ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋องบทที่ 191 ยังโมโหอยู่อีก?

Now you are reading ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง Chapter บทที่ 191 ยังโมโหอยู่อีก? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทว่าซินหรูกลับจดจำเรื่องของเซียวจิ่นได้แม่นยำนัก “พี่สาว ท่านไม่ได้ไปดูฝ่าบาทหลายวันเช่นนี้ ไม่สู้ไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ดูเหมือนเขาจะถามถึงพี่สาวกับข้าทุกวัน ตรองดูแล้วน่าจะคิดถึงท่านมากเจ้าค่ะ”

หลินชิงเวยมองนางนิ่งๆ “อ่านตำราเจ้าจำไม่ได้ แต่เรื่องอื่นเจ้ากลับจำได้ขึ้นใจ”

ซินหรูแลบลิ้นหัวเราะฮิๆ “ใครใช้ฝ่าบาทพูดถึงแต่ท่านให้ข้าฟังตลอดล่ะเจ้าคะ”

ยามสายฝนตกหนักระลอกหนึ่งผ่านเข้ามา เมฆดำลอยตัวหนาแน่นอยู่กลางท้องฟ้า เสียงลมพัดหวีดหวิวราวกับสวรรค์ยังทนไม่ไหวกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุเช่นนี้ ด้วยสภาพอากาศร้อนมาเป็นเวลายาวนาน ละอองน้ำที่รวมตัวกันอยู่ในชั้นบรรยากาศไม่อาจประคองตัวได้อีกต่อไป น้ำฝนทั้งหมดจึงพากันเทลงมา สายฝนไหลลงมาตามชายคาเรือน เสียงน้ำไหลดังซู่ซ่า สายลมพัดมาทำให้กระแสน้ำเฉียงไปด้วย บรรยากาศของความชุ่มชื้นครอบคลุมทั้งระเบียงทางเดิน ส่งผลให้กระโปรงของหลินชิงเวยเปียกชื้น

ยามนั้นซินหรูลิงโลดใจและชิงชังยิ่งนักด้วยมิอาจออกไปเล่นน้ำฝนได้

ความร้อนที่ครอบคลุมลงมาในหลายวันนี้ถูกสายฝนในครั้งนี้ชะล้างออกไปไม่น้อยเลยทีเดียว

สายฝนมาอย่างรวดเร็วและไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อฝนหยุดลง ดวงตะวันก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมเมฆที่เคลื่อนคล้อย แสงตะวันสาดส่องลงบนกลิ่นอายของน้ำ ทำให้เกิดเป็นสายรุ้งเจ็ดสีกลางท้องนภาที่ส่องสว่างไปทั่ว

เมื่อถึงยามเที่ยงวันหยดน้ำบนพื้นล้วนถูกแสงตะวันอาบไล้จนแห้งเหือด

หลินชิงเวยฟังคำพูดของซินหรูแล้วฉุกคิดได้ว่าตนไม่ได้ไปเยือนตำหนักซวี่หยางเป็นเวลาหลายวันแล้วเช่นกัน ดังนั้นนางจึงคิดจะไปตำหนักซวี่หยางในยามบ่าย ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือนางต้องเข้าไปตรวจดูอาการขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นด้วย

เงาร่างของนางเดินผ่านเงาร่มของต้นไม้ ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาทอดลงมาบนร่างของนางเป็นพักๆ ราวกับเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง

เซียวจิ่นเห็นนางมาจึงยินดียิ่งยวด ยามนั้นหลินชิงเวยกำลังตรวจดูขาทั้งคู่ของเขา ปลายนิ้วของนางเคาะลงบนไม้กระดานที่ประกบขาทั้งสองพร้อมถามว่า “ยามนี้ยังรู้สึกเจ็บเป็นพักๆ หรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่น “ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ยามราตรีเจิ้นแทบจะทนไม่ได้ที่จะยืดขาทั้งคู่ให้ตรง เวลานั้นจึงจะรู้สึกปวดเล็กน้อย” ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ บนใบหน้าปรากฏให้เห็นแววตาตื่นเต้นบางๆ เขารู้ว่าเขาห่างจากการยืนขึ้นด้วยตนเองไม่ไกล เวลานี้ได้ก้าวหน้ามาไกลแล้ว เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีความรู้สึกอยากจะยืดขาเช่นนี้มาก่อน ราวกับมันอยู่สงบนิ่งเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็สามารถยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจได้แล้ว

