ตำนานเทพกู้จักรวาล 713 ผู้มีเสน่ห์ที่สุด

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 713 ผู้มีเสน่ห์ที่สุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตี้อี้เยว่มองไปที่เงาในกระจกของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก นางอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความลิงโลดยินดีและชื่นชมเขาอย่างไม่หยุดปาก “เจ้าเป็นปรมาจารย์มหาเวทจริงๆ ผู้ซึ่งมีมือศักดิ์สิทธิ์ ข้ามองไม่เห็นตำหนิใดๆ เลยแม้แต่น้อย”

“ช้าก่อน!”

ฉินมู่รีบหยุดนางไว้และกล่าว “อย่าเพิ่มขยับ เวลาที่พี่สาวยิ้ม มันมีรอยย่นเล็กน้อยที่หางตา ให้ข้าช่วยทำให้รอยย่นนี้ราบเรียบเถอะ”

ตี้อี้เยว่หยุดขยับทันที ฉินมู่ก้าวเข้าไป และอักษรรูนเล็กๆ ก็วิ่งออกจากปลายนิ้วของเขาเพื่อไปซ่อมแซมผิวหนังที่หางตาของนาง ทำให้รอยย่นจางหายไป นั่นทำให้ผิวหนังที่หางตานกหงส์เพลิงของนางทั้งขาวและอ่อนเยาว์

ตี้อี้เยว่กะพริบตาของนางและยกกระจกขึ้นดูอีกหลายครั้ง นางแย้มยิ้มให้แก่กระจก และตระหนักว่ารอยย่นเล็กๆ นั้นจางหายไปแล้วจริงๆ นางดีใจอย่างถึงที่สุด

ฉินมู่ชื่นชม “พี่สาวสะสวยจริงๆ”

ตี้อี้เยว่ลิงโลดแทบโดดถึงดวงจันทร์และเอียงอายไปเล็กน้อย

“ไอ้คนขายยาเก๊ ไม่ใช่พวกนักปรุงยาหรอกที่จะตกงาน แต่เป็นเจ้าต่างหาก”

เฒ่าหนวกมาข้างๆ กายนักปรุงยา และเขาบิดหูตนเองเล็กน้อย “เป็นเจ้าต่างหากที่จะตกงาน ต่อไปนี้เจ้าคงขายได้แต่ยาเก๊ เจ้าไม่สามารถอาศัยใช้หนังหน้าหากินได้อีกต่อไป”

นักปรุงยาถอนหายใจ และแย้มยิ้มอย่างขื่นๆ “สั่งสอนศิษย์ดี แต่อาจารย์ก็จะอดตาย มู่เอ๋อกำลังจะกลายเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า โชคดีว่าเจ้าหนุ่มน้อยนี้ยังงงๆ เด๋อด๋า และไม่ไขว่คว้าเรื่องความรักใคร่ ไม่อย่างนั้น ด้วยปากของเขาแบบนี้จะก่อสัมพันธ์สวาทมากมายขนาดไหน”

เฒ่าหนวกกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าสอนเขาได้ดี ปากเขาก็ควรจะต้องหวานเช่นนี้ แต่สตรีทุกคนล้วนแต่เป็นจิ้งจอกสาว เด็กนี่ยังคงจดจำถ้อยคำที่พวกเขาพูด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะปากหวานฉอเลาะแก่สตรีทุกนางที่เขาพบแต่เขาก็ยังระวังป้องกันพวกนางไว้ ดังนั้นเขาไม่ดำเนินตามรอยเจ้าอย่างแน่นอน”

นักปรุงยาปรับหน้ากากทองแดงบนใบหน้าและกล่าวด้วยเสียงเบา “มู่เอ๋อไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไปแล้ว พวกเราสอนเขาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะถ่วงรั้งเรื่องสำคัญในชีวิตของเขาหรอกหรือ หากว่าเขาระวังป้องกันผู้หญิงทุกคน และไม่กล้าคืบหน้าต่อไปกับพวกนาง พวกเราจะทำอย่างไร”

เฒ่าหนวกไม่ปริปาก

นักปรุงยาถามอีกครั้ง และเฒ่าหนวกก็ยังคงไม่กล่าวอะไร

นักปรุงยาหัวเราะด้วยความเดือดดาล “หูของเจ้างอกกลับมาแล้ว เลิกเสแสร้งว่าหูหนวกสักที! ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ รีบๆ หาความคิดดีๆ ออกมา ไม่งั้นข้าจะวางยาพิษให้เจ้าหนวกอีกรอบ!”

เฒ่าหนวกจนปัญญาและกล่าว “ข้าก็ไม่รู้ ก่อนนั้น ข้าสอนเขาว่าสุภาพบุรุษพึงบรรยายสตรีว่า หวานล้ำ สะคราญ และสง่างาม ขณะที่พวกเจ้าสอนเขาว่าสตรีทุกคนเป็นจิ้งจอกสาว หนังสือศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้บอกว่าข้าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ปรุงยาสักขนานที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์ใคร่เสียล่ะ”

นักปรุงยากล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ในฐานะศิษย์ของข้า เขายังต้องพึ่งยาเพื่อปลุกอารมณ์ใคร่อีกหรือ นั่นไม่ใช่จะทำให้หน้าของราชาพิษหน้าหยกแหกยับเยินหรืออย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ความเชี่ยวชาญด้านยาของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าข้า และเขาสามารถถอนพิษยาที่ข้าวางใส่เขาได้ หากข้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ข้าคงสอนเขาแบบกั๊กๆ ไว้บ้าง…”

ประชาชนแห่งลี่โจวตื่นขึ้นมา และพวกเขาก็ล้วนแต่งวยงง พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา และนึกไปว่าพวกเขาได้ผล็อยหลับไป ผู้ฝึกวิชาเทวะบางคนสามารถคาดคะเนได้ว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น แต่พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้อย่างถ่องแท้ว่ามันคือเรื่องอะไร

แต่ทว่า เกิดเหตุการณ์ประหลาดมากมายในแถบชนบท บางคนตื่นขึ้นมา และนิสัยใจคอของนางก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสุดโต่ง อ้างว่านางไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นชายที่มาจากสถานที่อีกแห่ง อันจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นผู้หญิง

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแถบชนบทเหล่านั้นได้ถามบุคคลนั้นว่าเขาอยู่ที่ไหนและมีใครในครอบครัวบ้าง เมื่อพวกเขาไปยังสถานที่นั้น ก็พบว่ามีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ และคนนั้นก็อ้างตัวว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย เขาบอกว่าเขาเป็นผู้หญิงที่เข้าร่างผิด

มีเหตุการณ์เช่นนี้เป็นพันๆ กรณี และมันก็สร้างความอึกทึกครึกโครมอยู่ไม่น้อย

“ดวงวิญญาณคงจะกลับเข้าร่างผิดเมื่อพวกเขาถูกเรียกกลับมา”

ฉินมู่ได้ยินข่าวลือและคาดเดา “นำทางวิญญาณของอาจารย์ยังไม่ถึงขั้น ทำให้เมื่อส่งดวงวิญญาณเข้าไปในร่างของพวกเขา จึงมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเล็กน้อย นี่น่าจะเพราะว่าท่านไม่ได้สำเร็จภาษาใต้พิภพอย่างสมบูรณ์แบบ”

นักบุญคนตัดไม้ย้อนไปด้วยใบหน้าดำคล้ำ “หากว่าเจ้าเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่มาทำเอง”

ฉินมู่กล่าวอย่างใสซื่อ “ข้าคิดว่าอาจารย์จะสามารถทำได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะขาดพร่องไปเล็กน้อย หากว่าท่านเข้าใจความหมายและอารมณ์ของภาษาใต้พิภพได้อย่างแม่นยำ มรรคา วิชา และทักษะเทวะทั้งหลายก็จะกระจ่างชัดในสายตาของท่านโดยไม่จำเป็นต้องอธิบาย แบบนั้นแล้ว ก็จะไม่มีความผิดพลาดใดๆ”

คนตัดไม้พูดไม่ออกด้วยความเดือดดาล และสำลักคำพูดของเขา

นักปรุงยาและเฒ่าหนวกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เฒ่าหนวกชมเปาะ “มู่เอ๋อทั้งถ่อมตนและสุภาพ สมแล้วกับเป็นเด็กที่พวกเราถนอมกล่อมเลี้ยงมาเป็นอย่างดี เขานั้นถ่อมตนเกินไป เขาบอกว่านักบุญเพียงด้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วห่างชั้นกันประมาณนี้!”

เขากางมือออกกว้าง

นักปรุงยาเองก็กระหยิ่มเล็กน้อย “นี่ก็เพราะการสั่งสอนของพวกเรา ตั้งแต่เมื่อเขาเด็กๆ พวกเราก็สั่งสอนเขาอยู่เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนก็ยังมีคน ดังนั้นเขาจึงจะต้องถ่อมตนและระมัดระวัง แม้ว่าเมื่อเขาพบกับผู้คนที่ด้อยกว่า ก็ควรจะพูดเสมอว่าอีกฝ่ายนั้นด้อยกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุให้จนถึงตอนนี้มู่เอ๋อก็ยังไม่ถูกกระทืบจนตาย”

ผู้เฒ่าทั้งสองเผยรอยยิ้มปลาบปลื้ม

“เพื่อแก้ปัญหานี้ พวกเราจะต้องสลับวิญญาณ”

ฉินมู่กล่าว “เพียงแต่ว่ามีกรณีเช่นนี้เป็นพันๆ และพวกเขาก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ในแห่งหนตำบลอันแตกต่างกันในลี่โจว จะต้องใช้เวลานานเพื่อจะตามหาพวกเขาทั้งหมด…”

เขานั้นรู้สึกขยาดกับเรื่องยุ่งยาก

นักบุญคนตัดไม้กล่าว “เรื่องการสลับวิญญาณนั้น ให้เป็นหน้าที่ของบัณฑิตที่ฝึกฝนนำทางวิญญาณเถอะ พวกเราไม่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง เจ้าได้สั่งให้บัณฑิตเหล่านี้มุ่งหน้าไปยังชนบทอวี้จื้อแล้ว เพียงแค่เรียกตัวให้พวกเขารีบกลับมาก็พอ”

ฉินมู่พยักหน้าและฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกไปเพื่อติดต่อกับซีอวิ๋นเซี่ยง

ซีอวิ๋นเซี่ยงมีใบหน้าอันเหนื่อยล้า และนางก็กล่าว “จ้าวลัทธิ เจ้าให้พวกเรามุ่งหน้าไปยังเมืองชนบทอวี้จื้อเพื่อดึงดวงวิญญาณของผู้คนแห่งอวี้จื้อกลับมา ตอนแรกทุกอย่างก็เรียบร้อยดี แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น ขณะที่บัณฑิตเหล่านั้นกำลังขับเคลื่อนนำทางวิญญาณ จู่ๆ ก็มีเรือน้อยปรากฏขึ้นมา พร้อมกับแสงสว่างที่ส่องออกมาจากความมืด เมื่อแสงฉายออกไป บัณฑิตก็จะสูญเสียดวงวิญญาณและกลายเป็นซากศพ”

ฉินมู่ตกตะลึง “นี่เป็นการลงมือของราชันย์ขุนนาง!”

ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าวต่อ “เทวราชอวี้กล่าวว่านั่นเพราะพวกเราเพรียกขานดวงวิญญาณกลับมามากเกินไป และแตะต้องเข้ากับกฎแห่งแดนใต้พิภพ ดังนั้นผู้นำทางความตายจึงลงมือเพื่อจับดวงวิญญาณของผู้ละเมิดกฎไป แต่ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ ดวงวิญญาณของบัณฑิตเหล่านี้ก็กลับมา และพวกเขาบางคนก็กล่าวว่าเป็นเพราะโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพวิงวอนขอร้องต่อผู้นำทางความตายให้ส่งตัวพวกเขากลับ ข้าไม่รู้ว่านี่จริงหรือเท็จ”

ฉินมู่มีสีหน้าว่างเปล่า “ข้าไม่ได้วิงวอนขอร้องราชันย์ขุนนาง เกิดอะไรขึ้น…ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ดีแล้วที่บัณฑิตเหล่านี้กลับมาได้ นี่ช่วยประหยัดเรื่องราวไม่ให้ข้าต้องลงไปที่แดนใต้พิภพด้วยตนเอง ข้าแอบรู้สึกว่าแดนใต้พิภพไม่ค่อยจะต้อนรับข้า ทุกครั้งที่ข้าไปที่นั่น ราชันย์ขุนนางกับภูติบดีก็ไม่เคยจะมองข้าดี พวกเขาเหมือนกว่าอยากจะให้ข้ารีบไสหัวไปให้พ้นๆ อยู่ตลอดเวลา”

เขาอธิบายต้นสายปลายเหตุและกล่าว “ธิดาเทพเซี่ยง นำบัณฑิตมีความสามารถร้อยคนมายังลี่โจว ช่วยเหลือผู้คนที่ดวงวิญญาณเข้าร่างผิดพลาดให้กลับสู่ร่างของตนเอง อย่าสร้างเรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้”

ซีอวิ๋นเซี่ยงรับคำและรีบเรียกบัณฑิตเหล่านั้นไปยังมณฑลลี่โจว

ฉินมู่กล่าวลานักปรุงยาและเฒ่าหนวก เขาติดตามนักบุญคนตัดไม้ บรรพชนแรก และตี้อี้เยว่ไปยังเมืองหลวงเพื่อพบกับศิษย์อีกคนของคนตัดไม้ ราชครูสันตินิรันดร์ ตอนแรกฉินมู่ก็ไม่ได้กะว่าจะไป แต่เป็นตี้อี้เยว่ที่อยากให้เขาติดตามไปด้วย

“ราชาสวรรค์ พวกเราสามารถค่อยๆ เดินทางและชมดูวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของสันตินิรันดร์”

นักบุญคนตัดไม้แนะนำ “การปฏิรูปสันตินิรันดร์มิใช่เพียงแค่ถ้อยคำ พวกมันเป็นการกระทำจริงๆ ที่ได้ลงมือทำ สิ่งที่พวกเราพบเห็นระหว่างทางจะต้องเปลี่ยนมุมมองของท่านอย่างแน่นอน”

ตี้อี้เยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้าเป็นครูบาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และเจ้าก็รับผิดชอบการปฏิรูปจักรพรรดิก่อตั้ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองหมื่นปี เจ้าก็สามารถผลักดันยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งไปถึงขั้นที่สภาสวรรค์นอกโลกไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะกำจัดกวาดล้างมัน หรือเจ้าคิดที่จะเข้าร่วมการปฏิรูปสันตินิรันดร์อีกครั้ง เจ้าจะใช้เวลาสักกี่ปีล่ะที่จะผลักดันสันตินิรันดร์ให้ก้าวไปถึงขั้นที่สภาสวรรค์นอกโลกไม่อาจอดทนมันได้อีกต่อไป”

เมื่อนักบุญคนตัดไม้ได้ยินนางกล่าวถึงยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง สีหน้าเขาก็หมองลง และเขากล่าวอย่างขมขื่น “ข้าได้นำขับเคลื่อนการปฏิรูปจักรพรรดิก่อตั้งก็จริง แต่ข้าไม่ได้ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสันตินิรันดร์ ผู้คนที่นำขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างแท้จริงนั้นก็คือศิษย์คนที่สามของข้า”

เขาชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วและกล่าว “ศิษย์คนโตของข้าได้ถ่ายทอดปรัชญาความคิดว่ามรรคาแห่งนักบุญมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากการยังประโยชน์แก่การใช้สอยประจำวันของผู้คน”

ทุกคนเดินไปสนทนาไปพลาง ตี้อี้เยว่เองก็กำลังสังเกตการณ์ชีวิตของผู้คนที่นางพบเห็นตามรายทาง นักบุญคนตัดไม้ชูนิ้วที่สองและกล่าว “ศิษย์คนที่สามของข้าใช้ประโยคนั้นเพื่อสันตินิรันดร์ อันทำให้สันตินิรันดร์เป็นดังเช่นที่เห็นในทุกวันวันนี้ ข้าสอนศิษย์คนโตของข้าเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี และข้าก็สอนศิษย์คนที่สามของข้าเพียงสองปี ส่วนการปฏิรูปสันตินิรันดร์นั้น ข้าไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามขัดจังหวะ ข้าเพียงแต่วิ่งเป็นม้าใช้ให้กับศิษย์คนที่สามเท่านั้น”

ตี้อี้เยว่ปรายตามองฉินมู่ และนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบอกว่าผู้นำขับเคลื่อนการปฏิรูปนั้นเป็นศิษย์ของเจ้าทั้งสามคน แต่เจ้าเพียงแต่พูดถึงศิษย์คนที่หนึ่งและคนที่สามเท่านั้น และยังไม่ได้กล่าวถึงศิษย์คนที่สองของเจ้า”

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่และรู้สึกปวดหัวแทบจะระเบิด เขาส่ายหน้าและกล่าว “ศิษย์คนรองของข้า ข้าไม่ได้สอนเขาเลยสักวัน ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ข้าก็มีศิษย์นี้ขึ้นมา”

ตี้อี้เยว่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เขาได้ทำอะไรบ้างล่ะ”

นักบุญคนตัดไม้อยากจะปลุกปลอบขวัญกำลังใจของตน แต่ก็ทำไม่ได้ เขาได้แต่กล่าวอย่างชืดชา “เขานั้นเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังศิษย์คนที่สามของข้า”

ตี้อี้เยว่ฉงนใจ

นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยเสียงระโหยโรยแรง “เมื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์และศิษย์คนที่สามของข้าอยู่ในช่วงคับขันอันตรายมากที่สุด เขาก็เป็นคนที่สนับสนุนอย่างเต็มกำลังจนจักรวรรดิสันตินิรันดร์รอดพ้นมาได้ เขาปกป้องจักรพรรดิและศิษย์คนที่สามของข้า เมื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง เขาก็เป็นผู้ที่มาปกป้องมันอีกหน เมื่ออันตรายลงมาอีกที…”

“ครูบาสวรรค์ใหญ่ พอได้แล้ว ข้าเข้าใจล่ะ”

ตี้อี้เยว่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “คงจะต้องเป็นเขาที่ปกป้องจักรวรรดิสันตินิรันดร์และศิษย์คนที่สามอีก ใช่ไหมล่ะ”

“ข้าไม่เข้าใจศิษย์คนนี้ของข้าเลยจริงๆ”

นักบุญคนตัดไม้มีสีหน้าพิลึกและลอบเพ่งพิศดูฉินมู่ เขากล่าวด้วยเสียงเบา “เขาเป็นคนที่เข้าใจไม่ได้เลยจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนิสัยใจคอพิลึกพิลั่นขนาดนี้ เขามีความกล้าหาญเฉียบขาดที่จะปฏิรูป และเขาก็มีความทะเยอทะยานและความเชื่ออันยิ่งใหญ่ซึ่งยากจะลบล้าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังชาญฉลาดและพิสดาร เขานั้นสงสัยใคร่รู้ในทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกวางโรโง่เซ่อ กระนั้น…”

เขาคิดอีกนิดหน่อยก่อนที่จะกล่าวต่อ “กระนั้นเขาก็มีเสน่ห์อันแปลกประหลาด และเมื่อใดที่เขาจดจ่อกับเรื่องหนึ่ง เขาก็จะสามารถค้นคว้าสิ่งประหลาดพิสดารออกมามากมาย เขาถึงกับสามารถวิ่งเร่ไปที่โลกหยินสวรรค์เพียงลำพังเพื่อฟื้นคืนชีพเทพีหยินสวรรค์ คิดค้นเวทมนตร์ที่ทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายกลับมารวมกันใหม่ได้ เพื่อประกอบสร้างดวงวิญญาณขึ้นมาใหม่และฟื้นคืนชีพคนตาย!”

“เขายังคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศ ทำให้ผู้ฝึกในขั้นหกทิศสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิม และเปลี่ยนระบบฝึกวิทยายุทธอันถูกสืบทอดกันมาหลายสิบหมื่นปีได้!”

“เขาถึงกับสร้างสรรค์ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย และผลักดันให้วิชากระบี่ทั้งหมดก้าวหน้าไปอย่างใหญ่หลวง เขาดูเหมือนจะไม่มีข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ในการตรึกตรองทำความเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะทั้งหลาย สิ่งที่ผู้อื่นคิดว่าทำไม่ได้ เขาก็สามารถทำได้ แม้แต่สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณที่เชื่อมต่อสองโลกมิติเข้าด้วยกัน ก็เป็นเจ้าเด็กนี่ที่คิดค้นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แก้ไขปัญหาเรื่องม่านคุ้มกันระหว่างโลก”

“ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ว่าเขาจะเรียนรู้หรือตรึกตรองอะไรออกมาได้ เขาก็เผยแพร่มันออกไปทั่วทั้งจักรวรรดิ และเขาไม่เคยเก็บมันเอาไว้เพื่อตนเองเลย วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิคงเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยากใช่ไหม สภาสวรรค์นอกโลกได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากมายกว่าจะเก็บสะสมวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิแต่ละวิชาได้ แต่เขากลับถ่ายทอดวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิถึงสามวิชาที่เขาได้รับมาลงไปโดยทั่วกัน”

“ผู้ที่เป็นศัตรูอย่างชัดแจ้งกลับถูกเขาเอาชนะใจได้ และกลายเป็นสหายของเขา ผู้ที่เป็นสหายของเขาก็จะถูกเขาทำให้คลั่งใจเสียจนอยากจะเตะตูดเขาให้จังหนับ!”

นักบุญคนตัดไม้ถอนหายใจและกล่าว “เมื่อข้าคิดว่าเขาคือคนที่สมบูรณ์แบบ ข้าก็พบจุดบกพร่องทุกชนิดบนตัวเขา หนึ่งนั้นคือเขาไม่มีสมาธิจดจ่อได้นาน และเขามักจะไปค้นคว้าเรื่องนั้นทีค้นคว้าเรื่องนี้ที หลังจากที่คิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้ว เขาก็วิ่งหนีไปทำเรื่องอื่น เขาคิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด และก็วิ่งตื๋อไปโดยไม่ฉวยแรงผลักดันนี้เพื่อศึกษาค้นคว้าท่วงท่ากระบี่ที่สิบเก้า นี่ทำให้ผู้คนอยากจะเอากระบี่จ่อคอ บังคับให้เขาศึกษาแต่เรื่องเดียวให้ลุล่วงยิ่งนัก”

“ปัญหาที่สองคือเขาใจกล้าจนเกินไป เขานั้นบ้าบิ่นยิ่งนักจนเหมือนโง่เซ่อ เขากล้าที่จะทำเรื่องอันตราย เหตุการณ์ในลี่โจวครั้งนี้เป็นกับดักเหยื่อล่อ เขาก็ยังวิ่งไปใส่อย่างไม่รู้คิด”

“ปัญหาที่สามคือเขาหยิ่งผยอง ท่านอาจจะเห็นเขาถ่อมตน แต่เขาไม่ได้ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย เขาหยิ่งผยองอย่างสุดๆ สวรรค์คืออันดับหนึ่ง งั้นข้าก็เป็นอันดับสอง ภูติบดีคืออันดับหนึ่ง งั้นข้าก็เป็นอันดับสอง จักรพรรดิฟ้าเป็นอันดับหนึ่ง งั้นข้าก็เป็นอันดับสอง…”

คิ้วของนักบุญคนตัดไม้ขมวดมุ่นจนไม่รู้จะขมวดอย่างไร และเขาก็ถอนหายใจ “ข้าไม่เข้าใจเขา ข้าไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ”

ตี้อี้เยว่มองไปยังฉินมู่ที่กำลังหลอมปรุงยาให้แก่กิเลนมังกร หลังจากที่ให้อาหารกิเลนมังกรแล้ว เขาก็วิ่งไปดูรถวายุและสนทนาหารือกับบัณฑิตแห่งเมืองชนบทเพื่อดูว่าจะมีช่องทางพัฒนามันขึ้นไปอีกได้หรือไม่

“เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ”

ตี้อี้เยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาใช้ชีวิตอย่างเสรีและมีความสุขยิ่งกว่าใครๆ!”

“ไม่!”

นักบุญคนตัดไม้ส่ายศีรษะ “จริงๆ แล้วภาระความรับผิดชอบที่เขาแบกรับไว้ใหญ่หลวงนัก เขานั้นเพียงแค่มองโลกในแง่ดี ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาใช้ชีวิตอย่างเสรีและมีความสุข แต่กระนั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของตน เขาเพียงแต่เลือกที่จะเผชิญชีวิตด้วยทัศนคติเชิงบวก เพื่อเผชิญกับอันตราย”

“เขาไม่อาจเลือกชาติกำเนิดของเขาได้ แต่เขาสามารถเลือกเส้นทางสำหรับอนาคต เช่นเดียวกับเลือกทัศนคติที่เขาจะใช้ในการดำเนินไปตามมรรคานี้ เขานั้นเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด