข้าไปในผิวหนังของเขา และเขารู้สึกได้ว่าโลหิตของเขากำลังหลั่งไหลออกมา พลังชีวิตและเลือดของเขากำลังไหลเข้าไปในร่างของชื่อซี

ใบหน้าของชื่อซีค่อยมีสีฝาดขึ้นมาและลมหายใจของเขาก็มั่นคงยิ่งขึ้น เขาหัวเราะในคอและกล่าว “จริงสิ นี่คือกล่องเล็กที่ใช้ควบคุมแท่นประหารเทพนี้ เมื่อกล่องเล็กเปิดขึ้นมา ฮี่ๆ…เจ้าเกือบจะเอากล่องเล็กนี้ไปได้”

ฉินมู่มึนหัวเล็กน้อย มันเป็นสัญญาณของการสูญเสียเลือดมากเกินไป สายตาเขาวูบไหวพลางกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าเจ็บจริงๆ ข้าเลือดไหล แท่นประหารเทพกำลังเริ่มดูดกลืนปราณและโลหิตของข้า”

ใบหน้าของชื่อซีค่อยๆ เต็มเต่งขึ้นมาด้วยเลือดและเนื้ออันกำเนิดขึ้นมาข้างในนั้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเลือดไหลอยู่จริงๆ แต่ที่ดูดกลืนเลือดของเจ้าไม่ใช่แท่นประหารเทพ น้ำที่ข้าดื่มเข้าไปไม่อาจฟื้นฟูปราณและโลหิตของข้าได้ ข้านั้นแห้งเหือดมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องการโลหิตของใครสักคน…แค่ก แค่ก แค่ก!”

เขาพลันไออย่างรุนแรง

“เกิดอะไรขึ้นผู้อาวุโส”

เสียงของฉินมู่เต็มไปด้วยความห่วงใย “ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไหม ท่านรู้สึกมึนงงหรือเปล่า คอของท่านคันคะเยอไหม”

ชื่อซีไม่ยอมปล่อยเขาไป และยกแขนสี่ข้างขึ้นมาเคาะหัวตนเองอย่างรุนแรง ร่างของเขาส่ายโงนเงนไปมา ขณะที่อีกสองมือคว้าจับกล่องเล็ก

ฉินมู่กล่าวด้วยความห่วงใยกังวลและกระสับกระส่าย “ผู้อาวุโส ท่านขาดน้ำหรือเปล่า ข้ายังมีน้ำอยู่ที่นี่นะ ผู้อาวุโสจะดื่มไหม ไอ๊หยา ข้าลืมไปสนิท! ข้าได้เติมส่วนผสมเล็กน้อยเข้าไปในถุงน้ำพวกนี้!”

ฉินมู่ขยี้เท้าและกล่าว “ข้าจะทำอย่างไรดี”

เขาหันกาย เดินกลับไปกลับมา ชื่อซีคว้าไปที่เขาแต่ก็พลาด ล้มคะมำลงคุกเข่ากับพื้น

“ถุงน้ำของข้าดันผสมผงสลายโลหิตเอาไว้น่ะสิ!”

ฉินมู่ทุบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือดังฉาด และถอนหายใจยาว “พิษชนิดนี้จะสลายโลหิตเมื่อเข้าไปแตะต้องกับมัน มันใช้ในการกำจัดศพ ข้าเผลอลืมมันไปได้อย่างไรนี่! ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไหม”

ชื่อซีคุกเข่าไม่ขยับ ดวงตาค่อยๆ กลอกไปทางเขา

ฉินมู่หลบตาเขา และหยิบเอากล่องเล็กออกไปจากมือ “วรยุทธของผู้อาวุโสออกจะแข็งแกร่ง ดังนั้นท่านต้องถอนพิษนี้ได้แน่นอน จริงไหม ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะไม่รบกวนท่านอีกต่อไป ลาก่อน!” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ลื่นไหลหนีไป

ลูกตาของชื่อซีกลอกมา แสงเทวะยิงออกไปจากดวงตาของเขา เจาะทะลุสองรูในวิหาร!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 606 ศพแห้งแห่งแสงฉาน

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 606 ศพแห้งแห่งแสงฉาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีได้ยินเสียงของฉินมู่ พวกเขาทั้งสองก็กระอักเลือดออกมา ทว่าพวกเขาไม่ได้กระอักเลือดเพราะฉินมู่ แต่เพราะจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในพยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์ มันแปรเปลี่ยนเป็นทางช้างเผือกอันสุกสกาว

แสงดาวดึงดูดและเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน โซ่แสงดาวก่อตัวขึ้นมาจากอักษรรูนทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วน แปรเปลี่ยนเป็นพยุหะสังหารที่กำลังดำเนินไป และทำร้ายทั้งสองคนพร้อมๆ กัน!

ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อมองจากมุมมองของพวกเขา กล่องหยกเล็กๆ ที่ใจกลางทางช้างเผือกได้กลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดมหึมา มันลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในทางช้างเผือก และแสงรังสีสุริยันอันเข้มข้นอย่างไร้ปานเปรียบก็เข้าไปกระหวัดพันกับหมู่ดาว

พยุหะสังหารนี้ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะรับมือได้!

“สามหมื่นห้าพันปี ตัวเลขนี้จริงหรือเท็จ?”

พวกเขาทั้งสองกระอักเลือดออกมากำใหญ่ กัดฟันกรอด ต่างก็ขับเคลื่อนวิธีป้องกันออกมา “ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ต้องพยายามทุกอย่างเท่าที่ทำได้!”

สมองของพวกเขาเร่งเครื่องทำงานด้วยพลังเต็มพิกัด และคิดคำนวณเส้นทางโคจรของดวงดาวและแสงดาว พวกเขาหลบหลีกโซ่แสงดาวและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พยุหะสังหารค่อยๆ หยุดลงและดวงดาวในบริเวณโดยรอบก็กลับมาเป็นขนาดปกติ แปรเปลี่ยนกลับเป็นเม็ดทรายดาวที่หมุนวนไปอย่างแช่มช้า

เหงื่อเย็นเยียบกลิ้งหล่นลงจากหน้าผากของฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลี ขณะที่พวกเขากำลังจะพุ่งตรงไปยังใจกลางพยุหะสังหารเพื่อแย่งชิงกล่องเล็ก ฉินมู่ก็ยืนอยู่ข้างหน้ามันแล้ว

ฉีเจี่ยวอี๋แตกตื่น เขากำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นปราณและโลหิตของเขาก็พวยพุ่งปั่นป่วน เขาชะงักทันที

เขานั้นได้รับบาดเจ็บและถูกโซ่แสงดาวซัดเฉียดไปเมื่อครู่ บาดแผลใหญ่ปรากฏที่หัวไหล่ของเขา แต่บาดแผลนี้ไม่สมานเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ ในทางตรงข้าม เลือดและเนื้อเอาแต่ไหลออกไป และหยดใหญ่ของมันลอยไปยังศพเหี่ยวแห้งบนบัลลังก์เหล็ก

เขารีบหันขวับมองไปที่เจ๋อหัวหลี เจ๋อหัวหลีเองก็ได้รับบาดเจ็บ และไม่อาจควบคุมปราณและโลหิตของตนได้เช่นกัน เลือดของเขาก็ลอยไปยังศพแห้งนั้น!

เลือดหยดแรกตกลงไปบนปากของศพแห้ง

รอบข้างพลันเงียบกริบ เงียบเสียจนน่ากลัว

“อูออออ–”

เสียงกู่ร้องยาวพลันดังมาจากปากของศพแห้ง เสียงกรอบแกรบดังตามมา ทั้งสองคนรู้สึกขนหัวลุกชันจนสุดเหยียดขณะที่พวกเขารีบปิดผนึกบาดแผลบนร่างกาย แต่แม้จะทำเช่นนั้น ก็ยังรู้สึกว่าพลังชีวิตกำลังถูกสูบออกไปอยู่ดี

“มีอะไรแปลกๆ นะ!”

เจ๋อหัวหลีตัดสินใจในเสี้ยววินาที เขารีบถอยกรูดและออกไปจากวิหาร ฉีเจี่ยวอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเขามองไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งยังอยู่ในพยุหะ เขากัดฟันกรอดและถอยออกไปจากวิหารเช่นกัน

ในพริบตาที่ฉีเจี่ยวอี๋ออกไปจากวิหาร เขาก็สะบัดแขนเสื้อ และต้นอู่ถงโบราณอันสาดส่องเพลิงทองคำก็ปรากฏเพื่อปิดกั้นประตูเอาไว้

เจ๋อหัวหลีหันกลับไปและยกดาบมารของเขาขึ้นมาเพื่อฟาดฟันลงไป แสงจากดาบพลันแยกออกจากกันและครอบคลุมต้นอู่ถงโบราณ

ทั้งสองคนพุ่งทะยานลงไปจากภูเขาราวกับมังกรดุสองตัว ทิ้งไว้แต่ภาพค้างติดตา

ฉินมู่ก็รู้สึกขนหัวลุกจนเต็มเหยียด เขารีบคว้ากล่องเล็กและวิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ เมื่อปราณและโลหิตไหลออกไปจากเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ พวกมันลอยไปยังศพแห้งและตกลงไปยังหัวสองหัวของมัน เสียงกรอบแกรบก็ดังมาจากหัวทั้งสองนั้น จากนั้นสามหัวก็ค่อยๆ หันมาและมองตรงที่เขา

ในเบ้าตาของศีรษะทั้งสาม ดวงตาเหี่ยวฝ่อก็ค่อยๆ มีโลหิตมาหล่อเลี้ยงและพองขึ้นมาช้าๆ

ฉินมู่ได้ออกมาจากพยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์เรียบร้อยแล้ว และไปยังประตูวิหาร แต่ทันใดนั้น ต้นอู่ถงโบราณก็ฟาดลงมาใส่เขา

“ไอ้เปรตแซ่ฉี!”

ฉินมู่เหน็บกล่องเล็กไว้ใต้รักแร้ ขณะที่อีกมือหนึ่งของเขาคว้าจับไจกระบี่ ด้วยแรงสั่นสะเทือน ไจกระบี่เล็กๆ นับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ปะทะเข้ากับต้นอู่ถงโบราณ!

ฉีเจี่ยวอี๋ได้ขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะของเขาด้วยความเร่งรีบ ดังนั้นพลานุภาพของต้นอู่ถงโบราณจึงมิได้แข็งแกร่งนัก มันทำได้เพียงแค่ขัดขวางเขาไว้อึดใจเดียว หากว่ามันเป็นกระบวนท่าที่สมบูรณ์ ฉินมู่ก็คงจะต้องขับเคลื่อนกระบี่ภัยพิบัติเพื่อรับมือ

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ฟาดฟันไปและตัดโค่นต้นอู่ถงโบราณ ทะลวงผ่านมรรคา วิชา และทักษะเทวะของฉีเจี่ยวอี๋ แต่กระนั้น แสงมีดก็ตามเข้ามาและฟาดใส่หน้าของเขา ทำลายกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์

เจ๋อหัวหลี!

ฉินมู่โกรธเกรี้ยวขณะที่หลบหลีกคมดาบของกระบวนท่านี้ เขาหมุนตัวสะบัดกระบี่ไปรอบๆ กระบวนท่าที่สองของกระบี่เต๋า–รวบห้าปราณมัดสามกำเนิด–ก็ปะทุออกมา ทำลายกระบวนท่าของเจ๋อหัวหลี

ไม่มีทักษะเทวะที่กีดขวางประตูอีกต่อไป

ฉินมู่ย่อตัวลงและขาของเขาก็ระเบิดพลังถีบตัวให้พุ่งไปข้างหน้า ด้วยเสียงปังดังสนั่น อากาศข้างหน้าเขาก็ถูกอัดเป็นกำแพง อันปริแยกออกจากกันหลังจากนั้น

ร่างกายของฉินมู่ลอยขึ้นไปบนอากาศขณะที่เขาพุ่งออกไปจากประตูวิหาร รอยยิ้มค่อยๆ คลี่คลายออกมาบนใบหน้า

แต่ทว่า ร่างกายของเขาพลันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ

ไม่ทันที่เขาจะได้ยิ้มเต็มแก้ม รอยยิ้มก็หายไป ความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาในใบหน้าของเขา

เท้าของเขาลอยกลับไปข้างหลังและเขาไม่สามารถแตะพื้นได้ ไม่ว่าเขาจะขับเคลื่อนทักษะเทวะอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์

ฉินมู่จัดแจงเสื้อผ้าของตนบนอากาศ และประคองถือกล่องเล็กขึ้นมาอย่างนอบน้อม

เมื่อเท้าของเขาแตะพื้น ฉินมู่ก็รีบยกกล่องหยกขึ้นสูงเหนือหัวและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสไว้ชีวิตข้าด้วย!”

มือของเขารู้สึกเบาลงเมื่อกล่องเล็กนั้นลอยขึ้นไป ฉินมู่แอบมองดูและเห็นว่ากล่องหยกนั้นลอยไปตกลงตรงหน้าซากร่างแห้งเหี่ยวอันมีสามเศียรหกกร

“อูออออออออ–”

ศพแห้งนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ศพแห้ง เพียงแต่ปราณและโลหิตของเขาแห้งเหือดไป พลังชีวิตของเขาถูกสูบออก ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่กึ่งเป็นกึ่งตาย เมื่อฉินมู่และพรรคพวกมาถึง ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีได้รับบาดเจ็บและส่งโลหิตสดไปยังปากของเขา นี่เพียงพอที่จะจุดพลังชีวิตของเขาขึ้นมาใหม่อีกหน

เสียงหวีดร้องน่าสยองดังมาจากคอของเขา เมื่อเขาดูเหมือนกำลังปรับการทำงานของร่างเนื้อตนเอง เสียงกรอบแกรบดังมาจากข้างในร่างกายราวกับว่ากระดูกของเขากำลังกระทบกัน

“อู–น้ำ…หรือเลือด!”

ฉินมู่รีบนำเอาถุงน้ำออกมาและมอบให้เขาอย่างนอบน้อม ตั้งแต่เมื่อผจญกับทะเลทรายเพลิงโหม เขาก็มักจะมีถุงน้ำติดตัวไว้ตลอดเวลาอันเต็มไปด้วยน้ำสะอาด เก็บไว้ในถุงเต๋าตี้

ศพแห้งยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก การเคลื่อนไหวของงมันเชื่องช้า

“ผู้อาวุโส ให้ข้าช่วยเถอะ”

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเปิดถุงน้ำออกอย่างสุภาพ จากนั้นเขาก็วางมันลงไปที่ปากของศพแห้ง หลังจากศพแห้งดื่มมันเข้าไปทั้งหมด ศีรษะทางขวาของเขาก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “น้ำ–”

ฉินมู่นำเอาถุงน้ำอีกถุงออกมา และวางมันไว้ที่ปากของเขา เมื่อเขาดื่มมันจนหมด ฉินมู่ก็นำถุงน้ำที่สามออกมาและจ่อให้ที่ศีรษะทางซ้ายของเขา

ศีรษะทางซ้ายของศพนี้ ดื่มน้ำเข้าไปด้วยความยากลำบาก ฉินมู่ลอบมองดูและแตกตื่นในใจ เขาพบว่าศีรษะทั้งสองที่ได้ดื่มน้ำค่อยๆ ขยายพองออกมาด้วยเลือดและเนื้อ มันดูเหมือนว่าจะมีปราณและโลหิตไหลเวียนในร่างกายของเขา

ไม่เพียงแค่นั้น เส้นเลือดของเขาอันเหมือนกับแผ่นดินอันแห้งผากพลันได้รับหยาดพิรุณชุ่มฉ่ำ ไม่นานนั้นก็มีเสียงของโลหิตไหลเวียนในเส้นเลือด

ศพแห้งนี้…ไม่สิ มันไม่ใช่ศพแห้ง มันน่าจะเป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งจากสามหมื่นห้าพันปีก่อน! เขาได้ฝึกปรือวิชาประหลาดนี้อันทำให้เขาสามารถจำศีลในสภาวะที่เหมือนตายได้ วิชาฝึกปรือนี้มหัศจรรย์และผิดธรรมดาเสียจริง ฉินมู่ครุ่นคิดในใจ

ใบหน้าของศพค่อยๆ เติมเต็มกลับมาช้าๆ เขาสามารถมองเห็นเค้าหน้าได้ มันไม่ใช่เพียงแค่หนังติดกระดูกอย่างตอนแรก

แต่ถึงอย่างไร กายเนื้อของเขาคงจะเหือดแห้งหมดพลังมากเกินไป เขาจึงไม่อาจฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมด้วยเพียงดื่มน้ำเปล่า แต่ทว่าก็ยังพอมองออกว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

“ผู้อาวุโส–”

ฉินมู่กำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็เห็นว่าชายสามหัวหกแขนนี้ลืมตาขึ้นมา ในเบ้าตาของเขา ลูกตาค่อยๆ เต่งเต็ม ไม่ช้า ตาดำและตาขาวของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจน

“ปีนี้ปีอะไรแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างอ่อนระโหย เขายกมือข้างหนึ่งจับกล่องเล็ก วางมันไว้ที่หัวเข่า

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบไป “ตอนนี้เป็นปีแห่งสันตินิรันดร์ ส่วนว่าจะเป็นปีที่เท่าไร ข้าไม่แน่ใจนัก”

“สันตินิรันดร์?”

ชายสามหัวหกแขนหมายจะลุกขึ้น แต่เขาทำไม่ได้ เขาถามขณะที่หอบหายใจ “ไม่ใช่ว่ามันควรจะเป็นปีแห่งจักรพรรดิก่อตั้งหรือ หรือว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้สิ้นสุดไปแล้วเหมือนกัน”

ฉินมู่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “มันได้จบไปแล้วเมื่อสองหมื่นปีก่อน ผู้อาวุโส ท่านคงจะได้จมลงไปในการจำศีลเมื่อสองหมื่นปีก่อน และเมื่อท่านตื่นขึ้นมามันก็ผ่านไปสองหมื่นปีแล้ว ทำไมผู้อาวุโสถึงมายังเขตแดนของเผ่ามาร ที่นี่คือสวรรค์หลัวฝูของเผ่ามาร และการมาถึงของท่านเป็นสาเหตุให้เผ่ามารเผชิญการทำลายล้าง เป็นสาเหตุให้พวกมารเข้าไปรุกรานสวรรค์ไท่หวง ดาวเคราะห์ของผู้อาวุโส…”

ชายสามหัวหกแขนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้าเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากยุคแสงฉาน ข้าไปซุ่มซ่อนทางนั้นและทางนี้ตลอดปียาวนานนับไม่ถ้วน เพราะว่าพวกข้าต้องการกลับไปยังประเทศเกิด พวกข้าก็ออกมาจากสถานที่ซ่อนและหมายจะกลับดินแดนบรรพชนแห่งแสงฉาน เมื่อพวกเราเดินทางมา พวกข้าก็ได้ยินว่ามันเป็นยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีมายังสถานที่แห่งนี้ อันได้เผชิญเข้ากับศัตรู”

“ศัตรู?” ฉินมู่ตกตะลึง

ชายสามหัวหกแขนกล่วอย่างเยือกเย็น “ศัตรูที่ได้ทำลายยุคสมัยแสงฉานของข้า ในเมื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง มันก็น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ฮี่ๆ ข้าได้ยินว่ามีแม้กระทั่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งก่อนยุคจักรพรรดิก่อตั้ง…”

เขาส่ายหัว “ข้าคือเผ่าเทพแสงฉานแห่งยุคสมัยแสงฉาน ชื่อของข้าคือชื่อซี เดิมทีข้าเป็นหัวหน้าเพชฌฆาตแห่งสภาสวรรค์แสงฉาน มีอำนาจควบคุมความเป็นและความตาย เทพใดที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญก็ยากที่จะหลบลี้หนีไปจากแท่นประหารเทพได้”

ฉินมู่ร้องออกมา “ถ้าอย่างนั้น ขุนเขาเทวะนี้–”

“ขุนเขาเทวะนี้มิใช่ภูเขา แต่คือแท่นประหารเทพ”

ชายสามหัวหกแขนนามชื่อซีหยุดลงเพื่อสูดหายใจ “ประหารเทพเจ้าบนแท่นประหารเทพ แท่นนี้ได้ดูดซับโลหิตของเทพเจ้ามากมายที่ได้ก่อกรรมทำชั่ว เมื่อเวลาผ่านไป ก็เกิดคำสาปอันยิ่งใหญ่ผุดขึ้นมา แม้แต่ข้าเองก็ได้รับผลกระทบ เมื่อข้าต่อสู้กับพวกมาร ข้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นแท่นประหารเทพจึงเริ่มดูดกลืนพลังของข้า ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดผนึกตนเองและเข้าจำศีล มาสิ มาช่วยพยุงข้าหน่อย”

ฉินมู่ก้าวเข้าไปข้างหน้าและพยุงเขา ฝ่ามือของชื่อซีคว้าจับไปที่บ่าใกล้ๆ คอของฉินมู่ ขณะที่ลุกขึ้นมาด้วยร่างอันสั่นเทิ้ม

ฉินมู่พยายามทานทนความเจ็บ “ผู้อาวุโส ท่านกำลังทำให้ข้าเจ็บ”

ชื่อซีเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขายังคงกดไปที่บ่าของเด็กหนุ่มและเดินไปยังเบื้องหน้าภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขาเพ่งพิศมองนภาประดับดาวบนนั้นและพึมพำ “แผ่นดินบรรพชน แผ่นดินบรรพชนอยู่ที่นี่…ข้ายังไม่ตาย ข้ายังกลับไปได้ พวกเขาจะต้องรอให้ข้ารายงานกลับไป…เจ้ารู้หรือไม่ สาเหตุที่แท่นประหารเทพนี้มีความร้ายกาจน่าพรั่นพรึงก็เพราะว่ามันถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยแท่นประหารเทพในสมบัติเทวะปราสาทสวรรค์ มันเป็นของยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ”

ฉินมู่ตกตะลึงและพึมพำ “ยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ…”

เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดออกมาจากบ่า เล็บของชื่อซีปักเข้าไปในผิวหนังของเขา และเขารู้สึกได้ว่าโลหิตของเขากำลังหลั่งไหลออกมา พลังชีวิตและเลือดของเขากำลังไหลเข้าไปในร่างของชื่อซี

ใบหน้าของชื่อซีค่อยมีสีฝาดขึ้นมาและลมหายใจของเขาก็มั่นคงยิ่งขึ้น เขาหัวเราะในคอและกล่าว “จริงสิ นี่คือกล่องเล็กที่ใช้ควบคุมแท่นประหารเทพนี้ เมื่อกล่องเล็กเปิดขึ้นมา ฮี่ๆ…เจ้าเกือบจะเอากล่องเล็กนี้ไปได้”

ฉินมู่มึนหัวเล็กน้อย มันเป็นสัญญาณของการสูญเสียเลือดมากเกินไป สายตาเขาวูบไหวพลางกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าเจ็บจริงๆ ข้าเลือดไหล แท่นประหารเทพกำลังเริ่มดูดกลืนปราณและโลหิตของข้า”

ใบหน้าของชื่อซีค่อยๆ เต็มเต่งขึ้นมาด้วยเลือดและเนื้ออันกำเนิดขึ้นมาข้างในนั้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเลือดไหลอยู่จริงๆ แต่ที่ดูดกลืนเลือดของเจ้าไม่ใช่แท่นประหารเทพ น้ำที่ข้าดื่มเข้าไปไม่อาจฟื้นฟูปราณและโลหิตของข้าได้ ข้านั้นแห้งเหือดมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องการโลหิตของใครสักคน…แค่ก แค่ก แค่ก!”

เขาพลันไออย่างรุนแรง

“เกิดอะไรขึ้นผู้อาวุโส”

เสียงของฉินมู่เต็มไปด้วยความห่วงใย “ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไหม ท่านรู้สึกมึนงงหรือเปล่า คอของท่านคันคะเยอไหม”

ชื่อซีไม่ยอมปล่อยเขาไป และยกแขนสี่ข้างขึ้นมาเคาะหัวตนเองอย่างรุนแรง ร่างของเขาส่ายโงนเงนไปมา ขณะที่อีกสองมือคว้าจับกล่องเล็ก

ฉินมู่กล่าวด้วยความห่วงใยกังวลและกระสับกระส่าย “ผู้อาวุโส ท่านขาดน้ำหรือเปล่า ข้ายังมีน้ำอยู่ที่นี่นะ ผู้อาวุโสจะดื่มไหม ไอ๊หยา ข้าลืมไปสนิท! ข้าได้เติมส่วนผสมเล็กน้อยเข้าไปในถุงน้ำพวกนี้!”

ฉินมู่ขยี้เท้าและกล่าว “ข้าจะทำอย่างไรดี”

เขาหันกาย เดินกลับไปกลับมา ชื่อซีคว้าไปที่เขาแต่ก็พลาด ล้มคะมำลงคุกเข่ากับพื้น

“ถุงน้ำของข้าดันผสมผงสลายโลหิตเอาไว้น่ะสิ!”

ฉินมู่ทุบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือดังฉาด และถอนหายใจยาว “พิษชนิดนี้จะสลายโลหิตเมื่อเข้าไปแตะต้องกับมัน มันใช้ในการกำจัดศพ ข้าเผลอลืมมันไปได้อย่างไรนี่! ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไหม”

ชื่อซีคุกเข่าไม่ขยับ ดวงตาค่อยๆ กลอกไปทางเขา

ฉินมู่หลบตาเขา และหยิบเอากล่องเล็กออกไปจากมือ “วรยุทธของผู้อาวุโสออกจะแข็งแกร่ง ดังนั้นท่านต้องถอนพิษนี้ได้แน่นอน จริงไหม ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะไม่รบกวนท่านอีกต่อไป ลาก่อน!” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ลื่นไหลหนีไป

ลูกตาของชื่อซีกลอกมา แสงเทวะยิงออกไปจากดวงตาของเขา เจาะทะลุสองรูในวิหาร!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+