หลินชิงเวย “อดทนพักฟื้นเถิดเพคะ รอให้ฟื้นฟูร่างกายดีแล้ว พระองค์คิดจะยืดขาอย่างไรก็ยืดตามพระทัยเพคะ”

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเซียวจิ่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ทว่าเปี่ยมไปด้วยความจริงใจว่า “ชิงเวย ขอบคุณเจ้า” ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขาหลายครั้ง ยังรักษาขาทั้งคู่ของเขาอีก หากไม่มีหลินชิงเวย ชาตินี้เขาคงไม่อาจยืนขึ้นมาได้อีกแล้ว มีคำพูดนับพันนับหมื่น ทว่าเซียวจิ่นไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี ในที่สุดจึงกลั่นออกมาเป็นคำขอบคุณอย่างจริงใจเพียงประโยคเดียว

หลินชิงเวยยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทไม่ต้องคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนดีขนาดนั้น หม่อมฉันไม่ได้เป็นท่านหมอมือฉมังผู้โอบอ้อมอารี ต่อให้ถวายการรักษาแก่ฝ่าบาทก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนเช่นกันเพคะ”

เซียวจิ่นเพียงแต่พูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทนก็พูดออกมาเถิด ขอเพียงเจิ้นทำได้ เจิ้นย่อมรับปากเจ้าทุกอย่าง”

หลินชิงเวยกะพริบตาปริบๆ “สิ่งตอบแทนที่หม่อมฉันต้องการ ฝ่าบาทมิใช่ได้รับปากไปแล้วหรือเพคะ อีกทั้งเวลานี้ฝ่าบาทได้รับผลสำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็มีฝ่าบาทเป็นที่พึ่งพิงไม่ใช่หรือเพคะ”

ดวงตาของเซียวจิ่นเปล่งประกายวิบวับ “ต่อไปหากมีคนรังแกข่มเหงเจ้า หรือเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม เจิ้นไม่มีวันนิ่งดูดาย”

หลินชิงเวยพูดด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ “ยังไม่มีผู้ใดทำให้หม่อมฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมได้เพคะ”

เซียวจิ่นหยุดชะงักไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ได้ยินว่าคืนนั้นเจ้าไปส่งอาหารว่างมื้อดึกให้เสด็จอาที่ห้องทรงพระอักษร พบกับไทเฮาเช่นนั้นหรือ?”

หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันไปทำลายเรื่องดีๆ ของนางและเซ่อเจิ้งอ๋อง คาดว่ายามนี้นางคงจะเกลียดหม่อมฉันจนปวดฟันแล้วกระมัง” หลินชิงเวยพูดแล้วมองหน้าเซียวจิ่น นางพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “หม่อมฉันพูดถึงไทเฮาเช่นนี้ ฝ่าบาทจะเกลียดชังหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”

เซียวจิ่นครุ่นคิดแล้วพูดตรงๆ “เจิ้นคิดว่าเจ้ารู้แล้วเช่นกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้นและไทเฮาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”

หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นหม่อมฉันก็วางใจแล้วเพคะ”

เซียวจิ่นถามเสียงเบาอีกว่า “เจ้ายังโกรธเสด็จอาอยู่อีกใช่หรือไม่”

“หืม? หม่อมฉันโกรธด้วยหรือเพคะ” หลินชิงเวยพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เซียวจิ่นยิ้มแล้วมองนางด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยน “หากเจ้าไม่ได้โกรธเขา ไฉนเจ้าจึงเรียกเขาว่าเซ่อเจิ้งอ๋อง ยามปกติเจ้าล้วนเรียกเขาว่าเสด็จอาตามเจิ้น” หลินชิงเวยตกตะลึง ตัวนางเองไม่ได้สังเกตถึงรายละเอียดปลีกย่อยนี้ เซียวจิ่นพูดอีกว่า “เพียงแต่หากไทเฮาและเสด็จอามีอะไรกันจริงๆ อย่าว่าแต่เจ้า แม้ตัวเจิ้นเองก็รู้สึกโมโหเช่นกัน พวกเจ้าล้วนคิดว่าเจิ้นยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ที่จริงแล้วเจิ้นดูออกตั้งนานแล้วเพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น”

หลินชิงเวยขมวดคิ้ว “พระองค์รู้ว่าไทเฮามี…ต่อเซ่อเจิ้งอ๋อง”

เซียวจิ่นพูด “นางชื่นชอบเสด็จอามาโดยตลอด เมื่อครั้งเสด็จพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ นางไม่กล้าแสดงออกมากนัก เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว นางจึงแสดงออกถึงเจตนาอย่างเปิดเผย” หลินชิงเวยตื่นตะลึง เซียวจิ่นมองนางแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “เจิ้นยังรู้ว่านางไม่ยินดีที่เห็นเจิ้นนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ดังนั้นนางจึงเกลียดชังเจ้าถึงเพียงนี้ ทางหนึ่งคือสาเหตุมาจากเสด็จอา อีกทางหนึ่งเป็นเพราะเจ้าทำให้เจิ้นค่อยๆ ดีขึ้น เจิ้นคิดว่านางปรารถนาให้เสด็จอามานั่งในตำแหน่งนี้แทนเจิ้นเป็นอย่างมาก”

หัวข้อสนทนานี้อันตรายเกินไป ดังนั้นหลินชิงเวยจึงได้แต่พูดไปตามน้ำว่า “แต่ฝ่าบาททราบดีว่าเซ่อเจิ้งอ๋องตรากตรำทำงานหนักแทนพระองค์มาโดยตลอด ทั้งไม่ได้มีความทะเยอทะยานในจิตใจ เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นเพคะ”

เซียวจิ่นมองหลินชิงเวยแน่วนิ่ง จากนั้นยังหยักยิ้มพูดว่า “เจิ้นทราบดี หากเขาคิดจะมาแทนที่เจิ้น เขาสามารถเข้ามาแทนที่ได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงด้วยซ้ำ เสด็จอาและเสด็จพ่อของข้าเป็นพี่น้องร่วมอุทร เขาเคยรับปากและสัญญากับเสด็จพ่อของข้า ชิงเวย เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกเกินไป”

หลินชิงเวยพรูลมหายใจโล่งอก กลอกตาขาวปะหลับปะเหลือกใส่เขาครั้งหนึ่ง “หม่อมฉันเพียงแต่ไม่ปรารถนาที่จะเห็นพระองค์สองอาหลานต้องกลายเป็นศัตรูต่อกันเพคะ”

ปลายนิ้วของเซียวจิ่นลูบไล้ไปตามผ้าห่มแพรบางๆ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “หวังว่าคงจะไม่มีวันนั้นกระมัง” เพื่อไม่ให้หลินชิงเวยคิดมาก ต่อมาเซียวจิ่นจึงเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปที่ตัวไทเฮา เขาพูดอีกว่า “ไทเฮาก็คือไทเฮา ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับเสด็จอาได้ นอกเสียจากเจิ้นไม่อยู่แล้ว แต่เสด็จอาไหนเลยจะเห็นนางอยู่ในสายตาได้ ตลอดมาจึงได้แต่ให้ความเคารพต่อนางสองส่วน ด้วยนางมีสถานะเป็นไทเฮาเท่านั้นเอง แม้แต่ตัวเจิ้นเองก็ไม่อาจไม่เคารพนางสองส่วน” หยุดไปชั่วครู่เขาพูดอีกว่า “ครั้งนั้นเจิ้นได้ยินว่าเมื่อครั้งไทเฮายังสาวมิได้ออกเรือน นางมีใจปฏิพัทธ์ต่อเสด็จอามาโดยตลอด น่าเสียดายที่เสด็จอาไม่แยแสนาง เพื่อให้เสด็จอาหันมามองนางบ้าง นางจึงแต่งให้เสด็จพ่อของข้า มาเป็นไทเฮาในวันนี้ ต่อให้เป็นความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของนาง ครั้งนั้นนางไม่สมปรารถนา บัดนี้ยิ่งไม่อาจสมปรารถนาได้” เขามองหลินชิงเวย “ดังนั้นชิงเวย เจ้าเข้าใจเสด็จอาผิดหรือไม่”

หลินชิงเวยแจ่มแจ้ง นางรู้สึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยโดยนำความลับภายในวังมาซื้อใจนาง

หากพูดว่าคืนนั้นเห็นไทเฮาและเซียวเยี่ยนอยู่ด้วยกัน หลินชิงเวยโกรธมาก แต่เมื่อผ่านมาหลายวัน นางไม่ใช่กระโถนท้องพระโรงสักหน่อย เรื่องอะไรยังต้องโมโหตัวเองด้วย นางหายโมโหตั้งนานแล้วนะ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *